ปรับทัศนคติที่มีต่อโรคเรื้อนกันเถอะ!

ปรับทัศนคติที่มีต่อโรคเรื้อนกันเถอะ!

แม้ว่าในประเทศไทยนี้จะเกิดโรคเรื้อนลดลงมาจนไม่เป็นปัญหาระบบสาธารณะสุขอีกต่อไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังพบผู้ป่วยโรคเรื้อนรายใหม่มากขึ้นทุกปีแ ละกว่าร้อยละ 10 ของผู้ป่วยรายใหม่ยังมีความพิการในระดับสอง คือมีความพิการที่มองเห็นได้ แสดงว่าผู้ป่วยรายนี้ได้รับการรักษาล่าช้าเกินไป ทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้ป่วยและครอบครัวทั้งทางเศรษฐกิจและชุมชน

การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อนนั้น ไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้ป่วยแต่อย่างใด แต่เกิดจากการติดเชื้อโรคเรื้อนจากคนในชุมชน รวมทั้งผู้ป่วยนั้นไม่มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคเรื้อนด้วย ซึ่งกลุ่มนี้จะมีเพียงร้อยละ 3 ของผู้รับเชื้อทั้งหมดเท่านั้น แต่ในสายตาของผู้อื่นในสังคมแล้ว มักมองคนเป็นโรคเรื้อนในแง่ร้าย และมองอย่างรังเกียจเพราะความเชื่อที่ปลูกฝังกันมาแบบผิด ๆ ทำให้ผู้ป่วยได้รับความทุกข์ทรมานทั้งทางกายและทางใจ ถูกมองอย่างดูถูก ไม่ให้รับการเข้าสังคม โดยรังเกียจเดียจฉันท์ จนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ แม้บางทีผู้ป่วยจะได้รับการรักษาจนหายแล้ว แต่ผู้ที่รู้ว่าเคยเป็นก็ยังแสดงความรังเกียจอยู่ดี

ความจริงแล้วการรักษาโรคเรื้อนนั้น สามารถรักษาให้หายสนิทได้ และใช้เวลาในการรักษาเพียง 6 เดือนถึง 2 ปี และแม้จะเข้าขั้นพิการแล้วก็ยังรักษาให้หายได้ด้วย เมื่อได้รับการรักษาแล้วก็ยังไม่แพร่เชื้อโรคไปให้ผ็อื่น จึงไม่จำเป็นต้องกังวลหรือกลัวต่อร่างกายที่พิการของผู้ป่วยโรคเรื้อนแต่อย่างใด

สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ที่เริ่มต้นมีอาการ ได้แก่ มีผิวหนังเป็นวงด่างสีขาวหรือแดง มีอาการชา และเป็นผื่นวงแดง เป็นตุ่มไม่คัน ให้รีบไปรับการตรวจรักษาที่สถานพยาบาลโดยด่วน ผู้ป่วยก็ไม่มีความพิการ หรือแม้จะพิการไปแล้วก็รักษาอาการไม่ให้พิการมากขึ้นไปได้ ซึ่งในระหว่างการรักษาผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตในครอบครัวหรือชุมชนได้ตามปกติ

สำหรับโรคนี้สังคมควรมีความเข้าใจ และไม่แสดงความรังเกียจทั้งผู้ป่วยและครอบครัว ก็จะช่วยลดความทุกข์ทรมานใจจากโรคลงได้มากและยังมีกำลังใจในการรักษาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการดูแลตนเองตามคำแนะนำของแพทย์จนหายสนิท ไม่ทำให้ครอบครัวและสังคมได้รับผลกระทบอีกต่อไป