การอมน้ำมันแล้วบ้วนทิ้ง หรือ Oil Pulling ช่วยล้างพิษและรักษาโรคได้จริงหรือ
การทำออยพูลลิ่ง หรือการอมน้ำมันแล้วบ้วนทิ้งนี้มีในอินเดียมานานแล้ว เพื่อเชื่อว่าหากอมน้ำมันไว้ในปากจะสามารถดึงเอาจุลินทรีย์ในซอกฟัน ผิวฟัน เหงือก ลิ้น กระพุ้งแก้ว เพดานปาก ออกมาผสมกับน้ำมันแล้วบ้วนทิ้งไป เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เชื้อโรคทั้งหลายถูกกลืนลงท้องและเข้าไปเป็นพิษต่อร่างกายในส่วนต่าง ๆ การทำแบบนี้จึงช่วยรักษาได้หลายโรค
ซึ่งจากคู่มือการอบรมโครงการฟื้นฟูและส่งเสริมสุขภาพองค์รวม 8 อ. ซึ่งจัดทำโดย ชุมชนศีรษะอโศก ได้ทำการเผยแพร่และปฏิบัติแบบนี้เพื่อดูแลสุขภาพมาแล้ว และได้อธิบายว่า การอมน้ำมันกลั่นเย็นนี้ โดยให้น้ำมันไหลผ่านช่องฟันไปมา จนกระทั่งน้ำมันผสมกับน้ำลายจนคลายความข้นหนืดแล้วจึงบ้วนทิ้ง จะสามารถรักษาโรคปวดหัว ปวดฟัน โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคแผลเป็น แผลเปื่อยมีหนอง หรือเป็นฝีต่าง ๆ โรคทางเดินอาหาร รวมไปถึงโรคเฉพาะผู้หญิง แล้วยังป้องกันเนื้องอกกลับมาเกิดใหม่ได้ รักษาโรคเลือด อัมพาต โรคเส้นประสาท อวัยวะภายใน หรือรักษาอาการนอนไม่หลับได้ด้วย
หากคิดว่ามันจะน่ามหัศจรรย์เกินไปหรือไม่ที่แค่อมน้ำมันแล้วบ้วนทิ้งจะมีสรรพคุณมากมายขนาดนี้ ลองมาดูการอธิบายของ ดร.บรูซ ไฟฟ์ ประธานศูนย์วิจัยมะพร้าวแห่งโคโรลาโด กันบ้าง เขาได้อธิบายเอาไว้ในหนังสือชื่อ Oil Pulling Therapy ว่า ..การอมน้ำมันไว้บ้วนทิ้งไม่ได้รักษารึ แต่เป็นการช่วยขจัดแบคทีเรียสาเหตุของโรคให้หมดไป เพื่อให้ร่างกายได้มีโอกาสพื้นฟู การทำออยล์พูลลิ่งนี้เป็นกระบวนการทางชีววิยา เพราะแบคทีเรียในช่องปาก เป็นสัตว์เซลล์เดียว เซลล์จึงปกคลุมไปด้วยน้ำมันหรือเนื้อเยื่อที่เป็นไขมัน ซึ่งเมื่อเทน้ำมันเข้าปาก น้ำมันนี้จะเข้าไปดูดจับเซลล์น้ำมันบนเชื้อแบคทีเรียไว้ ยิ่งเมื่อกลั้วน้ำมันไปทั่วช่องปาก แบคทีเรียที่ซุกซ่อนอยู่ตามซอกฟัน หรือเหงือกก็จะถูกดูดออกมาหมด ยิ่งนานก็ยิ่งมากขึ้น และเมื่อผ่านไป 20 นาที น้ำมันในปากก็จะเต็มไปด้วยเชื้อโรคต่าง ๆ คุณจึงควรบ้วนทิ้งไปให้หมด
เพราะความเจ็บป่วยต่าง ๆ นั้นเริ่มต้นที่ปากของเราเอง การทานอาหารที่เป็นพิษ การไม่รักษาความสะอาดจึงทำให้ปากและฟังเป็นที่สะสมของเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสต่าง ๆ ฯลฯ ดังนั้นหากเรากำจัดเชื้อโรคตั้งแต่ช่องปาก ก็จะทำให้หลาย ๆ โรคทุเลาอาการลงได้ และการเลือกใช้น้ำมันก็ควรเลือกใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็น เพราะมีกรดลอริคซึ่งฆ่าเชื้อได้ ทั้งยังมีโมเลกุลเล็ก จึงเหมาะกับการทำออยล์พูลลิ่งมากกว่าน้ำมันชนิดอื่น ๆ
ซึ่งนอกจากความเห็นของ ดร.บรูซ ไฟฟ์ ข้างต้นแล้วก็ยังมีการทดสอบโดยอโศกัน และคณะ และได้ตีพิมพ์ในวารสารทันตแพทย์ของอินเดีย รายงานฉบับนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับผลกระทบของการทำออยล์ พูลลิ่ง ต่อการเกิดพลาก(Dental Plague)สีเหลืองหรือครีม ซึ่งเป็นแผ่นคราบอ่อนนิ่มที่ประกอบไปด้วยแบคทีเรียที่เกาะผิวฟัน ที่ประกอบด้วยน้ำเมือก เศษอาหาร แบคทีเรียและจุลินทรีย์ ที่จะทำให้เกิดโรคเหงือกอักเสบ ซึ่งรายงานชิ้นนี้จึงได้สรุปว่า… การทำออยล์พูลลิ่ง ทำให้เห็นถึงการลดลงของดัชนีแผ่นพราก อาการเหงือกอักเสบลดลงและจำนวนรวมของจุลินทรีย์ในแผ่นพลากในปากที่จะนำไปสู่ภาวะเหงือกอักเสบก็ลดลงตามไปด้วย
ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ C.B. Tritten และ Gary C. Armitage โดยในการศึกษานี้ได้มีการเปรียบเทียบการกลั้วด้วยน้ำมันพืชกับการแปลงฟัน และน้ำยาบ้วนปาก ที่ตีพิมพ์ในวารสารปริทันตวิทยาคลินิก Clinical Periodontology ซึ่งพบว่าการล้างปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก ลดพรากได้ร้อยละ 20-26 และโรคเหงือกประมาณร้อยละ 13 การแปรงฟันลดพลากได้ร้อยละ 11-17 และโรคเหงือกร้อยละ 8-23 แต่การอมกลั้วปากด้วยน้ำมันลดพลากได้ร้อยละ 18-30 และลดโรคเหงือกได้ร้อยละ 52-60
แม้ว่าสรรพคุณในการรักษาโรคอื่น ๆ จะยังไม่เป็นที่พิสูจน์ออกมา แต่ก็มีกรณีศึกษาว่ามีหลายคนที่หายป่วยหลายโรคมาแล้วด้วยการทำออยล์ พูลลิ่ง แต่ในส่วนของการลดคราบพรากและการบรรเทาโรคเหงือก รวมถึงการลดจุลินทรีย์ในช่องปากนั้น มีผลงานการวิจัยเป็นที่รับรองแล้ว
ซึ่งสำหรับคนที่สนใจการทำออยล์พูลลิ่งว่าต้องทำอย่างไร ก็ขอให้ทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
– การทำออยล์พูลลิ่งนั้นเหมาะสำหรับการทำในเวลาเช้าเพราะเป็นเวลาที่มีแบคทีเรียกในช่องปากมากที่สุด และทำตอนท้องว่าง ดื่มน้ำก่อนหรือไม่ก็ได้
– อมน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็นประมาณ 2-3 ช้อนชา (อย่าเกินกว่านี้เพราะจะไม่มีที่ว่างในช่องปากให้น้ำลายออกมาช่วยกระตุ้นให้เอนไซม์ดึงสารพิษออกมาจากช่องปาก) แล้วอมกลั้วไว้ในปาก แล้วจึงค่อย ๆ ดูด ดัน ดึงให้น้ำมันไหลผ่านเหงือกและฟันไปด้วย กลั้วไปมาประมาณ 15-20 นาที
– แล้วจึงบ้วนทิ้งไป จะสังเกตเห็นได้ว่าน้ำมันเปลี่ยนเป็นสีขุ่น ๆ หรือมีสีเหลือง
– หลังจากนั้นจึงบ้วนปากด้วยน้ำสะอาด แล้วดื่มน้ำได้
– การทำออยล์พูลลิ่ง ควรทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งจึงจะเห็นผลดี
ทำได้ไม่ยากและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยมาก ทำให้สุขภาพช่องปากเราดีขึ้นแล้วยังทำให้สุขภาพกายของเราดีตามไปอีกด้วยค่ะ
Leave a Reply