เฝ้าระวัง “โรคเมิร์สคอฟ” รุนแรงเท่าซาร์ส จับตาใกล้ชิดผู้กลับจากตะวันออกกลาง

เฝ้าระวัง “โรคเมิร์สคอฟ” รุนแรงเท่าซาร์ส จับตาใกล้ชิดผู้กลับจากตะวันออกกลาง

จากการประการเตือนคนไทยในภาคตะวันตก ของประเทศซาอุดีอาระเบีย ให้ดูแลป้องกันการติดเชื่อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2012 หรือโรคเมิร์สคอฟ หลังจากมีรายงานการแพร่ระบาดตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งปัจจุบันนี้ยังไม่พบผู้ป่วยในประเทศไทยแต่อย่างใด แต่ก็ยังไม่สามารถไว้ใจได้ เนื่องจากมีคนไทยจำนวนมากเดินทางไปทำงานใน 11 ประเทศ ได้แก่ จอร์แดน ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ อังกฤษ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฝรั่งเศส ตูนิเซีย เยอรมนี อิตาลี โอมาน และคูเวต โดยล่าสุดองค์การอนามัยโลก รายงาน ณ วันที่ 16 เม.ย. พบผู้ป่วยยืนยัน 238 ราย เสียชีวิต 92 ราย
ซึ่งการป้องกันต้องเน้นมาตรการ 2 ข้อหลักได้แก่
1. โรงพยาบาลและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง เฝ้าระวังผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้สูง ไอ ถ่ายเหลว อาเจียน และมีประวัติเดินทางกลับจากประเทศที่พบผู้ป่วย หรือเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศที่พบผู้ป่วย ซึ่งหากพบผู้ป่วยที่เข้าข่ายดังกล่าว ขอให้ปฏิบัติตามแนวทางป้องกันในระดับเดียวกับโรคซาร์ส
2. วางแผนดูแลสุขภาพชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปร่วมพิธีฮัจญ์ในปี 2557 ขอให้จัดทำคำแนะนำในการดูแลสุขภาพและป้องกันโรคแก่ผู้ที่จะเดินทางไปในประเทศดังกล่าว

ซึ่งโรคโคโรนาไวรัส จัดเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน ที่รุนแรงคล้ายโรคซาร์ส เชื้อจะลุกลามเข้าสู่ปอดอย่างรวดเร็ว ซึ่งเชื้อจะอยู่ในละอองน้ำมูกและน้ำลายของผู้ป่วย ติดต่อกันได้ง่ายจากการไอจาม มีอาการไข้สูง ไอ หายใจหอบ ถ่ายเหลว อาเจียน

ซึ่งในปัจจุบันนี้องค์การอนามัยโลกยังไม่มีข้อห้ามในการเดินทางไปยังประเทศที่พบผู้ป่วย แต่ก็ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำก็คือ
1. ให้ยึดหลัก กินร้อน ช้อนกลาง
2. ล้างมือบ่อย ๆ หลังการสัมผัสสิ่งสาธารณะ
3. เลี่ยงการอยู่ใกล้คนที่เป็นหวัด รวมทั้งอยู่ในที่แออัด
4. หากมีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดขอให้ใส่หน้ากากอนามัย และพักผ่อนอยู่บ้าน หากไม่ดีขึ้นในสองวัน ขอให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา พร้อมแจ้งประวัติการเดินทางไปต่างประเทศด้วย ยิ่งหากเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวให้พบแพทย์ทันที ไม่ต้องรอถึงสองวัน