ทำความรู้จักกับ…ไวรัสตับอักเสบซี
ส่วนใหญ่แล้วคนไทยมักจะคุ้นเคยกับโรคไวรัสตับอักเสบเอ และบี กันมากกว่า โรคไวรัสตับอักเสบซีนะคะ ความจริงแล้วโรคนี้เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยในปัจจุบันเลยทีเดียว มีผู้ที่ติดเชื้อนี้ไปแล้วกว่า แปดแสนคน ซึ่งเกือบทั้งหมดจะอยู่ในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดผ่านเข็มร่วมกับผู้อื่น เชื้อไวรัสตับอักเสบซีนี้จะอยู่ในเลือดและน้ำคัดหลั่งส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ติดต่อสู่ผู้อื่นคล้ายโรคไวรัสตับอักเสบบีและเอดส์ ผู้ที่มีกลุ่มเสี่ยงก็ได้แก่ กลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดที่ใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น การสักหรือการเจาะผิวหนัง การฝังเข็ม การใช้เครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ หรือติดต่อจากการทำฟัน รวมไปถึงเพศสัมพันธ์ และการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกก็ด้วย ส่วนมากมักจะติดต่อกันทางเลือดมากกว่าทางเพศสัมพันธ์
อาการของไวรัสตับอักเสบซีนี้จะมีอาการ ตัวเหลือง ดีซ่าน ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย บวม มีน้ำในช่องท้อง การจะคัดแยกผู้ป่วยต้องผ่านทางห้องปฏิบัติการเท่านั้นจึงจะทราบ อาการของผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบซีส่วนใหญ่จะแสดงออกมาหลังจาก 10 ปีผ่านไปแล้ว เข้าสู่ปีที่ 12 จะเริ่มแสดงอาการตับอักเสบเรื้อรังมากขึ้น และเมื่อผ่านไป 30 ปี ตับก็จะถูกทำลายจนมีอาการของตับแข็ง ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งจะเป็นมะเร็งตับ การดำเนินโรคของโรคนี้จะเป็นไปโดยช้า ๆ ผู้ป่วยไม่เคยรู้ตัวเลยว่ามีโรคนี้ซ่อนอยู่หากไม่ได้ตรวจเลือด มีผู้ติดเชื้ออยู่ประมาณร้อยละ 15-20 ที่หายได้เอง แต่ส่วนใหญ่แล้วหากไม่ได้รับการรักษาก็มักจะกลายเป็นโรคตับแข็ง มะเร็งตับในที่สุด
โรคไวรัสตับอักเสบซีนี้ยังไม่มีไวรัสป้องกันเหมือนไวรัสตับชนิดอื่น ๆ การดูแลรักษาก็คือต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรง กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายได้บ้างตามระยะของโรคจะอำนวย ไม่ควรวิตกกังวลหรือเครียดมากเกินไป เพราะอาจก่อให้เกิดโทษมากกว่าตัวเชื้อโรคเองเสียอีก แต่หากเชื้อไวรัสทำลายเนื้อตับจนเกิดการอักเสบแล้วก็รักษาด้วยการกินยา ซึ่งปัจจุบันมียาที่ใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีที่ได้ผลอยู่สองชนิดก็คือ ยาต้านไวรัส และยาอินเตอร์เฟอรอน มีราคาแพงเป็นหลักแสน การรักษาจะใช้เวลาประมาณ 6-9 เดือน เป็นยาที่มีผลข้างเคียงมาก การใช้ยาจึงต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
วิธีที่จะอยู่ห่างไกลโรคนี้ให้มากที่สุดก็คือป้องกันตัวเองคล้ายการป้องกันโรคเอดส์ ก็คือไม่ใช้เข็มหรือมีด ของมีคมต่าง ๆ ร่วมกับผู้อื่น อย่ารับเลือดโดยไม่ได้ตรวจ สวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง และไม่ควรเครียดจนก่อความทุกข์ให้กับตนเองเพราะอาจเป็นโทษมากกว่าเชื้อโรคเองเสียอีกค่ะ
Leave a Reply