Tag: ไมเกรน
-
สวดมนต์ช่วยเยียวยารักษาโรคได้
สวดมนต์ช่วยเยียวยารักษาโรคได้ การสวดมนต์นั้นเป็นเครื่องช่วยนำสู่สมาธิได้ ทำให้ผู้สวดจดจ่ออยู่กับบทสวด ใจไม่ฟุ้งไปที่อื่นจึงเกิดสมาธิได้ง่ายมาก เมื่อร่างกายเข้าสู่สมาธิจะหลั่งสารที่กระตุ้นระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้จิตใจและร่างกายมีความผ่อนคลาย สร้างภูมิต้านทานได้ดีขึ้น เมื่อเจ็บป่วยก็จะดีขึ้นตามลำดับ ช่วยบำบัดอาการเจ็บป่วยและเยียวยารักษาโรคได้มากมายไม่ว่าจะเป็น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบาหวาน ซึมเศร้า มะเร็ง ไมเกรน ออทิสติก โรคอ้วน นอนไม่หลับ พาร์กินสัน ฯลฯ ซึ่งสามารถทำได้หลายแบบได้แก่ 1. สวดมนต์ด้วยตนเอง อาจตื่นมาสวดตอนเช้าหรือก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรสวดหลังกินอาหารทันที อาจสวดบทสั้น ๆ ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีก็จะทำให้ร่างกายหลั่งสารซีโรโทนินออกมา หากสวดบทยาวจะช่วยให้ผ่อนคลายและเกิดความศรัทธา ขณะสวดมนต์ให้หลับตาสวดให้เกิดเสียงดังให้ตัวเองได้ยิน 2. การสวดให้ผู้อื่นฟัง อาจเป็นการฟังพระสวด หรือเปิดเทปฟัง ยิ่งหากผู้สวดมีสมาธิ เสียงจะนุ่มและทุม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยาผู้ฟังได้ แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิหรือไม่มีความเมตตาจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วยเลย 3. การสวดมนต์ให้แก่ผู้อื่น เป็นการส่งความปรารถนาดีไปสู่ผู้ป่วยจากคลื่นที่เป็นบวก เมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกล ๆในรูปของคลื่นไฟฟ้า ช่วยเยียวยารักษาผู้อื่นได้ บทสวดมนต์นั้นมีอยู่มากมาย สามารถเลือกบทที่ชอบสวดได้ตามต้องการ เลือกบทที่สวดแล้วสบายใจอย่างอิติปิโสก็ได้ แล้วสวดเท่าอายุ หรือหากต้องการให้ตัวเองหรือผู้อื่นหายเจ็บป่วย นิยมสวดโพชฌงค์เจ็ด ซึ่งมีความแตกต่างจากบทอื่น…
-
ความรู้เกี่ยวกับโรคไมเกรน หรือโรคลมตะกัง
ความรู้เกี่ยวกับโรคไมเกรน หรือโรคลมตะกัง สาเหตุของโรคไมเกรน หรือโรคลมตะกัง นั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ทุกครั้งที่อาการกำเริบจะมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและประสาทบนใบหน้า ทำให้หลอดเลือดภายในกะโหลกศรีษะหดตัว แต่หลอดเลือดภายนอกศีรษะ พองตัว ประสาทไวมากขึ้น จึงมีอาการปวดศรีษะและอาการอื่น ๆ ตามมา กว่าร้อยละ 70 นั้นโรคนี้จะถ่ายทอดทางพันธุกรรมด้วย สาเหตุหรือปัจจัยที่กระตุ้นให้โรคกำเริบ มักจะมีอาการปวดหัวเป็นครั้งคราว และทุกครั้งจะมีการกระตุ้นล่วงหน้าเป็นชั่วโมงถึงสองวันเสมอ ผู้ป่วยควรสังเกตตัวเองว่ามีสาเหตุกระตุ้นอะไรบ้าง ซึ่งอาจมีมากกว่าแค่หนึ่งอย่าง ตัวกระตุ้นก็อาทิ แสงแดด แสงจ้า แสงระยิบระยับ หรือการใช้สายตานาน ๆ เสียงดัง เสียงจอแจต่าง ๆ , กลิ่นฉุน ควันบุหรี่ กลิ่นน้ำหอม , อาหารบางชนิด เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล ช็อกโกแลต กล้วยหอม ชูรส น้ำตาลเทียม แอลกอฮอล์ กาแฟ ยาคุมกำเนิด ยานอนหลับ, อากาศที่ร้อนจัด เย็นจัด หิวจัด อิ่มจัด อดนอน หรือนอนมากเกินไป รวมไปถึงความเครียด…
-
ดูแล…อาการปวดศีรษะด้วยตัวคุณเอง
ดูแล…อาการปวดศีรษะด้วยตัวคุณเอง การปวดศีรษะเป็นอาการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พบเห็นได้บ่อย ๆ อยู่แล้ว ซึ่งสามารถก็ได้แก่ การใช้สายตานานและมากเกินไป นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ มีความเครียดหรือมีปัญหาจากไมเกรน ซึ่งการดูแลอาการปวดศีรษะเหล่านี้แบบเบื้องต้นก็คือการให้ยาหม่องทาถูกนวดบริเวณจุดที่ปวด หากยังไม่หายดีก็ให้ทานยาพาราเซตามอลตามขนาด แล้วหากยังไม่หายขาดก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที แต่หากเป็นอาการปวดหัวที่เกิดจากความเครียดควรผ่อนคลายตัวเองลง แล้วหาทางพักผ่อน อาจเป็นการทำจิตใจให้ผ่อนคลาย นอนหลับให้เพียงพอ อาบน้ำสบาย ๆ แล้วพักผ่อนก็จะช่วยได้ด้วย หรือในบางกรณีอาจปรึกษานักจิตวิทยาเพื่อช่วยกันหาทางออกก็ได้ สำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน ซึ่งก็ไม่มีอันตรายร้ายแรงมาก โรคปวดหัวไมเกรนนี้มักเกิดกับผู้ท่มีอายุตั้งแต่ 15-55 ปี โดยเริ่มปวดครั้งแรกเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นหรือวัยทำงาน โดยเริ่มจากตาพร่า เวียนศีรษะ หรือคลื่นไส้ แล้วจะจะปวดตุบ ๆ ตรงขมับข้างเดียวหรือสองข้าง และจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ระยะเวลาการปวดอาจนานเป็นชั่วโมงหรือนานถึง 1-2 วัน อาจเป็น ๆ หาย ๆ ตามสิ่งที่กระตุ้น ซึ่งหากท่านมีอาการไมเกรนควรดูแลตนเองดังต่อไปนี้ 1. เมื่อเริ่มปวดหัว ให้ทานยาพาราเซตามอลทันที 1-2 เม็ด เพราะหากปล่อยไว้เกินครั้งชั่วโมง ยาแก้ปวดจะใช้ไม่ได้ผล เมื่อทานยาแล้วควรทานพักในห้องเย็น ๆ…
-
ผู้ป่วย “ไมเกรน” ระวังอาหารดังต่อไปนี้
ผู้ป่วย “ไมเกรน” ระวังอาหารดังต่อไปนี้ คนที่มีโรคประจำตัว อย่างโรคไมเกรนนี่ จำเป็นต้องระวังการใช้ชีวิตประจำวันมากกว่าคนทั่วไป ยิ่งโดยเฉพาะอาหารแล้ว หากทานไม่ระวังอาจทำให้ร่างกายได้รับสารไทรามีน และ ไนไตรต์ เข้าไป เมื่อร่างกายได้รับปุ๊บก็จะทำให้ระบบประสาทและหลอดเลือดหดตัวทันที จึงปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ดังนั้นจึงควรระวังอาหาร 5 ชนิดนี้ไว้ค่ะ 1. กุนเชียงและเนื้อหรือหมูแดดเดียว เพราะสีแดง ๆ ของอาหารทั้งสองชนิดนี้จะเติมดินประสิวลงไปด้วย และในดินประสิวนี่แหล่ะมีสารไนไตรต์ผสมอยู่เยอะมาก ดังนั้นจึงทำให้คุณปวดหัวจี๊ดได้ทันที 2. ช็อกโกแลต คนเป็นไมเกรนทานแล้วปวดหัวทุกที แต่ทันทีสามารถทานช็อกโกแลตขาวได้ ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นนมมากกว่านั่นเอง 3. แอสปาแทม หรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาล มีผลการสำรวจมากว่าคนที่เป็นไมเกรนมักจะปวดหัวเมื่อกินสารชนิดนี้เข้าไป 4. ไวน์แดง มีไทรามีและไนไตรต์สูงมาก ดังนั้นหลีกเลี่ยงจะดีกว่า 5. ลูกชิ้นเด้งดึ๋ง ก็มีมากเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ทุกร้านที่เติมสารบอแร็กซ์ที่ทำให้ลูกชิ้นเด้งดึ๋ง นอกจากทำห้ปวดศีรษะแล้ว ยังเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วยค่ะ ระวังไว้ก่อนจะดีกว่านะคะ จะได้ไม่ปวดหัวจี๊ดค่ะ
-
ระวัง! 6 โรคยอดฮิตมนุษย์ออฟฟิศบ้าพลัง
ระวัง! 6 โรคยอดฮิตมนุษย์ออฟฟิศบ้าพลัง สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศที่ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ แม้ตอนนี้จะยังมีร่างกายแข็งแรงอยู่ แต่ก็ใช่ว่าการทำงานใช้ร่างกายอย่างหนักหน่วงนั้นจะไม่สร้างปัญหาให้กับร่างกายนะคะ เพราะจากการวิจัยและสำรวจมาหลายสิบปีในวงการแพทย์ พบว่าเหล่ามนุษย์ออฟฟิศทั้งหลายนั้นมีอัตราความเจ็บป่วยจากการทำงานในปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปีอย่างน่ากลัว นั่นเป็นเพราะชาวออฟฟิศทั้งหลายมักปล่อยให้ปีศาจร้ายทำลายสุขภาพอย่าง โรคเครียด, การทำงานนานเกินไป, พฤติกรรมกินอาหารไม่ตรงเวลา และไม่ยอมออกกำลังกาย เหล่านี้มาเป็นตัวการร้ายทำลายสุขภาพ ซึ่งโรคร้ายที่ทำลายสุขภาพชาวออฟฟิศมากที่สุด 6 โรค ก็คือ 1. ต้อหิน และตาพร่า ทำให้มองภาพได้ไม่ชัด ตาสู้แสงไม่ได้ และอาจลุกลามทำให้ตาบอดไ 2. ไมเกรน ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ คลื่นไส้อ่อนเพลีย และเสียสมรรถภาพในการทำงาน 3. อาการนิ้วล็อค ทำให้นิ้วกระดิกไม่ได้ ตึง และรู้สึกเจ็บ กล้ามเนื้ออักเสบ 4. ปวดหลังเรื้อรัง รวมไปถึงอาการปวดไหล่ ต้นคอ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เป็นอัมพาตได้ 5. โรคอ้วน มีความเสี่ยงทำให้เป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ ตลอดจนความดันโลหิตสูง 6. โรคกรดไหลย้อน เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งหลอดอาหาร สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศทั้งหลายที่เริ่มมีอาการนี้แล้ว หรือยังไม่มีก็ควรหันมาดูแลสุขภาพของตัวเองด้วยเคล็ดลับดังต่อไปนี้ – อย่าเพ่งจ้องจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป ควรพักผ่อนสายตาบ้าง…
-
อาการของโรคไมเกรน!
อาการของโรคไมเกรน! ไมเกรนเป็นโรคปวดหัวอย่างหนึ่งทีเกิดจากระบบประสาทส่วนกลางที่ทำหน้าที่รับรู้ทำงานมากกว่าปกติ ส่วนใหญ่อาการปวดหัวของคนที่เป็นโรคไมเกรนค่อนข้างจะจำเพาะ ปวดศีรษะข้างเดียว ปวดตุบ ๆ หรืออาจสลับไปมาระหว่างสองข้างได้ ระยะเวลาการปวดกินเวลาหลายชั่วโมงถึงเป็นวัน สำหรับผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นโรคไมเกรนก่อนอื่นก็ต้องเข้ารับการตรวจจากแพทย์ก่อน ว่าอาการปวดหัวนั้นมีสาเหตุมาจากอย่างอื่นหรือเปล่า ซึ่งหากสงสัยก็อาจต้องทำการตรวจเพิ่มเติม อาจจะเป็นการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถ้าไม่ได้เป็นโรคอื่นจริง ๆ และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไมเกรนจริงก็สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการรับประทานยา