Tag: โรคภูมิแพ้

  • ผู้ป่วยหอบหืดควรหลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้นอาการดังนี้

    ผู้ป่วยหอบหืดควรหลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้นอาการดังนี้

    ผู้ป่วยหอบหืดควรหลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้นอาการดังนี้ 1. สารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ละอองหญ้า วัชพืช ละอองเกสรดอกไม้ ไรฝุ่นตามที่นอน เฟอร์นิเจอร์ หรือของเล่นตุ๊กตาที่ทำจากนุ่นหรือมีขน เชื้อรา แมลงสาบรวมไปถึงสัตว์เลี้ยงในบ้าน อาหารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว ไข่ กุ้ง หอย ปลา ปู งา ถั่วเหลือง สีผสมอาหาร สารกันบูด ฯลฯ 2. สารเคมีและควันระคายเคืองต่าง ๆ เช่น ควันบุหรี่ ท่อไอเสีย ควันธูป ฝุ่นละออง สเปรย์ ยาฆ่าแมลง อากาศเปลี่ยนแปลงฉับพลัน หรืออากาศเย็นๆ กลิ่นฉุนต่าง ๆ ฯลฯ 3. อย่าปล่อยให้ตัวเองป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ ไม่ว่าจะเป็น หวัด ไข้หวัด ทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ 4. หากต้องการออกกำลังกาย ควรสูดพ่นยาขยายหลอดลมก่อนสักครึ่งชั่วโมงป้องกันอาการกำเริบ 5. หลีกเลี่ยงความเครียดต่าง ๆ 6.…

  • อันตรายในห้องน้ำที่ทำให้คุณป่วยซ้ำ ๆ ป่วยบ่อย ๆ

    อันตรายในห้องน้ำที่ทำให้คุณป่วยซ้ำ ๆ ป่วยบ่อย ๆ

    อันตรายในห้องน้ำที่ทำให้คุณป่วยซ้ำ ๆ ป่วยบ่อย ๆ ใครที่มีอาการเจ็บป่วยบ่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ บางทีลองมาสังเกตห้องน้ำของคุณบ้างนะคะ ว่ามีเชื้อโรคร้ายแฝงอยู่บ้างหรือเปล่า ลองมาเช็คดูไปพร้อม ๆ กันนะคะ 1. ยาแนวในห้องน้ำทำให้เกิดโรคภูมิแพ้และระบบทางเดินหายใจ หากสูดดมในปริมาณมาก อาจทำให้ระคายเคืองผิวหนัง ดังนั้นหลังจากการก่อสร้างบ้านหรือต่อเติมซ่อมแซมห้องน้ำ ควรเปิดประตู หรือพัดลมระบายอาการเพื่อระบายความเข้มข้นของสารเคมีจากยาแนวเหล่านี้ออกไปให้มากที่สุด 2. ความชื้นในห้องน้ำทำให้คุณป่วยได้ ไม่ควรปล่อยให้ห้องน้ำชื้น ควรเปิดพัดลมดูดอากาศและใช้ม๊อบถูกพื้น เช็คห้องน้ำให้หมาดหรือแห้งได้ก็จะยิ่งดี ป้องกันการก่อตัวของเชื้อราด้วย 3. ติดตั้งพัดลมดูดอากาศผิดตำแหน่ง เช่นติดไว้บนเพดาน ทำให้ความชื้นไม่ถูกระบายออกไป ทางที่ดีควรติดพัดลมระบายอากาศที่สามารถระบายอากาศสู่ภายนอกได้จะดีที่สุด 4. ใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์รุนแรง ยิ่งโดยเฉพาะที่มีส่วนผสมของแอมโมเนียและคลอรีน เพราะสารทั้งสองชนิดทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง ปอด และทำให้เกิดโรคหอบหืดได้ด้วย 5. ก๊อกน้ำไม่สะอาดหรือไม่ยอมทำความสะอาด แพร่เชื้อโรคได้มากที่สุดนะคะ เพราะก็อกน้ำเป็นส่วนที่ทุกคนในบ้านจับต้องมากที่สุดแต่มักได้รับการทำความสะอาดน้อยที่สุดด้วย 6. ม่านห้องน้ำแบบไวนิล มีสารที่ก่ออันตรายและสารก่อมะเร็งได้ ควรเปลี่ยนมาเป็นแบบโพลีเสเตอร์หรือไนลอนดีกว่า 7. น้ำยาทำความสะอาดสำเร็จรูปที่มีความสามารถในการกัดเซาะได้ดีนั้น จะทำความรุนแรงต่อผิวและกลิ่นฉุน ๆ ยังระคายเคืองทางเดินหายใจได้อีก ลองเปลี่ยนมาใช้เบกกิ้งโซดาซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ กับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ทำความสะอาดห้องน้ำดีกว่า นำสองอย่างนี้มาผสมกันแล้วป้ายไว้บนสิ่งสกปรกประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วขัดล้างตามปกติ จะปลอดภัยต่อสุขภาพของคุณมากกว่าค่ะ 8. ควรกรองคลอรีนออกจากน้ำด้วย…

  • ลองฝึกชี่กงเพื่อฟื้นฟูและรักษาสุขภาพกันดูสิคะ

    ลองฝึกชี่กงเพื่อฟื้นฟูและรักษาสุขภาพกันดูสิคะ

    ลองฝึกชี่กงเพื่อฟื้นฟูและรักษาสุขภาพกันดูสิคะ ชี่กงเป็นคำภาษาจีนค่ะ คำว่าชี่ หมายถึง พลังลมปราณ ส่วนคำว่า กง หมายถึง การฝึกฝนปฏิบัติ เมื่อนำมารวมกันแล้วจึงหมายถึงการฝึกฝนปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสมดุลของพลังลมปราณ มีมากว่าห้าพันปีแล้ว มีต้นกำเนิดในประเทศจีนนั่นเองค่ะ โดยมีหลักการก็คือ พลังงานเกี่ยวกับกฎของธรรมชาตินั้น จะมีความเกี่ยวข้องกับพลังงานทั้งสาม ได้แก่ สวรรค์ พื้นโลก และมนุษย์ หากพลังงานทั้งสามถ่ายเทซึ่งกันและกันได้ดี ก็จะมีความสมดุล ไม่ป่วยไข้ โลกก็จะสันติสุข ไม่เกิดภัยพิบัติ ฝนตกตามฤดูกาล พืชพันธ์ออกดอกออกผลตามเวลา แต่ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นโลกหรือมนุษย์ต่างก็ตกอยู่ในภาวะไม่สมดุล จึงเกิดความวิปริตและโรคภัยนานาชนิดขึ้น การฝึกชี่กงเพื่อรักษาสุขภาพนั้น จะเน้นการปรับสมดุลของพลังลมปราณ เช่น หากหยินหรือหยางพร่องก็จะมีการฝึกท่าทางต่าง ๆ เพื่อเพิ่มหยินหรือหยางที่ขาดไป โดยมีองค์ประกอบสามอย่างได้แก่ การหายใจที่ถูกวิธี การมีสมาธิในขณะที่ฝึก และการใช้ท่วงท่าต่าง ๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญรองลงมาจากการหายใจและการใช้สมาธิ เมื่อฝึกชี่กงแล้วนั้นจะมีประโยชน์ก็คือ ทำให้ร่างกายมีความยืดหยุ่นทนทานมากขึ้น ในขณะที่ก็ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ การหายใจดีขึ้น ป้องกันโรคกระดูกพรุน ลดอาการปวดจากความตึงของกล้ามเนื้อ ลดความดันโลหิตสูง เพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ลดอาการภูมิแพ้ คลายเครียดได้ด้วย ผลข้างเคียงจากการฝึกชี่กง ซึ่งอาจเกิดจากการฝึกที่ไม่ถูกต้องได้ เช่น อาจมีความร้อนสะสมในร่างกาย อาจร้อนวูบวาบเฉพาะที่…

  • อาการ โรคหืด และภูมิแพ้

    อาการ โรคหืด และภูมิแพ้

    อาการ โรคหืด และภูมิแพ้ ในปัจจุบันคนไทยเราป่วยเป็นโรคภูมิแพ้กันมากขึ้น กว่าครึ่งนั้นจะเป็นโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ มีผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคหอบหืดกว่าร้อยละ 60-80 จะเป็นโรคภูมิแพ้แฝงอยู่ด้วย ในทางตรงข้ามผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ก็มีโอกาสเป็นโรคหอบหืดมากกว่าคนทั่วไปได้ถึงสามเท่า ความรุนแรงของโรคหืดนี้จะเกิดจากสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย โดยเฉพาะกับอาหาร ผู้ป่วยโรคหอบหืดมีโอกาสแพ้อาหารได้มากกว่าคนปกติถึงร้อยละ 52 ผู้ที่มีปฏิกิริยารุนแรงนั้นจะมีอาการหน้าบวม คอบวม หลอดลมหดตัว หายใจไม่ออก ความดันโลหิตต่ำ หรือช็อกจนเสียชีวิตได้ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งภายใน 2-3 นาทีจนถึง 2-3 ชั่วโมงหลังกินอาหารเข้าไป ซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่ากินอะไรเข้าไปแล้วแพ้ได้ขนาดนั้นด้วย แต่อย่างไรก็ดี ผู้ที่มีอาการรุนแรงขนาดนั้นจะมีอยู่เพียงร้อยละ 5 ของผู้ป่วยโรคหอบหืดทั้งหมด การเกิดปฏิกิริยาต่ออาหารที่แพ้นั้น บางคนแค่ได้กลิ่น หรือลิ้นแตะอาหารก็แพ้ได้แล้ว แต่ละคนอาจเกิดปฏิกิริยาต่ออาหารชนิดเดียวกันแต่ละครั้งไม่เหมือนกันก็ได้ อาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ส่วนใหญ๋ได้แก่อาหารโปรตีน จำพวก นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ หอย ปลา และอาหารที่ใส่สารผสม เช่น ซัลไฟท์ที่พบในผลไม้แห้ง ผักกาดแห้ง ผักดอง เครื่องเทศ ไวน์ เบียร์ น้ำมะนาว รวมไปถึงอาหารชนิดอื่น ๆ ที่ผสมสารกันบูด…

  • มาสังเกต…อุจจาระตัวเองกัน

    มาสังเกต…อุจจาระตัวเองกัน

    มาสังเกต…อุจจาระตัวเองกัน การอุจจาระ เป็นกิจกรรมประจำวันที่สำคัญต่อสุขภาพ แต่คนส่วนใหญ่เวลาจัดการธุระเรียบร้อยแล้วก็มักไม่เคยหันมาสังเกตอุจจาระของตนเองเลย วันนี้เลยอยากจะมาชวนคุณผู้อ่านหันมาดูอุจจาของตัวเอง เพื่อตรวจสอบสุขภาพของคุณกันค่ะ ทุกคนมีลักษณะของอุจจาระ และพฤติกรรมการถ่ายอุจจาระที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่ทาน ปริมาณน้ำที่ดื่ม การออกกำลังกาย และลักษณะจำเพาะทางร่างกายของคน ๆ นั้นด้วย ลักษณะของอุจจาระที่เหมาะสมนั้นควรมีความอ่อนนิ่มกำลังพอดี ไม่ต้องออกแรงเพ่งมาก มีสีและกลิ่นปกติ หากกินผักก็อาจมีสีเขียวมาก หากกินผลไม้ชนิดใดมากก็อาจถ่ายเป็นสีนั้นออกมาได้ แต่หากกินผักผลไม้น้อย แล้วกินเนื้อสัตว์มากอุจจาระก็อาจมีกลิ่นเหม็นมากได้ สำหรับผู้ที่ท้องผูกบ่อย ๆ อุจจาระคั่งค้างในร่างกายนานเกิดไป ทำให้บูดเน่าเสียในลำไส้จนเกิดสารพิษขึ้น สารพิษนี้จะถูกดูดกลับเข้าไปภายในร่างกายใหม่อีกครั้งพร้อมกับน้ำ อุจจาระจึงแข็งถ่ายลำบาก อีกทั้งสารพิษเหล่านี้ยังทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ ภูมิต้านทานโรคต่ำ เซลล์เสื่อมลง แล้วยังอาจทำให้เป็นมะเร็งได้ด้วย ดังนั้นเราจึงควรทำให้กิจกรรมการถ่ายอุจจาระของเราเป็นปกติและเป็นเวลา โดย.. – ทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง ๆ เช่น ผักผลไม้ให้มาก เพื่อปริมาณและความเหลวของอุจจาระได้ดี – ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ลิตรหรือราว ๆ 8-10 แก้ว เพื่อให้อุจจาระอุ้มน้ำพองตัว นิ่ม แล้วถูกขับออกมาได้ง่าย – ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ช่วยให้การทำงานของลำไส้ดีขึ้น จะสังเกตได้ว่ามีการเรอหรือผายลมเวลาออกกำลังกาย จึงไม่มีปัญหาท้องผูก ท้องเฟ้อ…

  • ภูมิคุ้มกันตกต่ำ เพราะนอนดึกตื่นสาย

    ภูมิคุ้มกันตกต่ำ เพราะนอนดึกตื่นสาย

    ภูมิคุ้มกันตกต่ำ เพราะนอนดึกตื่นสาย จากปกติที่ต้องตื่นเช้าไปทำงานหรือไปเรียนหนังสือกันตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์นั้น เมื่อถึงวันเสาร์อาทิตย์ ก็มักจะพักผ่อน ดูหนังดูทีวีกันจนดึกดื่นแล้วตื่นสาย หรือตื่นเที่ยงไปเลยก็มีในบางคน บางคนก็เก็บวันเสาร์อาทิตย์ไว้สำหรับนอนชดเชย การนอนดึกตื่นสายแม้จะเป็นในวันหยุด ก็สร้างปัญหาให้กับสุขภาพได้เช่นกันนะคะ เพราะเป็นวงจรที่ผิดธรรมชาติ ยิ่งถ้านอนตื่นสายมาก ๆ เช่นหลังเก้าโมงเช้าไปแล้ว อาจทำให้ร่างกายคุณมีปัญหาได้ดังต่อไปนี้ค่ะ 1. ตื่นสายก็ไม่ได้กินมื้อเช้า มื้อนี้เป็นมื้อที่สำคัญที่สุด แม้ว่าคุณจะนอนเลยมื้อเช้าจนไม่รู้สึกหิวเลย แต่ร่างกายคุณก็ยังต้องการมื้อเช้าอยู่ อาหารเช้าเป็นมื้อที่จะได้รับการดูดซึมได้ดีที่สุด เพื่อส่งไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ หากคุณไม่กินมื้อเช้าแต่ข้ามไปกินมื้อดึกแทน ร่างกายจะย่อยและดูดซึมได้ไม่ดี อวัยวะต่าง ๆ แทนที่จะได้พักผ่อนตามเวลา ก็กลับต้องลุกขึ้นทำงาน ก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ พลังงานจึงเหลือตกค้างในร่างกายมาก ซึ่งจะสะสมจนกลายเป็นโรคอ้วนได้ในที่สุด 2. ในช่วงเช้าอากาศในห้องนอนจะเป็นพิษมากที่สุด จึงควรลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่างระบายอากาศ ปล่อยให้แสงอาทิตย์ส่องเข้าไปทำลายเชื้อโรค และระบายอากาศเสียออกไปจากห้อง หากเอาแต่นอนหมกตัวในห้อง จะทำให้เกิดเป็นโรคภูมิแพ้  ไอ ฯลฯ ยิ่งหากห้องนอนเหม็นอับ สกปรก อากาศถ่ายเทไม่ดี ไม่ได้รับแสงแดดช่วยฆ่าเชื้อบ้าง ก็จะทำให้ไม่สบายบ่อย ๆ ได้ ในส่วนของคนที่ต้องทำงานจนดึก ๆนั้น แนะนำให้นอนก่อนเพื่อเก็บพลังเอาไว้แล้วตื่นเช้าไปทำงาน จะทำได้นานกว่า สมองปลอดโปร่งกว่า การกินกาแฟเพื่อให้ตาสว่างถึงตีสามตีสี่นั้น เป็นการดึงเอาพลังงานที่ไม่ได้ถูกสะสมไว้มาใช้…

  • ทำความรู้จักกับ…โรคสะเก็ดเงิน

    ทำความรู้จักกับ…โรคสะเก็ดเงิน

    ทำความรู้จักกับ…โรคสะเก็ดเงิน ความจริงแล้วโรคสะเก็ดเงินไม่ได้เป็นโรคติดต่อ และไม่ได้เกิดจากภูมิแพ้ด้วย มักเกิดในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย และกระโดดข้ามไปในช่วงอายุ 40-50 ปี พบได้ทั้งสองเพศพอ ๆ กัน ส่วนสาเหตุของโรคไม่แน่ชัด แต่พบปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ – พันธุกรรมพบได้กว่าร้อยละ 50 – ความเครียดทั้งร่างกายและจิตใจก็กระตุ้นให้เกิดโรคได้ – การติดเชื้อแบคทีเรีย ยีสต์ เกลื้อน – การบาดเจ็ดที่มีลักษณะของการเสียดสีที่ผิวหนัง – ยาบางตัว เช่น ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิต ยาต้านมาลาเรีย ยาแก้ปวดที่ไม่ใช่กลุ่มสเตียรอยด์ และสามารถแบ่งโรคตามลักษณะของอาการได้ดังนี้ 1. โรคสะเก็ดเงินปื้นหนาเป็นเรื้อรัง พบบ่อยที่ข้อศอก หัวเข่า หรือหลังส่วนล่าง 2. โรคสะเก็ดเงินที่ซอกพับ ปื้นมักเรียบ ไม่มีขุย 3. โรคสะเก็ดเงินบริเวณหนังศีรษะ / ฝ่ามือฝ่าเท้า / เล็บ / ช่องปาก 4. โรคสะเก็ดเงินของรูปหยดน้ำ 5. โรคสะเก็ดเงินชนิดเป็นตุ่มหนอง ชนิดผื่นแดง 6.…

  • เสริมสร้างไอคิว และพัฒนาการทางสมอง ให้ลูกด้วยนมแม่

    เสริมสร้างไอคิว และพัฒนาการทางสมอง ให้ลูกด้วยนมแม่

    เสริมสร้างไอคิว และพัฒนาการทางสมอง ให้ลูกด้วยนมแม่ สำหรับเด็กทารกแล้ว น้ำนมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดของเขา เป็นอาหารจากอกแม่ที่ไหลออกจากอกสู่ปากสู่ ไม่เพียงทำให้ลูกอิ่มท้องเท่านั้น แต่ยังสร้างภูมิคุ้มกันและการเจริญเติบโตให้กับลูกได้อย่างเหมาะสม พัฒนาทั้งทางร่างกายและทางจิตใจลูกพร้อมทั้งแม่ได้อย่างยอดเยี่ยม สาเหตุที่จำเป็นต้องเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ก็เป็นเพราะ ในน้ำนมแม่ทำให้ลูกฉลาดหรือมีไอคิวที่สูงขึ้นได้ แม้ว่าความฉลาดหรือไอคิวของเด็กจะขึ้นอยู่กับสิ่งสำคัญสามประการก็คือ การเลี้ยงดู กรรมพันธุ์จากพ่อแม่และอาหารที่เหมาะสมก็ตาม แต่นมแม่ก็ยังเป็นตัวช่วยสำคัญในการทำให้สมองลูกเจริญเติบโตได้อย่างดีและสมบูรณ์มากขึ้นด้วย เป็นเพราะว่า 1. ในน้ำนมแม่นั้นมีไขมันที่จำเพาะสำหรับสมองเด็กทารก โดยในระยะหกเดือนแรกนี้ร่างกายหนูน้อยยังย่อยไขมันไม่ได้เต็มที่ แต่ในนมแม่มีน้ำย่อยไขมันมาด้วย ดังนั้นไขมันจากนมแม่จึงถูกนำไปใช้สร้างสมองได้สมบูรณ์เต็มที่ต่างจากนมกระป๋องตามโฆษณา 2. สารอาหารหลายร้อยชนิดในนมแม่มีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองและจอประสาทตา ดังนั้นเด็กที่กินนมแม่จึงมีสมองดี ดวงตามองเห็นได้ชัดเจน และทำให้พัฒนาการรวดเร็วขึ้น 3. เวลาให้นมลูกด้วยนมตนเอง แม่ต้องอุ้มลูกไว้ในอ้อมกอดวันละหลาย ๆ ครั้ง การอุ้มลูกจะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทำให้เซลล์สมองมีการเชื่อมโยงกันมากขึ้น ยิ่งเชื่อมโยงมากก็ยิ่งฉบาดมาก หากเชื่อมโยงน้อยสมองส่วนนั้นก็จะฝ่อตัวไปในที่สุด ความจำเป็นที่ต้องให้ทารกดื่มนมแม่เป็นเวลาหกเดือน จากที่เคยเข้าใจว่าให้นมแม่แค่สี่เดือน ก็เป็นเพราะว่า น้ำย่อยของเด็กจะสร้างครบและพร้อมจะย่อยอาหารทุกอย่างเมื่ออายุครบหกเดือนขึ้นไป ซึ่งในอดีตที่ให้เด็กหัดกินอาหารอื่นเมื่อครบสี่เดือน ก็เป็นการเผื่อให้ร่างกายได้สร้างน้ำย่อยให้ครบพอดี แต่จากข้อมูลสถิติแล้วพบว่า เด็กที่กินนมแม่ผสมกับข้าวเร็วกว่าหกเดือน จะเจ็บป่วยบ่อยเมื่อเทียบกับเด็กที่ดื่มนมแม่ล้วน ๆ ดังนั้นเราจึงควรให้ลูกดื่มแต่นมแม่อย่างเดียวตลอดหกเดือนแรก นอกจากนั้นแล้วการดื่มนมแม่อย่างเดียวตลอดหกเดือนยังช่วยลดโอกาสท้องเสีย เกิดโรคทางเดินหายใจหรือโรคภูมิแพ้ แล้วยังส่งผลดีต่อพัฒนาการทางสมองเด็กมากกว่า ดังนั้นคุณแม่ทั้งหลายของให้มั่นใจเถอะว่าการให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียวลูกไม่ขาดน้ำหรือสารอาหารแน่นอน และในระยะหกเดือนแรกสมองลูกจะเติบโตเร็วมากการดื่มนมแม่จึงเหมาะที่สุด หากให้ทานอาหารชนิดอื่น ระบบทางเดือนอาหารลูกยังไม่สามารถย่อยได้เต็มที่ อาจทำให้ลูกเจ็บป่วยบ่อยเพราะอาหารอื่นลงไปแย่งพื้นที่นมแม่ที่มีสารอาหารเต็มเปี่ยมด้วย อีกทั้งยังอาจทำให้ลูกได้รับเชื้อโรคที่ปะปนมากับอาหารชนิดอื่นหรือแพ้โปรตีนจากนมอื่น ๆ…

  • สูตรไม่ลับ! ล้างไขมันลำไส้ ง่ายๆที่บ้าน

    สูตรไม่ลับ! ล้างไขมันลำไส้ ง่ายๆที่บ้าน

    สูตรไม่ลับ! ล้างไขมันลำไส้ ง่ายๆที่บ้าน หนุ่มๆ สาวๆ ท่านไหน ที่สะสมไขมันไว้ในร่างกายมากๆ ขอบอกเลยนะ ว่าไม่ใช่ผลดีเลย เพราะไขมันที่อยู่ในร่างกายของเรา ถ้าหากมีปริมาณมากเกินไป จะส่งผลให้โทษกับร่างกาย ซึ่งโทษที่เกิดจากการที่ไขมันสะสม ที่เกาะผนังลำไส้ กระเพาะอาการ จะทำให้เกิดโรคต่างๆได้ เช่น – ถุงน้ำดี โรคนี้จะมีอาการนอนไม่หลับ เป็นนิ่วในไต สายตาเสื่อมลง และจะปวดเมื่อยตามร่างกาย – เลือดเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จะทำให้มึนศรีษะ – ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลง และจะกลายเป็นคนขี้หนาว – ม้ามชื้น ทำมห้อาหารที่เราทานเข้าไป แปรสภาพเป็นไขมัน และส่งผลให้เป็นคนอ้วนง่าย – ม้ามโต ทำให้มีอาการเหนื่อยง่าย เนื่องจากม้ามไปเบียดปอด – หากไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะส่งผลให้ลำไส้เล็ก ไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ และจะทำให้เป็นหวัดในตอนเช้า หรือเป็นหวัดเรื้อรัง อาจจะมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้ และมักจะมีอาการจามในตอนเช้า – ถ้ามีไขมันในตับสูง จะส่งผลให้การสร้างเม็ดเลือดไม่ปกติ หากดื่มตามสูตรนี้ จะช่วยลดหน้าท้อง และยังส่งผลให้อาการทั้ง 7…

  • ล้างสารพิษในร่างกาย ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

    ล้างสารพิษในร่างกาย ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

    ล้างสารพิษในร่างกาย ง่ายๆ ด้วยตัวเอง คุณจะรู้หรือไม่ว่า…. การล้างสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายของเราออกไป นั้นจะช่วยทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงขึ้น และช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก ยิ่งถ้าทำเป็นประจำ ก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลง และยังช่วยรักษาโรคร้ายอย่าง “มะเร็ง“ รวมถึงโรคภูมิแพ้ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมกระทั่งลดความอ้วนได้อีกด้วย หัวใจหลักๆของการทำงานในการล้างสารพิษในร่างกาย 1 วัน คือ จะต้องทานให้ได้แคลลอรี่ที่น้อยกว่า 800 แคลลอรี่ เพื่อให้ระบบย่อยอาหารและตับได้มีการพักผ่อน และต่อจากนั้น ตับก็จะขับสารพิษออกมา และอาหารที่เราทานเข้าไปในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์ปะปนเด็ดขาด หากเข้าใจกันดีแล้ว เรามาเข้าสู่ขั้นตอนการล้างสารพิษกันเลยค่ะ 1. เลือกผลไม้ที่เราชื่นชอบมา 1 ชนิด อย่างเช่น ฝรั่ง แคนตาลูป มะละกอ แอปเปิ้ล ชมพู่ มะม่วง ส้มโอ หรืออะไรก็ตาม แต่จะมีผลไม้ที่ต้องยกเว้นไว้ 2 อย่าง คือ ทุเรียนและสับประรด เนื่องจากในทุเรียนจะมีแคลลอรี่สูงมาก และยังย่อยยากอีกด้วย ส่วนในสับประรดนั้น จะมีกรดที่สูง ถ้าหากต้องทานทั้งวัน จะทำให้เราท้องอืดได้ 2. ทานแต่ผลไม้ที่เราเลือก…