ดูแลตัวเองทั้งผู้ป่วยมะเร็งและผู้เฝ้าไข้

ดูแลตัวเองทั้งผู้ป่วยมะเร็งและผู้เฝ้าไข้

โรคร้ายแรงอย่างโรคมะเร็งนี่ หากมีใครในบ้านที่เกิดเป็นขึ้นมาแล้ว ความรุนแรงของโรคมักจะกระทบกระเทือนทั้งจิตใจและร่างกายของผู้ป่วยและผู้ที่อยู่ใกล้ชิดได้ไม่แตกต่างกันเลยนะคะ บางคนใกล้ชิดดูออกจะหมดกำลังใจมากกว่าผู้ป่วยเองเสียอีก ในส่วนของผู้ป่วยนั้นบางคนที่รับรู้มาว่าตัวเองป่วยด้วยโรคร้ายอย่างมะเร็งแล้วก็มักจะแสดงอาการตกใจจนช็อก ไม่ยอมพูดยอมจา นิ่งไปเสียก็มีอยู่มาก และที่โวยวายปฏิเสธไม่ยอมรับความจริง จนต้องเปลี่ยนหมอ เปลี่ยนโรงพยาบาล จนวุ่นวายกว่าจะได้เริ่มต้นรักษาก็มีไม่ใช่น้อย  โดยทั่วไปนั้นกลไกลการปรับตัวของผู้ป่วยโรคร้ายจะมีอยู่หกระยะได้แก่ ระยะช็อก ระยะปฏิเสธ ระยะโกรธ ระยะต่อรอง ระยะซึมเศร้า จนไปสุดที่ระยะยอมรับความจริง

ผู้ป่วยบางคนอาจมีครบทั้งหกระยะ บางรายก็เริ่มที่ข้อใดข้อหนึ่ง แล้วไปจบไม่ครบหกระยะก็ได้ด้วย  ดังนั้นผู้ที่ดูแลก็จำเป็นต้องเข้าใจจิตใจและอารมณ์ของผู้ป่วย ที่มักจะขึ้น ๆ ลง ๆ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  อีกประการก็คือหากยิ่งผู้ป่วยยอมรับอาการป่วยของตนเองได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งเข้ารับการรักษาได้เร็วเท่านั้น ทั้งยังมีสิทธิที่จะหายป่วยได้มากขึ้นอีกด้วย

ผู้เฝ้าไข้เองก็จำเป็นต้องดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจของตนเองด้วย เพราะตนเองนั้นเป็นเสาหลักที่ไม่ควรล้ม ต้องมีสติให้มากกว่าผู้ป่วยเสมอ คุณอาจจำเป็นต้องสละเวลาส่วนตัวในการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย เป็นไปได้ก็คือควรมีผู้ช่วยหรือมีมือสำรองในการผลัดเปลี่ยนกันดูแล  อย่าให้ความรับผิดชอบตกอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งมากเกินไป หากมีพี่น้องหลายคนก็คนผลัดกันมาดูแลช่วยเหลือด้วย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเวลา กำลังกาย กำลังใจ เงินทอง และการไปรับไปส่งตามหมอนัด เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาและฟื้นตัวให้เร็วที่สุดได้นั่นเอง

การดูแลผู้ป่วยโรคร้ายหรือโรคมะเร็งนั้น จะดีที่สุดก็คือเมื่อผู้เฝ้าไข้เองได้เรียนรู้และหันมาดูแลตัวเอง ป้องกันตนเองและคนที่ใกล้ชิดไม่ให้เป็นมะเร็ง และร่วมกันหาวิธิที่จะทำให้ผู้ป่วยได้อยู่กับโรคมะเร็งที่เขากำลังเผชิญอยู่ใกล้มีความสุขให้ได้ให้มากที่สุด