Tag: IQ

  • ขยันเรียนแทบตาย.. แต่ทำไมยังสอบตก?

    ขยันเรียนแทบตาย.. แต่ทำไมยังสอบตก?

    ขยันเรียนแทบตาย.. แต่ทำไมยังสอบตก? หลักการเรียนการสอนปัจจุบันนี้ ยอมรับการแล้วว่าจำเป็นต้องสอนให้เด็กมีความรู้พัฒนาไปทั้งทางด้านของไอคิวและอีคิวไปพร้อมกัน โดยไอคิว ก็คือ ระดับของสติปัญญาความรู้ ส่วนอีคิวนั้นจะหมายถึงความฉลาดทางอารมณ์ มีความสามารถในการจัดการอารมณ์เพื่อให้ชีวิตมีความสุขและมีความคิดสร้างสรรค์ แต่ปัญหาของการเรียนการสอนในโรงเรียนทุกวันนี้กลับมีปัญหาที่แก้ไม่ตกอยู่บางประการก็คือ เด็กบางคนอ่านหนังสือแทบตายแล้วก็ยังสอบตกอยู่ดี เด็กขี้เกียจไม่เรียนไม่อ่านหนังสือ แล้วสอบตกหรือทำข้อสอบไม่ได้นั้นก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่ทำไมเด็กหัวดี ขยันเรียนทั้งหลายนั้น ยิ่งเรียนก็เหมือนยิ่งโง่ลง หรือยิ่งเรียนแล้วก็เหมือนยิ่งเสียสุขภาพจิตไปเรื่อง ๆ อ่านหนังสือหัวแทบแตกแต่ก็ทำข้อสอบไม่ได้ ฯลฯ ต่าง ๆ เหล่านี้ แล้วมีเด็กประเภทนี้เป็นจำนวนมากทั่วประเทศ บางทีเราคงต้องหันมามองในด้านตรงข้ามกับเด็กบางแล้วล่ะ ว่าปัญหาอยู่ที่ตรงจุดไหนกันแน่ ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจสร้างปัญหาให้เด็กเป็นเช่นนั้น อาจจะเป็น ครูหรืออาจารย์ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองสอนอย่างแท้จริง สอนไม่เก่ง ถ่ายทอดไม่เป็น สอนนอกหลักสูตร หรือหลักสูตรไม่เหมาะสม ตลอดจนข้อสอบที่ออกมาวัดผลนั้นไม่เป็นไปตามหลักสูตรที่สอน หรือสิ่งที่เป็นความรู้ หรือจงใจออกข้อสอบเพื่อให้เด็กส่วนใหญ่ทำไม่ได้ก็มี (ทำได้เฉพาะเด็กตัวเอง หรือที่กวดวิชากับตัวเอง) และสิ่งเหล่านี้มักจะพบเห็นได้ชัดเจนในวาระของการสอบแข่งขันโดยใช้ข้อสอบรวมเดียวกัน การสอนของครูในห้องเรียนรวมไปถึงหลักการออกข้อสอบนั้น แบ่งออกได้เป็นสามประเภท ได้แก่ ตามหลักสูตร ตามหลักการ ตามหลักกู ซึ่งข้อสุดท้ายหรือ ตามหลักกูนี่แหล่ะที่สร้างปัญหา ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือมากที่สุด แต่กลับถูกใช้มากที่สุด ในบางวิชาหากมีครูหลายคน บางครั้งก็สอนไม่เหมือนกัน เมื่อเด็กมาสอบรวมกันจึงเป็นปัญหา ข้อสอบบางข้อไม่มีในตำรา…

  • เลี้ยงลูกอย่างไร ไอคิวดี มีความสุข

    เลี้ยงลูกอย่างไร ไอคิวดี มีความสุข

    เลี้ยงลูกอย่างไร ไอคิวดี มีความสุข นอกจากความปรารถนาให้ลูกเป็นคนดีและมีชีวิตที่มีความสุขแล้ว พ่อแม่หลายคนก็ยังอยากให้ลูกๆ ได้มีไอคิวสูงและมีสติปัญญาดีเพื่อทางเลือกในอนาคตและการทำงานดี ๆ ที่จะได้มีชีวิตที่สุขสบายด้วย ซึ่งอธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้แนะนำถึงปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เด็กมีความฉลาดทางสติปัญญาหรือไอคิวอยู่ในระดับดี ด้วยการเลี้ยงดูที่เหมาะสมจากครอบครัวดังนี้ค่ะ 1. ความรักความอบอุ่นในครอบครัว การแสดงออกของความรักจากพ่อแม่ทำให้เด็กหลังกสาร Nerve growth factor ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของสมองได้ 2. ให้เด็กได้ทานอาหารที่ดีได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ที่สำคัญคือไอโอดีน 3. ให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ใช้ชีวิตเรียนรู้ธรรมชาติอย่างมีความสุข 4. ปล่อยให้เด็กได้เล่นอย่างอิสระ ทำให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์ เกิดการเรียนรู้ที่มีความสุข รู้จักแก้ปัญหาได้ 5. ส่งเสริมการอ่านให้กับเด็ก ๆ เพราะการอ่านช่วยสร้างจิตนาการ ทำให้สมองได้รับการพัฒนาการในด้านการใช้ภาษาและการสื่อสาร รวมไปทั้งการพูด การฟัง การเขียน และมีทักษะชีวิตที่ครบถ้วนทุกด้าน 6. ฟังเพลงเล่นดนตรี หรือเต้นรำตามจังหวะ การได้หัดแยกแยะเสียงต่าง ๆ ทั้งจากเสียงร้อยและเครื่องดนตรีจะส่งเสริมและกล่อมเกลาจิตใจให้รู้จักฟังผู้อื่นมากขึ้น มีบุคลิกภาพที่ดีและมีสมาธิดีขึ้น 7. ส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้ออกกำลังกายเล่นกีฬาที่ชอบ ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ กระตุ้นการเจริญเติบโตของสมองเด็ก ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง หลักการเลี้ยงเด็กเพื่อพัฒนาไอคิวข้างต้นทั้งเจ็ดข้อนี้ หากปฏิบัติตามได้คุณจะได้ทั้งลูกน้อยที่มีทั้งความสามารถทางสติปัญญาพร้อมกับเด็กที่อารมณ์ดีมีความสุขในคน ๆ…

  • ไม่อยากไอคิวหล่น…ต้องกินอาหารเช้า

    ไม่อยากไอคิวหล่น…ต้องกินอาหารเช้า

    ไม่อยากไอคิวหล่น…ต้องกินอาหารเช้า นับเป็นความเข้าใจผิดของพ่อแม่จำนวนมากที่ไม่เห็นความสำคัญของอาหารเช้าเลย นอกจากตัวเองจะไม่ทานแล้ว ยังไม่ยอมจัดหาให้ลูก ๆ ได้ทานเต็มมื้อด้วย ผลเสียของการไม่ทานอาหารเช้านั่นคือทำให้ร่างกายขาดพลังงาน และสมองจะตื้อ ไม่ปลอดโปร่ง การเรียนรู้และความจำก็ไม่ดี  เพราะสมองของคนเรานั้นต้องการใช้กลูโคสเป็นพลังงาน ซึ่งได้ถูกเผาผลาญไปจนเกือบหมดแล้วในระหว่างการนอนหลับ  หากตื่นเช้ามาไม่ทานข้าวเช้า ก็จะทำให้สมองไม่สดใสดังกล่าวมาแล้ว สารอาหารที่จำเป็นสำหรับมื้อเช้าก็คือคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ ข้าว แป้ง น้ำตาล เพราะจะเป็นการส่งกลูโคสกลับเข้าสู่สมอง ทำให้สมองตื่นตัวทำงานได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังให้พลังงานกับร่างกายในการเริ่มเช้าวันใหม่ได้  และหากคุณไม่ยอมทานมื้อเช้าแต่ไปรวบยอดเอาในมื้อเที่ยงก็ไม่ทันอยู่ดี เพราะเวลาที่ร่างกายต้องการพลังงานส่วนนั้นได้ผ่านไปแล้ว   หากติดนิสัยไม่เคยทานอาหารเช้าหรือไม่ทานอาหารเช้าไปนาน ๆ จะสังเกตได้ว่าความจำจะเริ่มเสื่อม สมองไม่ค่อยสดใสเท่าไรนัก และอาหารของสมองที่สำคัญมากก็ได้แก่ กรดโฟลิค วิตามินบีหก วิตามินบีสิบสอง  ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งดูดซึมวิตามินบีสิบสองได้น้อยลง  ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป ทานอาหารที่มีกรดโฟลิคให้มากแทน ซึ่งพบได้มากในธัญพืชไม่ขัดสี ผักใบสีเขียวเข้ม น้ำส้มค้น และถั่ว ดังนั้นหากไม่อยากสมองเสื่อมหรือไอคิวหล่นร่วงตั้งแต่อายุน้อย ๆ ควรทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์ทุกวันนะคะ จะได้มีสมาธิเรียนหนังสือและมีแรงทำงาน ไม่ผิดพลาดและไม่หิวโซจนถึงมื้อเที่ยงอีกด้วยค่ะ

  • เสริมสร้างไอคิว และพัฒนาการทางสมอง ให้ลูกด้วยนมแม่

    เสริมสร้างไอคิว และพัฒนาการทางสมอง ให้ลูกด้วยนมแม่

    เสริมสร้างไอคิว และพัฒนาการทางสมอง ให้ลูกด้วยนมแม่ สำหรับเด็กทารกแล้ว น้ำนมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดของเขา เป็นอาหารจากอกแม่ที่ไหลออกจากอกสู่ปากสู่ ไม่เพียงทำให้ลูกอิ่มท้องเท่านั้น แต่ยังสร้างภูมิคุ้มกันและการเจริญเติบโตให้กับลูกได้อย่างเหมาะสม พัฒนาทั้งทางร่างกายและทางจิตใจลูกพร้อมทั้งแม่ได้อย่างยอดเยี่ยม สาเหตุที่จำเป็นต้องเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ก็เป็นเพราะ ในน้ำนมแม่ทำให้ลูกฉลาดหรือมีไอคิวที่สูงขึ้นได้ แม้ว่าความฉลาดหรือไอคิวของเด็กจะขึ้นอยู่กับสิ่งสำคัญสามประการก็คือ การเลี้ยงดู กรรมพันธุ์จากพ่อแม่และอาหารที่เหมาะสมก็ตาม แต่นมแม่ก็ยังเป็นตัวช่วยสำคัญในการทำให้สมองลูกเจริญเติบโตได้อย่างดีและสมบูรณ์มากขึ้นด้วย เป็นเพราะว่า 1. ในน้ำนมแม่นั้นมีไขมันที่จำเพาะสำหรับสมองเด็กทารก โดยในระยะหกเดือนแรกนี้ร่างกายหนูน้อยยังย่อยไขมันไม่ได้เต็มที่ แต่ในนมแม่มีน้ำย่อยไขมันมาด้วย ดังนั้นไขมันจากนมแม่จึงถูกนำไปใช้สร้างสมองได้สมบูรณ์เต็มที่ต่างจากนมกระป๋องตามโฆษณา 2. สารอาหารหลายร้อยชนิดในนมแม่มีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองและจอประสาทตา ดังนั้นเด็กที่กินนมแม่จึงมีสมองดี ดวงตามองเห็นได้ชัดเจน และทำให้พัฒนาการรวดเร็วขึ้น 3. เวลาให้นมลูกด้วยนมตนเอง แม่ต้องอุ้มลูกไว้ในอ้อมกอดวันละหลาย ๆ ครั้ง การอุ้มลูกจะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทำให้เซลล์สมองมีการเชื่อมโยงกันมากขึ้น ยิ่งเชื่อมโยงมากก็ยิ่งฉบาดมาก หากเชื่อมโยงน้อยสมองส่วนนั้นก็จะฝ่อตัวไปในที่สุด ความจำเป็นที่ต้องให้ทารกดื่มนมแม่เป็นเวลาหกเดือน จากที่เคยเข้าใจว่าให้นมแม่แค่สี่เดือน ก็เป็นเพราะว่า น้ำย่อยของเด็กจะสร้างครบและพร้อมจะย่อยอาหารทุกอย่างเมื่ออายุครบหกเดือนขึ้นไป ซึ่งในอดีตที่ให้เด็กหัดกินอาหารอื่นเมื่อครบสี่เดือน ก็เป็นการเผื่อให้ร่างกายได้สร้างน้ำย่อยให้ครบพอดี แต่จากข้อมูลสถิติแล้วพบว่า เด็กที่กินนมแม่ผสมกับข้าวเร็วกว่าหกเดือน จะเจ็บป่วยบ่อยเมื่อเทียบกับเด็กที่ดื่มนมแม่ล้วน ๆ ดังนั้นเราจึงควรให้ลูกดื่มแต่นมแม่อย่างเดียวตลอดหกเดือนแรก นอกจากนั้นแล้วการดื่มนมแม่อย่างเดียวตลอดหกเดือนยังช่วยลดโอกาสท้องเสีย เกิดโรคทางเดินหายใจหรือโรคภูมิแพ้ แล้วยังส่งผลดีต่อพัฒนาการทางสมองเด็กมากกว่า ดังนั้นคุณแม่ทั้งหลายของให้มั่นใจเถอะว่าการให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียวลูกไม่ขาดน้ำหรือสารอาหารแน่นอน และในระยะหกเดือนแรกสมองลูกจะเติบโตเร็วมากการดื่มนมแม่จึงเหมาะที่สุด หากให้ทานอาหารชนิดอื่น ระบบทางเดือนอาหารลูกยังไม่สามารถย่อยได้เต็มที่ อาจทำให้ลูกเจ็บป่วยบ่อยเพราะอาหารอื่นลงไปแย่งพื้นที่นมแม่ที่มีสารอาหารเต็มเปี่ยมด้วย อีกทั้งยังอาจทำให้ลูกได้รับเชื้อโรคที่ปะปนมากับอาหารชนิดอื่นหรือแพ้โปรตีนจากนมอื่น ๆ…