Tag: โรคสมองเสื่อม
-
รักและเข้าใจผู้ป่วยอัลไซเมอร์
รักและเข้าใจผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ในประชากรผู้สูงอายุของประเทศไทยนั้น พบผู้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ถึงร้อยละ 1-2 ของประชากรในช่วงอายุ 60-69 ปี เลยทีเดียวนะคะ ยังไม่พบสาเหตุของโรคและการรักษาก็ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงควบคุมอาการของโรคเท่านั้น ดังนั้นผู้ป่วยโรคนี้จึงต้องมีผู้ดูแล เพราะส่วนใหญ่แล้วจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผู้ที่เข้ามาดูแลจะช่วยให้ผู้ป่วยได้ทานยาอย่างถูกต้องและต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ พาผู้ป่วยไปพบแพทย์ตามนัด และให้ข้อมูลของผู้ป่วยกับแพทย์ให้มากที่สุดด้วย ซึ่งการดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์นี้ก็มักเป็นลูกหลานหรือญาติสนิท และต่อไปนี้คือแนวทางการดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ค่ะ 1. ผู้ดูแลที่จำเป็นต้องใช้ความใจเย็นในการดูแลกับทั้งต้องเข้าใจผู้ป่วยอัลไซเมอร์ด้วย เพราะผู้ป่วยจะมีปัญหาเรื่องความจำและการใช้ความคิด ตลอดจนการควบคุมตนเอง อาจมีการเปลี่ยนแปลงในบุคลิกภาพ พฤติกรรม จนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ 2. ผู้ดูแลควรให้ความช่วยเหลือในกิจวัตรประจำวันของผุ้ป่วย เช่น การกินอาหาร การขับถ่าย การอาบน้ำ การสวมเสื้อผ้า และดูแลในเวลาที่ออกข้างนอกเพื่อมิให้หลงกัน 3. ดูแลในเรื่องการใช้ยาและการพาไปพบแพทย์ เพราะบางรายอาจต้องได้รับยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท เช่น ยานอนหลับ ยาลดความซึมเศร้า ผู้ดูแลควรช่วยในเรื่องการทานยาให้สม่ำเสมอและถูกต้อง พาไปพบแพทย์ตามนัด และสังเกตอาการเพื่อรายงานแพทย์ด้วย 4. ดูแลในเรื่องความปลอดภัยและอุบัติเหตุทั้งหลาย 5. ดูแลในเรื่องจิตใจ โดยการให้กำลังใจ ดูแลเรื่องการกินอยู่ การออกกำลังกาย และการหากิจกรรมกับผู้สูงอายุด้วยกัน หากผู้ป่วยความจำยังไม่บกพร่องมากสามารถหากิจกรรมฝึกความจำเพื่อช่วยชะลออาการของโรคสมองเสื่อมได้ 6. ผู้ดูแลก็ต้องดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจของตัวเองด้วย เพราะการดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์นี้มักทำให้เกิดความเครียดหรือปัญหาทางด้านอารมณ์ขึ้นมาได้ อาจหาคนปรึกษาหรือหาเวลาเป็นส่วนตัวด้วยการสลับสับเปลี่ยนกันดูแลผู้ป่วยบ้างก็น่าจะดีขึ้นได้ เพราะการดูแลผู้ป่วยเป็นเรื่องสำคัญ…
-
การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ
การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ ผู้สูงอายุนั้นจะเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยจากสาเหตุสี่ประการได้แก่ 1. ความเสื่อมโทรมลงของอวัยวะซึ่งเป็นไปตามวัย 2. พฤติกรรมและการดูแลสุขภาพเท่าที่ผ่านมา 3. การเปลี่ยนแปลงไปของเซลล์ภายในร่างกาย 4. ปัจจัยที่ถ่ายทอดกันมากทางพันธุกรรม หลายโรคนั้นสามารถป้องกันได้ ด้วยการดูแลรักษาสุขภาพไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องอาหารการกินที่ควรกินให้ครบหมู่ แต่ให้เน้นผักและผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง หวานหรือเค็มจัด ดื่มน้ำมาก ๆ และหมั่นออกกำลังกายในแบบที่ชอบ เพื่อลดภาวะอ้วนน้ำหนักเกินอันเป็นต้นเหตุของโรคเรื้อรังได้อีกหลายโรคไม่ว่าจะเป็น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและข้อเข่าเสื่อม ทั้งยังเป็นสาเหตุของมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย การพยายามรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในมาตรฐานจึงเป็นมาตรการดูแลรักษาสุขภาพที่ดีอีกอย่างหนึ่งด้วย ในผู้สูงอายุนั้นควรมีการดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้เป็นพิเศษ เช่น สังเกตว่ามีแผลเรื้อรังไม่หายบ้างหรือเปล่า มีปัญหาการกลืนหรือย่อยอาหารหรือไม่ รู้สึกเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ไอเรื้อรัง ไข้เรื้อรัง เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก ท้องเสีย ท้องผูกเรื้อรังบ้างหรือเปล่า ฯลฯ เหล่านี้จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายให้ละเอียดต่อไป โรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุนั้นสามารถป้องกันและดูแลตนเองเพื่อลดความรุนแรงได้ อย่างเช่น – โรคไขข้อเสื่อม ควรดูแลไม่ให้น้ำหนักมากเกินจนไปส่งผลให้ข้อเข่ารับน้ำหนักตัวเกิน หมั่นบริหารกล้ามเนื้อรอบข้อให้แข็งแรง ทนุถนอมข้อเข่าให้มาก ๆ อย่างเคลื่อนไหวร่างกายหรือบิดข้อมากเกินไป ควรนั่งบนเก้าอี้ที่สบาย หลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบ ขัดสมาธิ หรือคุกเข่าเพื่อลดการแรงกระทำต่อข้อ ป้องกันการหกล้มด้วยการฝึกเดินหรือใช้เครื่องพยุงร่างกาย ปรับสภาพแวดล้อในบ้านด้วยการทำพื้นไม่ให้ลื่น…
-
ภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงวัย
ภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงวัย ในผู้สูงวัยนั้นมักจะมีระบบความจำที่บกพร่องไป ซึ่งสามารถเกิดขึ้นไปใน สามารถบรรเทาอาการขี้ลืมนี้ได้เพียงการตั้งใจจดจำหรือจดบันทึกให้มากขึ้น แต่หากอาการหลงลืมนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันแล้ว อาการหลงลืมนั้นอาจเกิดจากภาวะสมองเสื่อมได้ ซึ่งนอกจากจะต้องเกิดขึ้นอย่างน้อยหกเดือนแล้ว แพทย์จะวินิจฉัยอาการของคนไข้ด้วยว่ามีอาการดังต่อไปนี้ 1. เกิดความบกพร่องในการทำงานของสมองใหญ่ ได้แก่ การบกพร่องในการเรียนรับรู้หรือเรียนรู้ การทำกิจกรรมที่ซับซ้อนหลายขั้นตอน ความบกพร่องในการตัดสินใจ หลงทาง ความบกพร่องในการใช้ภาษาและการทำกิจกรรมที่เคยทำมาได้ก่อนแล้ว 2. การประกอบกิจวัตรประจำวันบกพร่องไป ไม่ว่าจะเป็น ไม่อาบน้ำแต่งตัว กลั้นอุจจาระหรือปัสสาวะไม่อยู่ ทานอาหารมูมมาม หกเรี่ยราดทั้งที่เคยเป็นคนเรียบร้อยมาก่อน ขึ้นบันไดเองไม่ได้ หรือลุกนั่งหรือเดินแล้วหกล้ม มีท่าทางการเดินเปลี่ยนแปลงไป แต่งตัวหรือเลือกเสื้อผ้ารองเท้า ไม่ถูกกาลเทศะ เคยขึ้นรถโดยสารคนเดียวได้ก็ทำไม่ได้แล้ว ฯลฯ 3. มีพฤติกรรมและบุคลิกแปลก ๆ หรือเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็น จากคนร่าเริงกลายเป็นคนเฉยเมย เฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น ฉุนเฉียวโมโหง่าย หลีกเลี่ยงการออกไปพบปะเพื่อนฝูงผู้คนที่เคยไปมาหาสู่สม่ำเสมอ เดินไปเดินมาอย่างไร้จุดหมาย ทำอะไรซ้ำซาก เช่น รื้อหาสิ่งของ เปิดตู้ลิ้นชักค้นหาของตลอดเวลา อาจมีอาการคล้ายจิตเภท เช่น เห็นภาพหลอน มีความเชื่อความคิดที่หลงผิด เป็นต้น โดยอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ หรือเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วก็ได้ ขอให้ครอบครัวที่มีผู้สูงอายุช่วยกันสังเกตบางก็จะทราบได้ว่าท่านมีภาวะสมองเสื่อมหรือไม่ ควรรีบพามาพบแพทย์เพื่อการดูแลรักษาและฟื้นฟูสภาพสมองไว้ให้ได้นานที่สุดค่ะ
-
การปรับตัวเข้าหา ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์
การปรับตัวเข้าหา ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ไม่ง่ายเลย.. สำหรับการดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ในครอบครัว เพราะโรคนี้จะทำให้เขาเหล่านั้นมีอาการหลงลืม สูญเสียความรับรู้และความรู้สึกนึกคิดไป รวมทั้งการตัดสินใจและการไขปัญหาต่าง ๆ ทำให้ไม่สามารถทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้ตามปกติ ผู้ป่วยจึงต้องได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด เมื่อนานไปก็อาจทำให้ผู้ดูแลป่วยจนกลายเป็นโรคเครียดตามไปอีกคน หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่จำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์แบบนี้ ก็ลองนำเอาวิธีการปรับตัวดังกล่าวต่อไปนี้ไปปรับดูนะคะ – ทำความเข้าใจและยอมรับว่าสิ่งที่ผู้ป่วยเป็นหรือทำนั้น ไม่ได้แกล้งหรือเรียกร้องความสนใจ แต่เป็นความผิดปกติทางสมอง – ไม่ควรโกรธตอบผู้ป่วย เพราะเขาทำไปเพราะอาการป่วยไม่ได้ตั้งใจ – ในเวลาที่เหน็ดเหนื่อยลองหาเวลาพักผ่อน แล้วหาคนมาสับเปลี่ยนดูแลบ้าง อธิบายการดูแลให้คนที่ดูแลแทนคุณเข้าใจ เขาจะได้เข้าใจเห็นใจและเต็มใจมาช่วยเหลือคุณบ้าง – ลองหากำลังใจด้วยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ที่ดูแลผู้ป่วยด้วยกัน จะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว และจะได้นำเอาประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนกัน แถมยังได้กำลังใจมาช่วยเหลือกันและกันอีกด้วย – หางานอดิเรกมาทำคลายเครียด หรือออกกำลังกาย โยคะ ทำสมาธิ หรือฟังเพลงคลายเครียด เพื่อผ่อนใจจิตใจด้วยตัวเอง – หากมีความเครียดมาก หรือพยายามรักษาอาการเครียดแล้วไม่ดีขึ้น จนกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันแล้วก็ควรขอรับการรักษาจากจิตแพทย์เถอะนะคะ ความเครียดนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ควรมีมามากหรือนานเกินไป ควรดูแลตัวเองให้มีความผ่อนคลาย เพื่อจะได้นำกำลังกายไปดูแลผู้ป่วยให้มีอาการที่ดีขึ้นต่อไปได้ค่ะ
-
คู่มือการดูแล ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคสมองเสื่อม
คู่มือการดูแล ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคสมองเสื่อม สำหรับในครอบครัวที่มีผู้สูงอายุเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อมนั้น จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากผู้อยู่ใกล้ชิดเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงควรรู้จักวิธีการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อมที่ถูกต้อง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งของผู้ป่วยเองและผู้ดูแลกันเถอะค่ะ 1. ผู้ที่ดูแลใกล้ชิดทุกคนคนทำความรู้จักและศึกษาโรคสมองเสื่อมนี้ให้มาก เพื่อจะได้สามารถแก้ปัญหาบางประการได้เหมาะสมและทันท่วงที 2. ผู้ป่วยสมองเสื่อมมักมีปัญหาหลายอย่างพร้อมกัน ควรแก้ไขปัญหาที่สำคัญที่สุดก่อน จะทำให้การดูแลทำได้ง่ายขึ้น 3. หากผู้ป่วยยังอยู่ในภาวะป่วยเริ่มแรก ยังมีอาการไม่มาก ควรพูดคุยให้ยอมรับฟังและเข้าใจเหตุผล รวมทั้งอธิบายข้อจำกัดของผู้ป่วยที่มีการเปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งบอกความรู้สึกของผู้ดูแลให้ผู้ป่วยเข้าใจ 4. ควรมีความยืดหยุ่นและใช้สัญชาติญาติรวมทั้งจินตนาการในการดูแลให้มาก อย่ายึดติดอะไรมากนัก เช่น หากคนไข้อยากสวมหมวกนอน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นอันตรายอะไร ก็ไม่ควรห้าม 5. ปรับทัศนคติการมองว่าการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเป็นเรื่องไม่เคร่งเครียด จะทำให้อารมณ์ดีขึ้น 6. ผู้ดูแลควรผ่อนคลายความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอและปล่อยวางบ้าง เพราะการดูแลผู้ป่วยโรคนี้จะทำให้เครียด หงุดหงิด และเหนื่อยง่าย และอาจส่งผลต่อสุขภาพได้ในระยะยาว 7. มีการพูดคุยสื่อสารกับคนป่วย เกี่ยวกับขั้นตอนการทำกิจกรรมอย่างละเอียด สั้น ๆ ง่าย ๆ เช่น การอาบน้ำ ซึ่งแม้จะดูเหมือนง่ายแต่สำหรับผู้ป่วยแล้วเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ผู้ดูแลควรมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดด้วย 8. พยายามจัดรูปแบบการดูแลผู้ป่วยให้เหมือนกันทุกวัน อย่าสับเปลี่ยนไปมาเพื่อให้เกิดความเคยชิน ผู้ป่วยจะได้เรียนรู้และช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ก็อาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง 9. อย่าวิพากษ์วิจารณ์ผู้ป่วยผู้ป่วยต่อหน้า…
-
ลองสังเกตดูว่า….ผู้สูงอายุเป็นโรคสมองเสื่อมหรือเปล่า?
ลองสังเกตดูว่า….ผู้สูงอายุเป็นโรคสมองเสื่อมหรือเปล่า? โดยทั่วไปผู้ที่มีวัยเข้าสู่วัยชราแล้วมักจะมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ เล็กน้อยบ้างไปตามวัย บางทีก็แค่ลืมของว่าวางไว้ไหน แต่หากเป็นการลืมที่ไม่น่าเป็นไปได้อย่างการลืมทางกลับบ้าน หรือเอาเตารีดไปใส่ไว้ในตู้เย็น อะไรแบบนี้อาจเป็นไปได้ว่าผู้ชราท่านนั้นอาจมีอาการของโรคสมองเสื่อมแล้ว วันนี้จึงขอเอาข้อสังเกตของการเป็นโรคสมองเสื่อมมาฝากกันค่ะ ภาวะสมองเสื่อม คือความเสื่อมของสมองโดยรวมทั้งหมด ทำให้เกิดความบกพร่องในการประกอบกิจวัตรประจำวัน เปลี่ยนแปลงทั้งพฤติกรรมและบุคลิกภาพอย่างชัดเจน มักพบได้ในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป แต่หากมีอายุถึง 85 ปีก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมได้ถึงร้อยละ 20 เลยทีเดียว ส่วนใหญ่พบได้ในผู้ที่เป็นโรคสมอง หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง คนที่เคยได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง โดยอาการที่จะบ่งชี้ว่าผู้สูงอายุท่านนั้นมีภาวะสมองเสื่อมหรือไม่ก็ให้สังเกตดังนี้ค่ะ 1. มักจำเหตุการณ์ใหม่ ๆ ไม่ได้ แต่กลับจำเรื่องราวเก่า ๆ ในดีตได้ มักถามซ้ำเรื่องเดิมบ่อย ๆ 2. เรียนรู้หรือรับรู้สิ่งใหม่ได้ไม่ จำปัจจุบันไม่ได้ เช่น จำไม่ได้ว่าทานข้าวแล้ว หรือจำคำพูดขณะที่สนทนาไม่ได้ มักถามกลับซ้ำ ๆ 3. การแก้ไขปัญหาบกพร่องไป เช่น ยืนดูน้ำล้มอ่างเฉย ๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี 4. การประกอบกิจกรรมต่าง…
-
อาการสมองเสื่อม จากสุราในวัยรุ่น
อาการสมองเสื่อม จากสุราในวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนรวมทั้งประเทศไทยเอง ก็กำลังเผชิญปัญหาเดียวกันอยู่ก็คือ วัยรุ่นวัยเรียนทั้งหลายกำลังหันหน้าเข้าดื่มสุรา แล้วกำลังโดยพิษร้ายจากสุราเข้าทำลายสมอง ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งกว่าช่วงเวลาไหน เพราะในวันนี้เป็นวัยที่กำลังเรียนรู้ วัยที่กำลังพัฒนาวุฒิภาวะ เพราะเด็กที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นนั้น ร่างกายช่วยนี้จะกำลังเติบโต รวมไปถึงสมองด้วยที่เป็นจุดอ่อนไหวที่สุด เพราะในระยะนี้เป็นระยะของการเปลี่ยนแปลงจากภาวะความเป็นเด็กเล็กสู่วัยผู้ใหญ่ จากที่เคยเป็นเด็กต้องพึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองเข้าสู่ความเป็นอิสระในการตัดสินใจ ในสภาพแวดล้อมของสังคมที่มีแต่ความวุ่นวายนี้ หากเด็ก ๆ ได้มีพัฒนาการสมองเป็นไปอย่างเหมาะสมแล้วจะทำให้เป็นผู้ที่มีความสามารถในการตัดสินใจได้ดี สามารถควบคุมแรงกระตุ้น และมีชีวิตอย่างปกติดีมีสุข ไม่เบียดเบียนตนเองและคนอื่นรอบข้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เติบใหญ่ไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ สรุปแล้วพัฒนาการของสมองในช่วยวัยรุ่นจึงสำคัญและมีความอ่อนไหวอย่างมาก ยิ่งโดยเฉพาะผลกระทบต่อระบบการเรียนรู้และความจำ หากเด็ก ๆ หันไปเสพสุรากันมาก ๆ และบ่อย ๆ จะส่งผลกระทบดังต่อไปนี้ – ทำให้การสร้างเซลล์ใหม่ ๆ ของสมองวัยรุ่นเนิบช้าลง และช้าลงกว่าวัยผู้ใหญ่ – วัยรุ่นที่ดื่มสุราอย่างหนักเพียงเวลาไม่เกินสามปี จะลดประสิทธิภาพการเรียนรู้ และความจำ เพราะสมองของวัยรุ่นจะถูกทำลายด้วยฤทธิ์ของสุราได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ – เมื่อนำเอาขนาดของสมองของวัยรุ่นที่แข็งแรงและไม่ดื่มสุรา มาเทียบกับวัยรุ่นที่ดื่มสุราอย่างหนักพบว่ามีขนาดแตกต่างกันถึงร้อยละสิบ ในกลุ่มของวัยรุ่นระดับมอปลาย แต่หากเป็นในวัยผู้ใหญ่ที่ดื่มสุราอย่างหนักแล้วจะมีขนาดที่เล็กกว่าคนที่ไม่ดื่มอย่างเห็นได้ชัด และพบได้มากในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง – โดยธรรมชาติแล้วสมองส่วนหน้าของวัยรุ่นจะยังไม่ตื่นตัวเท่าผู้ใหญ่ ยิ่งหากไปดื่มสุราด้วยแล้ว จะทำให้ประสิทธิภาพในการควบคุมอารมณ์ต่าง ๆ ของสมองส่วนหน้าด้อยประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการขาดความยับยั้งช่างใจ ความโกรธ…
-
อาหารกินแล้วบำรุงสมอง
อาหารกินแล้วบำรุงสมอง ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน อาการสมองเสื่อมก็สามารถเข้ามาเยี่ยมเยือนได้ทุกเมื่อ ทีนี้หากเรายังไม่อยู่ในวัยที่สมองจะเสื่อมสภาพ เราจะดูแลสมองของเราอย่างไรดี วันนี้เราจะมาลองเฟ้นหาเมนูที่มีสรรพคุณในการบำรุงสมองและความจำกันนะคะ หลังจากนี้ไปจะได้ไม่ขี้หลงขี้ลืมกันอีกค่ะ – ในกลุ่มพืชผัก อาหารที่ช่วยบำรุงสมองได้แก่ พริก ขิง หอมหัวใหญ่ ช่วยเพิ่มเซลล์สมองและมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการหลั่งสารอะซีทิลโคลีน จึงช่วยให้ความจำดีขึ้น, ใบบัวบก ทำให้มีสมาธิและความจำดีขึ้น แล้วยังกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองด้วย อีกทั้งมะเขือเทศยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์สมองจากการทำลายของมลพิษต่าง ๆ รวมไปถึงบร็อกโคลีที่มีวิตามินเค ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ เพิ่มความสามารถในการจำได้ด้วย และผักใบเขียวหลากชนิดก็ช่วยป้องกันสมองเสื่อมได้เช่นกัน – ในกลุ่มของเมล็ดพืช และธัญพืช ทั้งถั่ว ข้าวซ้อมมือ เมล็ดฟักทอง ซีเรียล รำข้าว มีกรดโฟลิก วิตามินบี 6 และวิตามินบี 12 ช่วยในเรื่องของความจำบำรุงสมองได้อย่างยอดเยี่ยม ในเมล็ดฟักทองยังมีธาตุสังกะสีเป็นจำนวนมาก มีส่วนช่วยในเรื่องของการเพิ่มความจำได้เช่นกัน – ในกลุ่มของไข่ เนื้อสัตว์และปลาทะเล มีโปรตีนที่ช่วยบำรุงสมอง ปลาทะเลก็มีกรดไขมันโอเมก้าสาม ที่ช่วยบำรุงระบบประสาท ลดการเกิดพลัคในสมองและป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ด้วย – แล้วยังมีผลการวิจัยใหม่ ๆ ที่ระบุด้ววยว่า ในช็อกโกแลต ชา องุ่น…
-
ข่าวร้าย 7 อย่าง ของคนที่ชอบนอนดึก
ข่าวร้าย 7 อย่าง ของคนที่ชอบนอนดึก ด้วยความเคยชินของสังคมคนรุ่นใหม่ ทั้งยังกิจกรรมก่อนนอนต่าง ๆ นา ๆ รวมทั้งการทำงานหนักกลับบ้านดึก ทำให้หนุ่มสาววัยทำงานทั้งหลายไม่มีเวลาให้ตัวเองมากนัก นอนก็ดึก ทั้งยังต้องตื่นเช้าขึ้นมาทำงานต่ออีก ทำให้ร่างกายพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ แต่ข้อเสียมิใช่แค่นั้น การนอนดึกและไม่เพียงพอยังทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมาอีกด้วย ลองมาดูผลเสียต่อสุขภาพของคุณกันค่ะ 1. การนอนดึกทำให้หลง ๆ ลืม ๆ พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง การตอบสนองช้า เพราะสมองขาดการพักผ่อนอย่างเพียงพอ หากนอนดึกบ่อย ๆ จะทำให้เป็นโรคสมองเสื่อมได้ง่าย 2. ผิวพรรณหม่นหมองไม่เปล่งปลั่งสดใส ร่างกายก็แก่ก่อนวัย ฮอร์โมนทำงานได้ไม่เต็มที่ ว่าง่าย ๆ ก็คือร่างกายแก่ก่อนอายุจริงนั่นเอง 3. ขาดสมาธิทั้งการเรียนและการทำงาน เพราะสมองสั่งการช้า ไม่มีสมาธิ ความจำก็ไม่ดีอีกด้วย 4. ร่างกายขาดการพักผ่อนอย่างเต็มที่ จึงไม่แข็งแรง ป่วยง่าย ระบบต่าง ๆ ขาดการซ่อมแซมตัวเองอย่างเหมาะสมเพราะขาดการนอน 5. เพราะการนอนดึกทำให้ร่างกายหลั่งสารคอร์ติโซลออกมา จึงทำให้หิวได้ง่าย ยิ่งนอนดึกก็ยิ่งหิวมาก ระบบย่อย น้ำย่อย และการดูดซึมทำงานได้ไม่เต็ม…
-
การวิ่ง หรือ การเข้าฟิตเนส จะช่วยเพิ่มพลังสมองได้
การวิ่ง หรือ การเข้าฟิตเนส จะช่วยเพิ่มพลังสมองได้ นักวิจัยได้ทดลองเรื่องนี้ กับหนูทดลอง ด้วยการผสมพันธุ์หนู และฝึกให้หนูวิ่งเก่ง จากนั้นได้ลองนำไปทดสอบด้านการเรียนรู้ บ่งชี้ว่า หนูที่วิ่งเก่งนั้นมีสมองด้านเรียนรู้ที่ดีกว่าหนูที่วิ่งปกติ สำหรับมนุษย์ การออกกำลังกายในฟิตเนส ด้วยลู่วิ่ง หรือวิ่งออกกำลังตามสวนสาธารณะนั้น จะช่วยเพิ่มพลังทางด้านสมองให้ดีขึ้นได้อีกด้วย และเมื่อมีการปฏิบัติเป็นประจำ ก็จะทำให้สมองพัฒนาขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง นักวิจัยบอกว่า การวิ่งนั้น จะทำให้ระดับเอนดอร์ฟิน หรือสารแห่งความสุขนั้นพุ่งขึ้น นั่นแหละที่เป็นตัวช่วยให้สมองคุณดีขึ้น แถมยังช่วยเรื่องความทรงจำต่างๆได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น เพื่อสุขภาพที่ดี ร่างกายที่สมบูรณ์ ลองออกมาวิ่งในวันเสาร์-อาทิตย์ดู คุณก็จะได้พัฒนาสมอง แถมยังสามารถช่วยได้ในระยะยาว ทำให้คุณห่างไกลจากโรคสมองเสื่อมได้ดีอีกด้วย