Tag: โรคหัวใจ

  • ปวดท้อง ปวดยังไง ขนาดไหนจึงไปหาหมอ?

    ปวดท้อง ปวดยังไง ขนาดไหนจึงไปหาหมอ?

    ปวดท้อง ปวดยังไง ขนาดไหนจึงไปหาหมอ? ปวดท้อง เป็นอาการป่วยพื้นฐานที่พบได้บอ่ย ๆ บางคนก็เป็นอยู่เป็นประจำจนไม่ได้ใส่ใจมากนัก คิดว่าเป็นได้เดี๋ยวก็หายไปเอง แต่หารู้ไม่ว่าอาการปวดท้องบางอย่างเป็นสัญญาณเตือนให้คุณรู้ว่า ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้ละเอียดดีกว่า ก่อนที่จะกลายเป็นโรคลุกลามได้ อาการปวดท้องนั้นเกิดได้หลายสาเหตุ ตั้งแต่ปวดเล็กน้อย จนถึงปวดรุนแรงมาก อาการปวดอาจสัมพันธ์กับอวัยวะโดยตรงเช่น รังไข่ กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ที่พบได้บ่อยจะเป็นการปวดท้องเพราะอวัยวะในทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ ไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งจะเป็นโรคใดก็ต้องวินิจฉัยว่าปวดที่ตำแหน่งไหน อาการปวดเป็นอย่างไร รวมไปถึงความรุนแรงและช่วงเวลาที่ปวดท้องด้วย นอกจากนี้ยังมีอาการของโรคอื่น ๆ ที่ทำให้ปวดท้องได้ด้วย เช่น โรคหลอดเลือดขนาดใหญ่ในช่องท้อง อาการหัวใจวายเฉียบพลัน ตับอักเสบ นิ่วในไต โรคลำไส้ โรคหัวใจและปอดอักเสบก็ทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรงได้เช่นกัน หากเป็นเพศหญิงก็ต้องนึกถึงสาเหตุของอวัยวะสืบพันธุ์ต่าง ๆ แม้แต่ผู้ป่วยโรคงูสวัดที่บริเวณท้องก็อาจทำให้ปวดท้องรุนแรงได้ ฯลฯ แต่กว่าครึ่งของคนที่ปวดท้องจะวินิจฉัยหาสาเหตุได้ผล ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งอาจหาสาเหตุไม่ได้ เมื่ออาการทุเลาหายไปก็ยังไม่สามารถทราบสาเหตุที่แน่ชัดอยู่ดี อาการปวดท้องที่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษานั้นก็ได้แก่ – ปวดนานกว่า 6 ชั่วโมงและมีอาการมากขึ้น – ปวดจนกินอะไรไดม่ได้ – ปวดท้องและอาเจียนมากกว่า 3-4 ครั้ง –…

  • ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน

    ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน

    ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่มักเป็นตลอดชีวิต หากปล่อยปละละเลยหรือขาดการดูแล ก็อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงจนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ รวมไปถึงอาจเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่จะค่อย ๆ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายเสื่อมสภาพลงจนเกิดโรคแทรกซ้อนได้ทุกระบบ ซึ่งได้แก่ – หลอดเลือดแดงทั้งเล็กและใหญ่ทั่วร่างกายแข็งและตีบ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ เกิดความเสื่อมได้ เช่น จอประสาทตาเสื่อม ตามัว ตาบอด ไตวายเรื้อรัง ประสาทเสื้อ ทำให้มีอาการชาปลายมือปลายเท้า ท้องเดินหรือท้องผูก – โรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง – หน้าซีดเป็นลมเวลาลุกขึ้นยืน – องคชาตไม่แข็งตัว – หลอดเลือดหัวใจตีบ ทำให้หัวใจวายเสียชีวิตได้ – อัมพาต – ความจำเสื่อม – ติดเชื้อได้ง่าย เพราะเบาหวานทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง และอาจติดเชื้อซ้ำซาก เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ โรคเชื้อราที่ผิวหนัง ฝี พุพอง – การติดเชื้อรุนแรง เช่น กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ปอดอักเสบ วัณโรค –…

  • เคล็ดลับการวิ่งเพื่อลดความอ้วน

    เคล็ดลับการวิ่งเพื่อลดความอ้วน

    เคล็ดลับการวิ่งเพื่อลดความอ้วน การออกกำลังกายด้วยการวิ่งนั้น เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดความอ้วนได้อย่างรวดเร็ว ทำได้ง่าย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรมากก็สามารถทำได้ มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ป้องกันโรคหัวใจ เพิ่มสมรรถภาพให้กับร่างกาย ฯลฯ แต่สำหรับผู้ที่เริ่มต้นวิ่งใหม่ ๆ ควรรู้จักวิธีการวิ่งเสียก่อน มิเช่นนั้นอาจเหนื่อยหอบจนล้าหรือบาดเจ็บได้ค่ะ ท่าวิ่งและการลงน้ำหนักที่ถูกต้อง ควรวิ่งด้วยแรงจากกล้ามเนื้อโคนขา ไม่ควรลงน้ำหนักที่ปลายเท้า ควรวิ่งก้าวยาว ๆ จนกว่าจะเมื่อย เพราะกล้ามเนื้อนั้นจะใช้พลังงานจากไกลโคเจน เมื่อใช้ไกลโครเจนหมดแล้วร่างกายจะเริ่มสร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะทำให้สะสมได้มากกว่าเดิม ช่วยให้เราออกกำลังด้วยการวิ่งได้ไกลและนานมากขึ้น ควรวิ่งให้เร็ว ๆ บ้าง เพราะการวิ่งเร็วจะทำให้หัวใจต้องทำงานให้หนักขึ้นเพื่อลำเลียงออกซิเจนและพลังงาน เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจจึงขยายตัว เป็นการป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันได้ไปในตัว อีกทั้งในขณะที่วิ่งควรจะใช้กระบังลมในการหายใจ จะสามารถหายใจได้ลึกและยาวขึ้นกว่าปกติ ซึ่งการหายใจด้วยกระบังลมสามารถฝึกได้โดยการนอนหงายแล้วใช้หนังสือวางบริเวณท้อง หายใจให้หนังสือขยับขึ้นลงในขณะที่สูดลมหายใจ การหายใจแบบนี้จะทำให้ปอดขยายตัว ทำงานได้เต็มที่ ทำให้ไม่เหนื่อยง่าย วิ่งได้ระยะทางที่มากกว่าเดิม การวิ่งสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นนั้น มีคำแนะนำว่า ควรเลือกรองเท้าสำหรับวิ่งที่สวมสบาย สวมถุงเท้า ดื่มน้ำให้พอเพียงก่อนวิ่ง จิบบ่อย ๆ ระหว่างวิ่ง และดื่มทดแทนหลังจากวิ่ง ควรวอร์มร่างกายก่อนและหลังการออกกำลังกาย เลือกสนามวิ่งที่มีความปลอดภัย เช่น ตามสนามกีฬา ในฟิตเนสหรือตามสวนสาธารณะ ฯลฯ หากเป็นระยะแรกที่เพิ่งออกกำลังกาย…

  • ธัญพืช อาหารที่ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจได้

    ธัญพืช อาหารที่ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจได้

    ธัญพืช อาหารที่ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจได้ มีการศึกษาวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า การทานธัญพืชไม่ขัดสีเป็นจำนวนมากจะช่วยส่งเสริมให้หลอดเลือดมีสุขภาพดีป้องกันความเสี่ยง ในการเป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจได้ด้วย ซึ่งการวิจัยหนนี้เป็นของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย เวคฟอคเรสต์ โดยการสำรวจจากอาสาสมัครชายหญิงหลายวัยและอาชีพ พบว่า ผู้ที่ทานธัญพืชไม่ขัดสีมากที่สุด จะมีผนังหลอดเลือดบางที่สุด และเมื่อเวลาผ่านไปห้าปี ผนังหลอดเลือดสมองจะมีความหนาขึ้นช้าที่สุด อนึ่ง ผนังหลอดเลือดที่หนาตัวขึ้นเป็นตัวบ่งชี้ถึงภาวะหลอดเลือดแข็ง อันเกิดจากไขมันสะสม ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย และโรคหลอดเลือดสมองอื่น ๆ ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีผู้วินัยไว้แล้วว่าการทานธัญพืชไม่ขัดสีเป็นจำนวน จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นเบาหวานชนิดที่สองและโรคหัวใจได้ด้วย ธัญพืชไม่ขัดสีนี้เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูงและมีความซับซ้อน มีเส้นใยอาหารสูงมาก และยังมีวิตามินบี วิตามินบี และสารอาหารอีกมากมาย ปัจจุบันยังมีชาวอเมริกันไม่ถึงร้อยละ 10 ที่ทานธัญพืชไม่ขัดสีวันละสามมื้อ ส่วนมากทานวันละไม่ถึงมื้อ ซึ่งนักวิจัยได้แนะนำให้เพิ่มขนมปังแป้งไม่ขัดขาวหนึ่งแผ่น หรือซีเรียลไม่ขัดสีอีกหนึ่งถ้วย ในอาหารแต่ละมื้อเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองและโรคเบาหวานด้วย คนไทยเองก็ควรหันมารับประทานธัญพืชไม่ขัดสีเหล่านี้ให้มากขึ้นนะคะ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคดังกล่าว ยังทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่อ้วน อิ่มอยู่ท้องได้นาน ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นไปด้วยดี อีกทั้งธัญพืชเหล่านี้ยังมีราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับอาหารอื่น ๆ อีกด้วยค่ะ  

  • สัญญาณเตือนอันตราย โรคเส้นเลือดในสมองแตก

    สัญญาณเตือนอันตราย โรคเส้นเลือดในสมองแตก

    สัญญาณเตือนอันตราย โรคเส้นเลือดในสมองแตก เส้นเลือดในสมองแตก คืออาการที่หลอดเลือดในสมองฉีกขาด เลือดออกในสมอง ทำให้เสียชีวิตได้เลยทีเดียว มักมีอาการปวดหัว แต่บางรายก็ไม่มีก็ได้ คลื่นไส้ อาเจียน อาจหมดสติ แขนขาข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง พูดไม่ชัด หรือบ้างก็พูดไม่ได้ อาการแสดงจะขึ้นกับขนาดของก้นเลือดและอาการจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเฉียบพลัน ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรสังเกตอาการของตนเองอย่างใกล้ชิด เพราะโรคนี้เวลาเป็นมักจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ใช้เวลาในการฟื้นตัวค่อนข้างนาน หากได้รับการดูแลรักษาที่ทันท่วงทีจะลดอัตราการเสียชีวิตและพิการลงได้มาก จนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคนี้มาจากการใช้ชีวิตประจำวันทั้งสิ้น เช่นการทำงานหนัก ไม่ออกกำลังกาย กินแต่ของที่มีไขมัน น้ำตาล และเค็มมาก อ้วน สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ และเกิดจากโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ อีกส่วนหนึ่งก็คือปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างเช่น กรรมพันธุ์ ความชราของร่างกาย เชื้อชาติ วัยที่มากขึ้นด้วย ส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยที่มาถึงมือหมอก็มักจะมาด้วยอาการแขนขาอ่อนแรงซีกใดซีกหนึ่ง หน้าเบี้ยว ชา มองเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็นข้างใดข้างหนึ่ง หรือมองเห็นแค่ครึ่งหนึ่งของแต่ละข้างก็ได้ ปวดหัวรุนแรงเฉียบพลัน หรือเวียนหัว อาเจียน มีปัญหาการพูด ซึม หมดสติ ชัก เกิดได้หลายอาการรวมกัน แล้วแต่รูปแบบของหรือตำแหน่งของสมองที่มีการขาดเลือดหรือเลือดออกในสมอง หากไม่อยากตกเป็นผู้หนึ่งที่ต้องพิการหรือเสียชีวิต ควรสังเกตตัวเองว่ามีอาการดังต่อไปนี้บ้างหรือเปล่า…

  • ดูแลหัวใจของคุณให้ดีนะ

    ดูแลหัวใจของคุณให้ดีนะ

    ดูแลหัวใจของคุณให้ดีนะ โรคหัวใจเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนวัยทำงานในประเทศไทยไปมาก โดยมากจะพบได้ในผู้ที่มีอายุ 35-36 ปี ซึ่งกำลังเป็นวัยทำงานและกำลังสร้างครอบครัว โดยสถิติของมูลนิธิโรคหัวใจแห่งประเทศไทยนั้น พบว่าทุกเก้านาทีจะมีคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจ 1 ราย และมีอัตราการเพิ่มผู้เสียชีวิตมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหัวใจแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มได้แก่ ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้อย่าง เพศ อายุ และพันธุกรรม ซึ่งเพศชายจะมีภาวะโรคหัวใจวายก่อนเพศหญิงถึงสิบปี และหากในครอบครัวมีประวัติคนเป็นโรคหัวใจและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร อัตราเสี่ยงก็จะยิ่งสูงขึ้นไปด้วย แต่ในด้านปัจจัยที่ควบคุมได้นั้น เป็นสิ่งที่เราควรใส่ใจให้มากเป็นพิเศษ เพราะมีคนไม่น้อยเลยที่ไม่มีญาติพี่น้องป่วยหรือตายด้วยโรคหัวใจ แต่ต้องมาตายเพราะโรคหัวใจตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นเราจึงควรดูแลหัวใจของเราให้ดีด้วยวิธีดังต่อไปนี้ค่ะ – ทานอาหารให้เหมาะสม ทานผักสด ผลไม้สด และธัญพืชให้มากขึ้น เลือกทานไขมันไม่อิ่มตัว ดื่มนมไขมันต่ำ ทานอาหารประเภทปลา งดอาหารมัน ๆ อาหารทอด ที่จะทำให้เกิดการสะสมคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ – ออกกำลังกายให้เป็นประจำ อย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง จะช่วยควบคุมน้ำหนักตัว ทำให้หลอดเลือดยืดหยุ่นมากขึ้น ลดการสะสมของคอเลสเตอรอลในเลือดด้วย – อย่าปล่อยตัวให้อ้วน – ทำจิตใจให้สบาย อย่าปล่อยให้เครียด เพราะความเครียดจะเพิ่มความดันโลหิตให้สูงขึ้น และทำให้เกิดโรคนานาชนิดด้วย – หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า การเสพยาเสพติดต่างๆ ฯลฯ…

  • “ข่า” สมุนไพรบรรเทาอาการปวดข้อเท้า

    “ข่า” สมุนไพรบรรเทาอาการปวดข้อเท้า

    “ข่า” สมุนไพรบรรเทาอาการปวดข้อเท้า คนทำงานบางคนมีสภาพการทำงานที่ไม่เหมือนคนอื่น ๆ บางคนต้องยืนทั้งวันหรือใช้เท้าในการทำงานมาก ไม่ว่าจะเป็นพนักงานขายที่ต้องยืนทั้งวัน พนักงานต้อนรับ หรือแม้แต่พนักงานประกอบอุปกรณ์ในโรงงาน ฯลฯ อาชีพเหล่านี้ทำให้เกิดความเมื่อยล้ากล้ามเนื้อน่อง ต้นขา เท้า ได้ง่ายมาก วันนี้จะมาแนะนำสมุนไพรสำหรับบรรเทาอาการปวดข้อเท้าค่ะ ซึ่งนั่นก็คือสมุนไพรที่เราคุ้นตากันอยู่แล้ว “ข่า” นั่นเองค่ะ “ข่า” ไม่ได้เป็นแค่สมุนไพรสำหรับการปรุงอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคได้มากหมายหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคระบบทางเดินอาหาร เพราะข่าช่วยย่อย ช่วยขับลม ขับน้ำดีได้ รักษาระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี รักษาอาการลมพิษ ผดผื่นคัน รักษากลากเกลื้อนได้ และยังช่วยแก้ปวดและแก้อักเสบได้ดีด้วย การนำเอาข่ามารักษาบรรเทาอาการปวดข้อเท้านั้น ก็ทำเองได้ง่าย ๆ โดยนำข่าแก่ ๆ มาโขลกแล้วคั้นน้ำออกบ้าง แล้วนำมาพอกบริเวณที่ปวดแล้วพันผ้าทิ้งเอาไว้ ที่สำคัญก็คือก่อนการพอกข่าทุกครั้งต้องทาน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าวบนผิวหนังก่อน เพราะข่ามีฤทธิ์ร้อน อาจทำให้ผิวหนังพองหรือไหม้ได้ และอย่าใช้ข่ามากเกินไป หรือพอกทิ้งไว้นานเกินไป เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผิวหนังได้เช่นกัน แต่เผลอลืมนำข่าพอกลงไปบนผิวหนังก่อนที่จะทาน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว จะทำให้ผิวหนังพองหรือไหม้ดำ การรักษานั้นให้นำเอามะขามเปียกมาถูบริเวณที่ไหม้เบา ๆ จนกว่าผิวหนังจะเป็นปกติ จะเห็นได้ว่าสมุนไพรของไทยเป็นภูมิปัญญาที่มีค่า มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เป็นของที่หาได้ง่ายและรักษาโรคต่าง ๆ ได้ผลเป็นอย่างดี เราคนไทยควรร่วมกันรักษาภูมิปัญญานี้ไว้นาน ๆ…

  • สรรพคุณมากคุณค่าของเห็ดหลากหลายชนิด

    สรรพคุณมากคุณค่าของเห็ดหลากหลายชนิด

    สรรพคุณมากคุณค่าของเห็ดหลากหลายชนิด ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเห็ด พืชที่ชอบขึ้นตามขอนไม้และที่ชื้นแฉะทั้งหลาย มีหลายสายพันธุ์ที่เป็นพิษ แต่ก็มีอีกหลายชนิดที่สามารถนำมาทานได้ และสามารถเพาะพันธุ์ขายได้ด้วย มาดูกันดีกว่าค่ะว่าเห็ดแต่ละชนิดที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ให้คุณค่าต่อร่างกายอย่างไรกันบ้าง – เห็ดชิตาเกะ หรือเห็ดหอม เป็นยาทางแพทย์แผนจีน รักษาโรคได้หลากหลายชนิด ป้องกันเชื้อไวรัสและการก่อกำเนิดของเซลล์มะเร็งได้ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ให้กรดอะมิโน ให้วิตามินบี 1 บี 2 และวิตามินดีสูง บำรุงกระดูก มีปริมาณของโซเดียมต่ำจึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไต ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ลดกรดในกระเพาะอาหาร บรรเทาหวัดได้ – เห็ดหลินจือ มีคุณสมบัติช่วยต้านมะเร็ง โดยประเทศญี่ปุ่นมักใช้ควบคู่กับการรักษาโรคมะเร็งและโรคชรา เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น – เห็ดหูหนู ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาว เพิ่มภูมิต้านทาน รักษาโรคกระเพาะและริดสีดวง บำรุงไตและปอด – เห็ดแชมปิญอง หรือเห็ดกระดุม ช่วยป้องกันและต้านทานมะเร็งเต้านมได้ ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง จึงลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วยนั่นเอง – เห็ดนางฟ้า เห็ดนางรม และเห็ดเป๋าฮื้อ เป็นเห็ดในตระกูลเดียวกัน เชื่อว่าป้องกันโรคไข้หวัด ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้ –…

  • น้ำมันแต่ละชนิด มีคุณค่าต่อร่างกายอย่างไรบ้าง?

    น้ำมันแต่ละชนิด มีคุณค่าต่อร่างกายอย่างไรบ้าง?

    น้ำมันแต่ละชนิด มีคุณค่าต่อร่างกายอย่างไรบ้าง? เดี๋ยวนี้น้ำมันสำหรับปรุงอาหารมีให้เลือกมากมายหลายชนิดเลยนะคะ ซึ่งการเลือกซื้อมาปรุงอาหารบริโภคเนี่ยก็ควรศึกษาให้ดีก่อนค่ะว่าน้ำมันแต่ละชนิดนั้นเหมาะสำหรับทำอาหารชนิดใด ความร้อนในระดับใด และมีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกายด้วย วันนี้เราจะมาเรียนรู้ไปด้วยกันค่ะ – น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดียวมากที่สุด จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง มีวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีนสูง ทำให้ผิวหนังอ่อนเยาว์ ยืดหยุ่นตัวได้ดี ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ แต่ก็มีจุดเกิดควันที่ต่ำ จึงเหมาะสำหรับเป็นน้ำมันสลัด ไม่เหมาะสำหรับการทอด หรืออาหารที่ต้องผ่านความร้อน และมีราคาค่อนข้างสูงกว่าน้ำมันชนิดอื่น ๆ – น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน อุดมไปด้วยกรดไลโนเลอิก ช่วยลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ได้ มีวิตามินอีสูงด้วย จึงช่วยในเรื่องของผิวพรรณ แต่เมื่อโดนความร้อนจะเกิดอนุมูลอิสระได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับการผัดอาหารที่ใช้ความร้อนเพียงปานกลาง – น้ำมันรำข้าว เป็นน้ำมันที่มีคุณสมบัติคล้ายน้ำมันมะกอก แต่มีราคาไม่แพง มีสารโอรีซานอลมากซึ่งไม่พบในน้ำมันพืชนิดอื่นนัก ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และลดระดับของคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยปรับสมดุลในสตรีวัยทองได้ดี – น้ำมันปาล์ม อุดมไปด้วยวิตามินอีและเป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในระดับปานกลาง ทนความร้อนสูงได้มากกว่าน้ำมันชนิดอื่นจึงเหมาะสำหรับการทอดที่สุด แต่มีกรดไขมันอิ่มตัวและกรดไลโนเลอิกต่ำกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ อาจทำให้คอเลสเตอรอลสูงได้ – น้ำมันงา มีสารเซซามอลที่มีสรรพคุณช่วยชะลอความชรา ลดความดันโลหิตและการแพร่การจายตัวของเซลล์มะเร็งได้ ป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจ บรรเทาอาการท้องผูกได้ด้วย

  • ลดเกลือ ลดโซเดียม ลดโรคร้าย

    ลดเกลือ ลดโซเดียม ลดโรคร้าย

    ลดเกลือ ลดโซเดียม ลดโรคร้าย พฤติกรรมกินเค็ม เป็นพฤติกรรมปกติของคนทั่วไป ลองคิดดูสิจะมีสักกี่คนที่ทานข้าวผัดแล้วไม่เติมพริกน้ำปลา ทานไข่เจียวแล้วไม่เหยาะซอสพริก หรือทานไข่ดาวแล้วจะไม่เหยาะซอส ทานก๊วยเตี๋ยวแล้วไม่เติมน้ำปลาเลย ฯลฯ เรียกได้ว่าหาแทบจะไม่พบเลยทีเดียว ซึ่งแม้พฤติกรรมนี้จะดูเป็นเรื่องเคยชิน แต่ความจริงแล้วความเค็มหรือเกลือเหล่านี้กำลังทำร้ายสุขภาพของคุณอยู่ โดยปัจจุบันนี้จากการสำรวจพบว่าคนไทยบริโภคเกลือเข้าสู่ร่างกายมากกว่าที่ร่างกายต้องการถึง 2 เท่า การทานเกลือแบบนี้ไม่ใช่การตักเกลือเป็นช้อนเข้าปาก แต่เกิดจากการปรุงอาหารด้วยเครื่องปรุงที่มีเกลือเป็นส่วนผสม เช่น ซอสปรุงรส กะปิ น้ำปลา ซี่อิ๊ว ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ผงชูรส ซอสหอยนางรส น้ำจิ้มสุกี้ น้ำจิ้มไก่ และผงฟูที่ใช้ทำขนมด้วย ซึ่งจากการสำรวจตามร้านอาหารตามสั่งทั่วไปนั้น อาหารจานเดียวทั้งหลายก็มีปริมาณของเกลือโซเดียมแทบจะเท่ากับปริมาณที่ร่างกายควรบริโภคทั้งวันไปแล้ว นอกเหนือจากนี้อาหารชนิดอื่น ๆ ก็ยังปริมาณของเกลือ หรือโซเดียมมากอีกด้วย เช่น เต้าเจี้ยว ปลาร้า กะปิ ของดอง กุ้งแห้ง อาหารกระป๋อง ปลาเค็ม ปลาตากแห้ง เนื้อตากแห้ง ขนมถุงกรุบกรอบ อาหารแปรรูป น้ำผลไม้ เครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำพริก เครื่องจิ้มต่าง ๆ อาหารที่ใส่ผงชูรส อาหารที่ใส่ผงฟู…