Tag: โรคหลอดเลือด
-
ลดเค็มลงครึ่งหนึ่งจะได้ไหม?
ลดเค็มลงครึ่งหนึ่งจะได้ไหม? ในปัจจุบันนี้คนไทยเรามีสติถิการเป็นโรคความดันโลหิตสูงถึงกว่า 12 ล้านคน เป็นโรคไต 8 ล้านคน โรคหัวใจขาดเลือด 7.5 แสนคน รวมถึงโรคหัวใจขาดเลือดหรืออัมพฤกษ์ อัมพาตที่มีสาเหตุมาจากการกินอาหารที่มีรสเค็มหรือมีโซเดียมสูงมาก ทำร้ายร่างกายได้ในระยะยาว ซึ่งจากการสำรวจพบว่าคนไทยบริโภคเกลือหรือโซเดียมสูงเกินกว่าที่แนะนำต่อวันถึงสองเท่าตัว หรือประมาณ 5,000 มิลลิกรัมต่อวันเลยทีเดียว ซึ่งมักอยู่ในรูปของเครื่องปรุงรสต่ง ๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำปลา ซีอีว ผงชูรส เกลือ กะปิ เครื่องแกง น้ำปลาร้า ผงฟู ฯลฯ อาหารที่เป็นนิยมและมีโซเดียมอยู่มากมักไม่ใช่อาหารสดแต่จะเป็นอาหารปรุงสำเร็จ หรืออาหารแปรรูป ไมว่าจะเป็น อาหารกระป๋อง อาหารดองเค็ม ตากแห้ง แช่อิ่ม บะหมี่วอง กุนเชียง ลูกชิ้น ไข่เค็ม ขนมถุง ขนมปัง ฯลฯ แม้แต่กับข้าวสำเร็จที่ขายก็ยังมีโซเดียมสูงมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นแกงไตปลา ไข่พะโล้ คั่วกลิ้ง แม้แต่ในอาหารจานเดียวอย่าง ข้าวหน้าเป็ด ข้าวขาหมู ข้าวคลุกกะปิ ข้าวมันไก่ ก็มีโซเดียมต่อจานตั้งแต่ 1,000-2,000 มิลลิกรัมเลยนะคะ…
-
แนวทางการเลือกเครื่องดื่มที่จะไม่ทำให้เราอ้วน
แนวทางการเลือกเครื่องดื่มที่จะไม่ทำให้เราอ้วน มีคนอยู่ส่วนน้อยค่ะ ที่จะทราบว่าเครื่องดื่มเย็น ๆ รสชาติหวานหอม ไม่ว่าจะเป็น กาแฟเย็นหวานมัน ชานมไข่มุก น้ำปั่น น้ำอัดลมต่าง ๆ ฯลฯ จะทำให้คุณสามารถอ้วนขึ้นได้ง่ายมากเลยค่ะ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีแคลอรี่เป็นจำนวนมาก เพราะส่วนผสมก็คือ ครีมเทียม นม น้ำตาล ไซรัป หวาน ๆ นั่นเอง นอกจากทำให้อ้วนแล้วยังทำให้เป็น โรคเบาหวาน ฟันผุ และปัญหาสุขภาพอีกมากมายด้วย อีกทั้งในปัจจุบันนี้มีเครื่องดื่มหลายชนิดออกมาทำตลาดมากมาย ดังนั้นเราจึงควรมีวิจารณญาณในการเลือกเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพเรา ด้วยแนวทางต่อไปนี้ 1. เครื่องดื่มที่ดีที่สุดก็คือ “น้ำเปล่า” นั่นเองค่ะ ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานอย่างเป็นปกติ ดับกระหายและให้ความชุ่มชื้นกับร่างกาย ควรดื่มน้ำวันละสองลิตรขึ้นไปด้วยจึงจะเพียงพอค่ะ 2. รองลงมาน้ำสะอาดก็คือ ชาและกาแฟที่ไม่เติมครีมหรือน้ำตาลใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้ไม่มีแคลอรี่เลย สำหรับบางคนที่อาจไวต่อคาเฟอีนอาจมีอาการใจสั่นหรือคลื่นไส้ได้เมื่อดื่มกาแฟ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่า 3. น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง หรือนมที่มีไขมันต่ำ เพราะในนมนั้นมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ให้แคลเซียม เพื่อบำรุงกระดูก ส่วนน้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลืองก็เป็นเครื่องดื่มอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้นมวัว ให้โปรตีนและแคลเซียมต่อร่างกายได้เหมือนกันค่ะ…
-
โรคเรื้อรังไม่ติดต่อ เกิดจากการกินดีอยู่ดีเกินไป
โรคเรื้อรังไม่ติดต่อ เกิดจากการกินดีอยู่ดีเกินไป โรคเรื้อรังไม่ติดต่อ คือโรคที่รักษาหายได้ยากหรือรักษาได้ไม่หายขาด ได้แก่โรคในกลุ่ม ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด เบาหวาน และโรคมะเร็ง ซึ่งจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขในปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยโรคเหล่านี้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลมากขึ้นและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุของโรคเหล่านี้เกิดจากการกินดีอยู่ดีเกินไป ไม่ว่าจะเป็น การชอบกินอาหารรสชาติหวานจัด ไขมันสูง หรือเค็มจัด การขาดการออกกำลังกาย ชอบดื่มเหล้าสูบบุหรี่ และชอบสะสมความเครียดด้วย คนที่มีน้ำหนักเกินจนอ้วนลงพุงนั้น จะมีไขมันสะสมในช่องท้องมาก โดยไขมันเหล่านี้จะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ ขัดขวางการทำงานของอินซูลินจึงเกิดผลร้ายกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เมื่อมีไขมันในหลอดเลือดก็จะทำให้หลอดเลือดเสื่อมตัวลง เกิดเป็นโรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจ ทำให้ไตวาย หัวใจวาย จนเป็นอัมพาตหรืออัมพฤกษ์และเสียชีวิตได้ เกณฑ์ในการเป็นโรคอ้วนลงพุงนั้น ให้วัดที่ขนาดรอบเอวโดย ผู้ชายมีเส้นรอบเอวตั้งแต่ 90 เซนติเมตรขึ้นไป และ 80 เซนติเมตรขึ้นไปในผู้หญิง รวมกับปัจจัยเสี่ยงอีก 2 ใน 4 ข้อต่อไปนี้ได้แก่ 1. มีความดันโลหิตตั้งแต่ 130/85 ขึ้นไป หรือทานยาควบคุมความดันโลหิตอยู่ 2. มีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารตั้งแต่ 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป 3. มีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงกว่า 150…
-
อาการความดันโลหิตสูง…ต้นเหตุสารพัดโรค
อาการความดันโลหิตสูง…ต้นเหตุสารพัดโรค ความดันโลหิต หมายถึง แรงดันของโลหิตที่เกิดจากหัวใจทำการสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งแบ่งออกเป็นสองค่า ก็คือค่าความดันขณะที่หัวใจบีบตัว (ตัวบน) และค่าความดันขณะที่หัวใจคลายตัว (ตัวล่าง) โดยปรกติคนทั่วไปจะมีค่าความดันโลหิตอยู่ที่ 120/80 มม.ปรอท แต่หากความดันโลหิตเกินกว่า 140/90 ขึ้นไป ถือได้ว่าเข้าข่ายเป็นโรค “ความดันโลหิตสูง” ซึ่งควรใส่ใจดูแลตนเองให้มาก ป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงขึ้นและโรคอื่น ๆ ที่จะตามมาทั้งโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง เกิดได้หลายกรณี ไม่ว่าจะเป็น หลอดเลือดมีการหดตัวผิดปกติ การสะสมของไขมันบริเวณผนังหลอดเลือด หรือการสะสมน้ำและเกลือแร่ในร่างกายมากเกินไป ฯลฯ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้หัวใจจะทำงานหนักมา และในระยะยาวหลอดเลือดจะเกิดความเสื่อมไปทั่วร่าง แรก ๆ จะทำให้มีโปรตีนรั่วออกมาปนกับปัสสาวะจนตรวจพบได้ แต่ในระยะยาวจะทำให้ไตเสื่อมจนขับของเสียและเกลือแร่ออกมาได้น้อยลง เกลือแร่ที่ตกค้างจึงยิ่งทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นไปอีก จนไตวายในที่สุด ผู้ที่ทราบว่าตนเป็นมีอาการความดันโลหิตสูง จึงควรควบคุมความดันของไว้และหมั่นตรวจความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ ทานยาตามแพทย์สั่งอย่างต่อเนื่องอย่าหยุดยาไปเอง และพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง ควบคุมน้ำหนักตัว ลดอาหารที่มีโซเดียมหรือเกลือ อาหารที่มีไขมันสูง ลดการดื่มกาแฟ เหล้า บุหรี่ ทานผักผลไม้ให้มาก ออกกำลังให้สม่ำเสมอ และที่สำคัญไม่แพ้อย่างอื่นก็คือพยายามผ่อนคลายตนเองอย่างให้เครียดด้วยค่ะ เพราะความเครียดก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญทำให้ความดันโลหิตพุ่งสูงขึ้นได้เช่นกันค่ะ
-
การดูแลช่องปากเพื่อป้องกันโรคเหงือกอักเสบ
การดูแลช่องปากเพื่อป้องกันโรคเหงือกอักเสบ โรคเหงือกอักเสบ เป็นโรคที่คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยใส่ใจมากนัก แต่หารู้ไม่ว่าโรคนี้ทำให้เกิดปัญหาลุกลามจนสูญเสียฟันได้เลยทีเดียว โดยสาเหตุของโรคเหงือกอักเสบนั้นเกิดมาจากการขาดการดูแลรักษาความสะอาดภายในช่องปากอย่างถูกวิธี จึงเกิดคราบสะสมของจุลินทรีย์รวมทั้งหินปูนที่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่ทำให้เป็นโรคเหงือกอักเสบ เหงือกบวมแดง เลือดออกตามไรฟันโดยเฉพาะเวลาที่แปลกฟัน หากไม่รักษาอาจเป็นสาเหตุให้กระดูรอบรากฟันโดนทำลายจนฟันโยกคลอนและหลุดในที่สุด นอกจากนี้แล้วโรคเหงือกอักเสบยังเป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ ตามร่างกายได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด ทำให้คนไข้เบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ยาก อาจทำให้ผู้ที่ตั้งครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้อีก ฯลฯ การดูแลช่องปากให้ห่างไกลโรคเหงือกอักเสบนั้น ควรทำความสะอาดฟันอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ เลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเช้าเย็นโดยใช้ร่วมกับไหม่ขัดฟันด้วยก็ได้ ไม่ควรทานอาหารที่มีรสเปรี้ยวจัด เช่น ส้ม มะนาว หรือน้ำอัดลมที่มีกรดสูง ไม่ควรแปรงฟันหลังกินอาหารทันทีเพราะทำให้ฟันสึกได้ง่าย ระวังอย่าแปรงฟันนานเกินไปเพราะอาจทำให้เหงือกได้รับการเสียดสีจนอักเสบได้ แล้วอย่าลืมไปตรวจสุขภาพช่องปากปีละอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ขูดหินปูนด้วย ในส่วนของสุขภาพในช่องปากของเด็ก ๆ ควรดูแลการแปรงฟันให้ถูกวิธี หลีกเลี่ยงของหวาน ลูกอม ขนมต่าง ๆ เพื่อป้องกันการกินจุบจิบไปด้วย หันมาทานผักสดผลไม้สดที่ดีต่อสุขภาพ ฟันของคุณและลูก ๆ จะได้อยู่กับเราไปนาน ๆ จนแก่เฒ่าไม่ต้องพึ่งฟันปลอมยังไงล่ะคะ
-
กินเนื้อสัตว์แปรรูป เพิ่มโอกาสการเป็นโรคได้
กินเนื้อสัตว์แปรรูป เพิ่มโอกาสการเป็นโรคได้ มีการรวบรวมและการศึกษาจากฐานข้อมูลผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก ที่ทำให้สรุปได้ว่า การกินเนื้อสัตว์ที่ผ่านการแปรรูป และปรุงแต่งกลิ่นรสมากเกินไป เช่น ไส้กรอก หมูแฮม กุนเชียง หมูยอ ฯลฯ จะเพิ่มโอกาสการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ถึงร้อยละ 42 ทุก ๆ น้ำหนัก 50 กรัมที่กินในแต่ละวัน หรือมีขนาดเท่ากับเหรียญห้าบาท จำนวนหกเหรียญ แล้วยังพบด้วยการกินเนื้อสัตว์แปรรูปดังกล่าวที่มีปริมาณของเกลือ และสารไนไตรท์เป็นจำนวนมากนี้จะเพิ่มโอกาสการเป็นเบาหวานมากถึงร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้กิน อีกทั้งผู้ที่กินเบคอนวันละสองชิ้น หรือกินฮอทด๊อกวันละชิ้น ยังเพิ่มโอกาสการเป็นเบาหวานขึ้น 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้กินด้วย ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคเหล่านี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือด ควรทานอาหารที่ปรงุแต่งแต่น้อย หรือไม่ปรุงแต่งเลย ทานเนื้อสัตว์ที่ปราศจากสารเคมี ไม่มีการเติมเกลือ ดินประสิว หรือสารใด ๆ กินแต่อาหารจากธรรมชาติ ผักปลอดสารพิษ ถั่ว หรือธัญพืชต่าง ๆ รวมทั้งผู้ปรุงอาหารก็ควรมีอารมณ์และจิตใจที่ดี จะทำให้อาหารมื้อนั้นมีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน ปราศจากสารก่ออันตราย ทำให้สุขภาพของผู้ป่วยแข็งแรงขึ้น ช่วยเยียวยารักษาโรคได้ และทำให้สุขภาพดีขึ้นได้อีกด้วยค่ะ
-
การอมน้ำมันแล้วบ้วนทิ้ง หรือ Oil Pulling ช่วยล้างพิษและรักษาโรคได้จริงหรือ
การอมน้ำมันแล้วบ้วนทิ้ง หรือ Oil Pulling ช่วยล้างพิษและรักษาโรคได้จริงหรือ การทำออยพูลลิ่ง หรือการอมน้ำมันแล้วบ้วนทิ้งนี้มีในอินเดียมานานแล้ว เพื่อเชื่อว่าหากอมน้ำมันไว้ในปากจะสามารถดึงเอาจุลินทรีย์ในซอกฟัน ผิวฟัน เหงือก ลิ้น กระพุ้งแก้ว เพดานปาก ออกมาผสมกับน้ำมันแล้วบ้วนทิ้งไป เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เชื้อโรคทั้งหลายถูกกลืนลงท้องและเข้าไปเป็นพิษต่อร่างกายในส่วนต่าง ๆ การทำแบบนี้จึงช่วยรักษาได้หลายโรค ซึ่งจากคู่มือการอบรมโครงการฟื้นฟูและส่งเสริมสุขภาพองค์รวม 8 อ. ซึ่งจัดทำโดย ชุมชนศีรษะอโศก ได้ทำการเผยแพร่และปฏิบัติแบบนี้เพื่อดูแลสุขภาพมาแล้ว และได้อธิบายว่า การอมน้ำมันกลั่นเย็นนี้ โดยให้น้ำมันไหลผ่านช่องฟันไปมา จนกระทั่งน้ำมันผสมกับน้ำลายจนคลายความข้นหนืดแล้วจึงบ้วนทิ้ง จะสามารถรักษาโรคปวดหัว ปวดฟัน โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคแผลเป็น แผลเปื่อยมีหนอง หรือเป็นฝีต่าง ๆ โรคทางเดินอาหาร รวมไปถึงโรคเฉพาะผู้หญิง แล้วยังป้องกันเนื้องอกกลับมาเกิดใหม่ได้ รักษาโรคเลือด อัมพาต โรคเส้นประสาท อวัยวะภายใน หรือรักษาอาการนอนไม่หลับได้ด้วย หากคิดว่ามันจะน่ามหัศจรรย์เกินไปหรือไม่ที่แค่อมน้ำมันแล้วบ้วนทิ้งจะมีสรรพคุณมากมายขนาดนี้ ลองมาดูการอธิบายของ ดร.บรูซ ไฟฟ์ ประธานศูนย์วิจัยมะพร้าวแห่งโคโรลาโด กันบ้าง เขาได้อธิบายเอาไว้ในหนังสือชื่อ Oil Pulling Therapy ว่า…