อาการและแพร่กระจายของโรคเอดส์

อาการและแพร่กระจายของโรคเอดส์

อาการและการดำแนินโรคของโรคเอดส์

1. โรคเอดส์มีกี่ระยะ แต่ละระยะมีอาการอย่างไร
โรคเอดส์แบ่งออกเป็น 3 ระยะ

ระยะที่ 1 ระยะที่ไม่ปรากฏอาการ (Asymptomatic Stage or Carrier Stage) หรือเรียกว่า ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ สุขภาพจะแข็งแรงสมบูรณ์เหมือนคนปกติทุกประการ แต่อาจจะเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆเช่นเดียวกับคนปกติอื่นๆ เป็นไข้หวัด ซึ่งจะหายใจได้เหมือนปกติทั่วไป ไม่มีโรคแทรกซ้อน บางคนอาจจะอยู่ในระยะนี้ 2-3 ปีก่อนที่จะเข้าสู่ระยะต่อไปโดยเฉลี่ยประมาณ 7-8 ปีแต่บางคนอาจจะไม่มีอาการนานถึง 10 ปี หรือนานกว่านั้นก็ได้ ผู้ติดเชื้อทุกรายที่อยู่ในระยะนี้แม้จะไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่นๆ ได้

ระยะที่ 2 ระยะมีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ (Aids Related Complex หรือ ARC) ระยะนี้นอกจากมีเลือดบวกแล้ว ยังอาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างปรากฏ ให้เห็นได้ เช่น

– ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่งติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน
– น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วมากกว่า 10% ของน้ำหนักตัวใน 1 เดือน
– อุจจารระร่วงเรื้อรังเป็นเวลานานเกิน 1 เดือน โดยไม่ทราบสาเหตุ
– มีฝ้าขาวที่ลิ้นและในลำคอ มีไข้เรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ
– มีการติดเชื้อแทรกซ้อนที่ไม่ร้ายแรง เช่น เริมที่ไม่ลุกลาม วัณโรคที่ไม่ แพร่กระจาย เป็นต้น

ระยะนี้อาจจะเป็นอยู่นานหลายเดือนหรือเป็นปี แล้วจะกลายเป็นระยะเอดส์เต็มขั้นต่อไป นักวิชาการบางท่าน อาจจะรวมระยะต่อมน้ำเหลืองโตไว้ในระยะนี้ด้วย แต่เนื่องจากมีการศึกษาถึงการดำเนินโรคของระยะนี้ดีขึ้น ก็พบว่าพวกที่มีน้ำเหลืองโตนี้ มีการดำเนินโรคคล้ายกับพวกไม่ปรากฏอาการมากกว่า บางคนจึงไม่นับเอาพวกที่มีต่อมน้ำเหลืองโตไว้ในระยะนี้

ระยะที่ 3 ระยะเอดส์เต็มขั้น (Full Blown AIDS) หรือเรียกว่า ระยะ “โรคเอดส์” ระยะนี้เป็นระยะที่ภูมิต้านทานของร่างกายถูกทำลายลงมาก จนมีผลต่อการป้องกันการติดเชื้อชนิดอื่นๆ เนื่องจากมีเม็ดเลือดขาวถูกทำลายไปจนเหลือน้อยเกือบหมด ทำให้เกิดการติดเชื้อโรคที่ตามปกติไม่สามารถทำอันตราย ต่อคนปกติได้ที่เรียกว่า “โรคติดเชื้อฉวยโอกาส”ซึ่งมีอยู่หลายชนิดแล้วแต่ว่ามีการติดเชื้อฉวยโอกาสชนิดใดที่ส่วนใดอาการแสดงที่จะพบจึงเป็นได้หลายแบบ เช่นถ้าเป็นปอดบวมจากเชื้อ Pneumocystis carinii ก็จะมีไข้ ไอ หอบ เจ็บหน้าอก ถ้าเป็นเชื้อราของทางเดินอาหาร ก็จะมีอาการเจ็บคอ กลืนลำบาก ถ้าเป็นสมองอักเสบ จากเชื้อ Cryptococcus ก็จะมีอาการไข้ ปวดศีรษะมาก คอแข็งหรือถ้าเป็นโรคเอดส์ของระบบประสาท โดยตรงก็จะมีอาการความจำเสื่อม สติฟั่นเฟือน ซึมเศร้า สมองเสื่อม แขนขาชาหรืออ่อนแรงชักกระตุก เป็นต้น บางรายอาจมีมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งหลอดเลือดหรือ Kaposi’s Sarcoma โดยปรากฏเป็นจ้ำสีม่วงแดงคล้ำๆ ตามผิวหนัง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) พบเป็นก้อนโต ตามที่ต่างๆ ของร่างกาย เป็นต้น เมื่อเข้าสู่ระยะนี้แล้วส่วนใหญ่จะเสียชีวิตในเวลาไม่นาน โดยทั่วไปจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 1 – 2 ปี โดยเฉลี่ย

2.อาการอย่างไรที่จะบอกว่าติดเชื้อเอดส์แล้ว ผู้ที่ได้รับเชื้อเอดส์เข้าไปในร่างกายส่วนใหญ่จะไม่มีอาการผิดปกติใดๆเลยระหว่างนี้
สุขภาพจะแข็งแรง สมบูรณ์ เหมือนคนปกติทุกประการ แต่ก็พบว่าภายใน 2 – 3 อาทิตย์แรกหลังจากได้รับเชื้อเอดส์เข้าไปแล้ว ผู้ป่วยร้อยละ 20 จะมีอาการคล้ายๆไข้หวัดคือมีไข้น้ำมูกไหล เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต หรือพูดง่ายๆคืออาการคล้ายไข้หวัดเป็นอยู่ประมาณ 10 – 14 วันก็จะหายไปเองผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่สังเกตนึกว่าคงเป็นไข้หวัดธรรมดา บางคนอาจจะไม่มีอาการอยู่นานถึง 10 ปี หรือนานกว่านั้นก็ได้ (โดยเฉลี่ยประมาณ 7-8 ปี ) คนไข้ทุกรายที่อยู่ในระยะนี้แม้จะไม่มีอาการก็ สามารถแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่นๆ ได้

3. เชื้อเอดส์ทำให้เกิดอะไรขึ้นกับระบบภูมิต้านทานของร่างกาย และทำให้เกิดโรคได้อย่างไร ในภาวะปกติ ร่างกายของคนจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่าLymphocyte จำนวนมาก ซึ่งมีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันหรือภูมิต้านทานต่อสู้กับเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เมื่อ เชื้อเอดส์เข้าสู่ร่างกายของคนเราแล้วเชื้อจะกระจายไปตามอวัยวะต่างๆเกือบทั่วร่างกาย เชื้อเอดส์จะเจาะเข้าไปในเซลล์เม็ดเลือดขาวแล้วทำลายส่วนประกอบที่สำคัญของระบบภูมิต้านทานของร่างกายให้เสื่อมหรือบกพร่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิต้านทานที่ใช้ต่อสู้หรือกำจัดเชื้อโรคต่างๆที่มีอยู่ทั่วไป และที่กำจัดเซลล์มะเร็งทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสติดเชื้อที่เกิดขึ้นจากเชื้อโรคจำพวกฉวย โอกาส และเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายซึ่งก็เป็นกลุ่มอาการของโรคเอดส์ นอกจากนี้เชื้อเอดส์ยังสามารถบุกรุกเข้าไปในเซลล์อื่นๆ เช่น เซลล์ที่เกี่ยวกับการรับรู้สิ่งแปลกปลอม เซลล์สมองและเซลล์ของเยื่อบุทางเดินอาหาร เป็นต้น สิ่งที่ตามมาคือทำให้ภูมิต้านทาน ของร่างกายเสียไปและมีอาการทางสมองหรือทางจิตประสาทได้

4. ตอนรับเชื้อเข้ามาใหม่ๆ ระยะแรกจะไม่มีอาการใดๆ เลยจริงหรือไม่ หลังจากรับเชื้อ 2-3 สัปดาห์ ก่อนที่เลือดจะกลายเป็น “บวก” ประมาณ 20? อาจมีอาการคล้ายๆไข้หวัด คือ มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดหัว อาจมีต่อมน้ำเหลืองโต ปวดต้อนคอ อาการจะเป็นอยู่ประมาณ1-2สัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะหายเป็นปกติโดยไม่มีอาการอื่นใด ทางแพทย์เรียกอาการในช่วงนี้ว่า “ ระยะติดเชื้อเฉียบพลัน” ระยะนี้จึงเป็นระยะที่มีอาการไม่จำเพาะสำหรับโรค เอดส์ บางคนอาจไม่ปรากฏอาการใดๆเลยก็ได้จัดอยู่ในระยะที่ 1

5. มีปัจจัยอะไรบ้างที่จะกระตุ้นให้เป็นโรคเอดส์เต็มขั้นเร็วขึ้น

– สิ่งเสพติด เช่น แอลกอฮอล์ บุหรี่ กัญชา ฝิ่น โคเคน ฯลฯ
– การติดชื้อโรคต่างๆ เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เริม ไวรัสตับอักเสบบี
– ด้านร่างกาย เช่น ความเครียด ภาวะทุพโภชนาการ ฯลฯ
– สารประกอบพวก Amyl nitrites

6. ระยะฟักตัวของโรคเอดส์คืออะไร มีระยะเวลานานเท่าใด ระยะฟักตัว หมายถึง ระยะตั้งแต่เชื้อเอดส์เริ่มเข้าสู่ร่างกาย จนกระทั่งเริ่มปรากฏอาการ โดยทั่วไปเมื่อได้รับเชื้อเอดส์มาแล้วจะยังไม่ปรากฏอาการจนกว่าจะเข้าสู่ระยะที่ 2 หรือที่ 3 ที่เรียกว่าระยะมีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ และระยะเอดส์เต็มขั้น ดังนั้นระยะฟักตัว จึงอาจหมายถึงระยะตั้งแต่ได้รับเชื้อจนเป็นระยะมีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ แต่คนทั่วไป จะหมายถึง ระยะตั้งแต่เชื้อเอดส์เข้าสู่ร่างกายจนกระทั่งเริ่มปรากฏอาการของโรคเอดส์เต็มขั้น ซึ่งบางคนอาจจะใช้เวลา 2-3 ปี จึงจะปรากฏอาการ โดยทั่วไปเฉลี่ยประมาณ 7-8 ปี แต่บางคนก็อาจจะใช้เวลานานถึง 10 ปี หรือนานกว่านั้นก็ได้ แต่จะต้องจำไว้ด้วยว่าทุกรายแม้จะไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่นๆได้