โรคเรื้อน…อยู่ร่วมกันสังคมได้ ไม่น่ากลัว
ตั้งแต่โบราณมา ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนหรือถูกสงสัยว่าจะเป็นนั้นมักจะได้รับความรังเกียจจากคนในชุมชนหรือคนใกล้ชิดเพราะความเชื่อผิด ๆ ทำให้ผู้ป่วยโรคเรื้อนได้รับความทุกข์ ความทรมานจากความกลัว ความรังเกียจของผู้อื่น ทั้งที่ความจริงโรคนี้ไม่ได้ติดต่อกันได้ง่ายสักเท่าไรเลย อีกทั้งทุกวันนี้คนที่เป็นโรคเรื้อนแม้จะยังมีอยู่ แต่ก็น้อยลง และเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้ อยู่ร่วมในสังคมได้ไม่น่ากลัวด้วย
ด้วยความที่โรคนี้มีผู้ป่วยน้อยลงไปมากแล้ว จึงมักไม่ค่อยมีผู้ที่รู้ตัวเท่าไรว่ากำลังติดเชื้อแบคทีเรียทีทำให้เกิดโรคเรื้อน วิธีการสังเกตก็คือ ผิวหนังจะเป็นวงด่างสีขาวหรือสีเข้มกว่าผิวปกติ มีอาการชา หรือเป็นผื่น แผ่นนูน เป็นตุ่มหรือวงขอบแดง ไม่มีอาการคัน แต่หากพบแล้วควรรีบเข้ารับการรักษามิเช่นนั้นอาจทำให้พิการได้
ผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคเรื้อนก็คือ ผู้ที่เข้าไปสัมผัสกับผู้ป่วยโรคเรื้อนระยะติดต่อ ที่ไม่ได้รักษาตัว โดยทุกคนมีโอกาสในการรับเชื้อทั้งสิ้น แต่มีโอกาสเกิดเป็นโรคได้เพียงร้อยละสามเท่านั้น ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่อโรคเรื้อผิดปกติจึงจะเป็นโรคนี้ได้ สรุปก็คือ โรคนี้ไม่ได้เป็นโรคที่จะติดต่อกันได้ง่าย ๆ และโรคนี้ไม่ได้ติดต่อทางกรรมพันธุ์ ไม่ติดต่อทางน้ำหรืออาหารแต่อย่างใดเลย
โรคเรื้อนเป็นโรคที่รักษาได้หาย โดยผู้ป่วยควรเข้ารับรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก โดยจะใช้เวลาประมาณหกเดือน หากมีอาการมากอาจใช้เวลาการรักษาสองปี ผู้ป่วยสามารถอยู่อาศัยภายในครอบครัวได้ตามปกติ เพียงทานยารักษาโรคผ่านไปได้ในระยะสัปดาห์แรกเท่านั้นก็จะไม่แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นแล้ว การรักษาก็สามารถเข้ารับบริการได้ตามโรงพยาบาล สถานีอนามัย ทั่วไป
โรคนี้ไม่ได้ติดเชื้อกันได้ง่าย ๆ อย่างที่คิด จึงไม่ควรรังเกียจผู้ป่วยโรคนี้ ผู้ป่วยโรคนี้ที่อยู่ในระหว่างการรักษา และผู้ที่รักษาหายแล้ว สามารถกินข้าว พูดคุย อยู่บ้านอยู่ร่วมกันกับคนในครอบครัวและผู้อื่นได้ตามปกติ อีกทั้งครอบครัวและสังคมยังควรเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วย ไม่ควรแสดงความรังเกียจ มิเช่นนั้นอาจทำให้ผู้ป่วยหมดกำลังใจที่จะเข้ารับการรักษา และหลบซ่อนตัวจากสังคม ทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกได้
Leave a Reply