Tag: โรคปอด

  • สรรพคุณมากคุณค่าของเห็ดหลากหลายชนิด

    สรรพคุณมากคุณค่าของเห็ดหลากหลายชนิด

    สรรพคุณมากคุณค่าของเห็ดหลากหลายชนิด ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเห็ด พืชที่ชอบขึ้นตามขอนไม้และที่ชื้นแฉะทั้งหลาย มีหลายสายพันธุ์ที่เป็นพิษ แต่ก็มีอีกหลายชนิดที่สามารถนำมาทานได้ และสามารถเพาะพันธุ์ขายได้ด้วย มาดูกันดีกว่าค่ะว่าเห็ดแต่ละชนิดที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ให้คุณค่าต่อร่างกายอย่างไรกันบ้าง – เห็ดชิตาเกะ หรือเห็ดหอม เป็นยาทางแพทย์แผนจีน รักษาโรคได้หลากหลายชนิด ป้องกันเชื้อไวรัสและการก่อกำเนิดของเซลล์มะเร็งได้ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ให้กรดอะมิโน ให้วิตามินบี 1 บี 2 และวิตามินดีสูง บำรุงกระดูก มีปริมาณของโซเดียมต่ำจึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไต ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ลดกรดในกระเพาะอาหาร บรรเทาหวัดได้ – เห็ดหลินจือ มีคุณสมบัติช่วยต้านมะเร็ง โดยประเทศญี่ปุ่นมักใช้ควบคู่กับการรักษาโรคมะเร็งและโรคชรา เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น – เห็ดหูหนู ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาว เพิ่มภูมิต้านทาน รักษาโรคกระเพาะและริดสีดวง บำรุงไตและปอด – เห็ดแชมปิญอง หรือเห็ดกระดุม ช่วยป้องกันและต้านทานมะเร็งเต้านมได้ ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง จึงลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วยนั่นเอง – เห็ดนางฟ้า เห็ดนางรม และเห็ดเป๋าฮื้อ เป็นเห็ดในตระกูลเดียวกัน เชื่อว่าป้องกันโรคไข้หวัด ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้ –…

  • ยิ่งสูบบุหรี่ยิ่งเพื่อความเสี่ยงติดเชื้อวัณโรคได้มากเท่านั้น

    ยิ่งสูบบุหรี่ยิ่งเพื่อความเสี่ยงติดเชื้อวัณโรคได้มากเท่านั้น

    ยิ่งสูบบุหรี่ยิ่งเพื่อความเสี่ยงติดเชื้อวัณโรคได้มากเท่านั้น การสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพแทบทั่วทั้งร่างกาย โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ ปอด กล่องเสียง ทำให้เกิดมะเร็งได้แทบทุกส่วนดังกล่าว เรื่องไปจนถึงมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะและมะเร็งในระบบอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ก็ยังเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อวัณโรคได้อีกด้วย เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เม็ดเลือดขาวตายเพิ่มขึ้น ร่างกายจึงมีภูมิต้านทานลดลง อีกทั้งสารพิษจากควันบุหรี่จะทำลายเนื้อปอด การขจัดเชื้อโรคของเยื่อบุหลอดลมและปอดอ่อนแอ หากผู้สูบบุหรี่ได้รับเชื้อวัณโรคที่อาจปลิวปะปนในอากาศก็อาจติดเชื้อจนกลายเป็นวัณโรคได้ แม้จะเป็นผู้ที่เคยสูบบุหรี่และเลิกสูบแล้วก็ตาม ก็ยังพบว่าติดเชื้อวัณโรคได้ง่ายกว่าผู้ที่ไม่เคยสูบเลยอยู่ดี ยิ่งเคยสูบมานานเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากเท่านั้น พบว่าผู้ที่เสียชีวิตจากวัณโรคเป็นผู้ที่เคยสูบบุหรี่ แม้แต่เด็กเล็กที่อยู่ในบ้านที่มีผู้สูบบุหรี่ก็อัตราความเสี่ยงที่จะติดเชื้อวัณโรคมากกว่าเด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมทั่วไปด้วย ในส่วนของผู้ป่วยวัณโรคนั้น หากหยุดสูบบุหรี่ ก็จะช่วยให้ร่างกายตอบสนองการรักษาทางการแพทย์ได้ดีขึ้น โรคจะหายเร็วขึ้น อาการไอจะลดลงอย่างรวดเร็ว อัตราการแพร่เชื้อสู่คนใกล้ชิดก็จะพลอยลดลง เนื้อปอดที่ถูกทำลายจากเชื้อวัณโรคจะลดน้อยลง โรคจึงหายเร็วและเป็นปกติได้ในเร็ววัน ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้เป็นวัณโรคแต่อยากเลิกบุหรี่นั้น ก็ขอให้ทำใจให้เข้มแข็ง แล้วเลิกให้หมดก่อนที่ร่างกายจะเสื่อมสภาพ อีกทั้งยังควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในมาตรฐาน ทานผักผลไม้ให้มากกว่าเนื้อสัตว์และของมัน ๆ งดเหล้า หรือเข้าร่วมวงที่มีคนสูบบุหรี่ด้วย แล้วปอดท่านจะแข็งแรงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะค่ะ

  • ข้าวโพดคั่ว อันตรายที่คุณอาจไม่รู้มาก่อน!

    ข้าวโพดคั่ว อันตรายที่คุณอาจไม่รู้มาก่อน!

    ข้าวโพดคั่ว อันตรายที่คุณอาจไม่รู้มาก่อน! ข้าวโพดคั่วสำเร็จรูปที่มีกลิ่นเนยหอมกรุ่นนั้นอาจเป็นภัยร้ายที่เราต้องระวัง เพราะขณะนี้ผู้ผลิตข้าวโพดคั่วสำเร็จรูปรายใหญ่ของสหรัฐ 4 แห่งได้ประกาศเลิกใช้สารไดอะซิทิลแล้ว ซึ่งสารนี้เป็นสารแต่งกลิ่นและรสเนย หลังจากที่สารดังกล่าวทำให้คนงานในโรงงานต้องป่วยเป็นโรคปอด และจะเลิกใช้สารนี้กับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตทั้งหมดด้วย โดยปกตินั้นสารไดอะซิทิลนี้จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในอาหารประเภท เนย ชีสและผลไม้ ซึ่งทำให้ อย.ของสหรัฐอเมริกาหรือ FDA อนุญาตให้ใช้เป็นสารแต่งกลิ่นและรสได้ ผู้ที่ได้รับสารนี้จากการสูดนมกลิ่นข้าวโพดคั่วที่เพิ่มอบเข้าใหม่ๆ จากไมโครเวฟ อาจทำให้เกิดปัญหาปอดอักเสบ และเกิดการหายติดขัดที่รุนแรง เมื่อเร็ว ๆนี้ก็ได้พบผู้ป่วยจากศูนย์การแพทย์ชาวยิวแห่งชาติเมืองเดนเวอร์ โคโลราโด ที่มีอาการโรคปอดเพราะสูดกลิ่นเนยของป็อบคอร์น ชายคนนี้กินป๊อปคอร์นวันละ 2 ถุง และชอบสูดหายใจเอากลิ่นเนยเข้าไปเต็มปอดทุกครั้งหลังจากแกะถุงข้าวโพดคั่วที่อบสุกใหม่ๆ เขาทำแบบนี้มาตลอด 10 ปี สำหรับคนที่ชอบทานข้าวโพดคั่วหอม ๆ นั้น ควรระวังไว้ก็จะดีนะคะ  

  • อันตรายในห้องน้ำที่ทำให้คุณป่วยซ้ำ ๆ ป่วยบ่อย ๆ

    อันตรายในห้องน้ำที่ทำให้คุณป่วยซ้ำ ๆ ป่วยบ่อย ๆ

    อันตรายในห้องน้ำที่ทำให้คุณป่วยซ้ำ ๆ ป่วยบ่อย ๆ ใครที่มีอาการเจ็บป่วยบ่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ บางทีลองมาสังเกตห้องน้ำของคุณบ้างนะคะ ว่ามีเชื้อโรคร้ายแฝงอยู่บ้างหรือเปล่า ลองมาเช็คดูไปพร้อม ๆ กันนะคะ 1. ยาแนวในห้องน้ำทำให้เกิดโรคภูมิแพ้และระบบทางเดินหายใจ หากสูดดมในปริมาณมาก อาจทำให้ระคายเคืองผิวหนัง ดังนั้นหลังจากการก่อสร้างบ้านหรือต่อเติมซ่อมแซมห้องน้ำ ควรเปิดประตู หรือพัดลมระบายอาการเพื่อระบายความเข้มข้นของสารเคมีจากยาแนวเหล่านี้ออกไปให้มากที่สุด 2. ความชื้นในห้องน้ำทำให้คุณป่วยได้ ไม่ควรปล่อยให้ห้องน้ำชื้น ควรเปิดพัดลมดูดอากาศและใช้ม๊อบถูกพื้น เช็คห้องน้ำให้หมาดหรือแห้งได้ก็จะยิ่งดี ป้องกันการก่อตัวของเชื้อราด้วย 3. ติดตั้งพัดลมดูดอากาศผิดตำแหน่ง เช่นติดไว้บนเพดาน ทำให้ความชื้นไม่ถูกระบายออกไป ทางที่ดีควรติดพัดลมระบายอากาศที่สามารถระบายอากาศสู่ภายนอกได้จะดีที่สุด 4. ใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์รุนแรง ยิ่งโดยเฉพาะที่มีส่วนผสมของแอมโมเนียและคลอรีน เพราะสารทั้งสองชนิดทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง ปอด และทำให้เกิดโรคหอบหืดได้ด้วย 5. ก๊อกน้ำไม่สะอาดหรือไม่ยอมทำความสะอาด แพร่เชื้อโรคได้มากที่สุดนะคะ เพราะก็อกน้ำเป็นส่วนที่ทุกคนในบ้านจับต้องมากที่สุดแต่มักได้รับการทำความสะอาดน้อยที่สุดด้วย 6. ม่านห้องน้ำแบบไวนิล มีสารที่ก่ออันตรายและสารก่อมะเร็งได้ ควรเปลี่ยนมาเป็นแบบโพลีเสเตอร์หรือไนลอนดีกว่า 7. น้ำยาทำความสะอาดสำเร็จรูปที่มีความสามารถในการกัดเซาะได้ดีนั้น จะทำความรุนแรงต่อผิวและกลิ่นฉุน ๆ ยังระคายเคืองทางเดินหายใจได้อีก ลองเปลี่ยนมาใช้เบกกิ้งโซดาซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ กับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ทำความสะอาดห้องน้ำดีกว่า นำสองอย่างนี้มาผสมกันแล้วป้ายไว้บนสิ่งสกปรกประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วขัดล้างตามปกติ จะปลอดภัยต่อสุขภาพของคุณมากกว่าค่ะ 8. ควรกรองคลอรีนออกจากน้ำด้วย…

  • พิษภัยจากโรคถุงลมปอดโป่งพอง

    พิษภัยจากโรคถุงลมปอดโป่งพอง

    พิษภัยจากโรคถุงลมปอดโป่งพอง บุหรี่เป็นพิษต่อร่างกาย ทำให้เกิดโรคจากปอดที่เรียกว่า “โรคถุงลมปอดโป่งพอง” ได้ง่าย พบมากในผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 45-65 ปีขึ้นไป มักสูบบุหรี่กันมานานกว่า 10 ปี จนในที่สุดปอดก็พิการ ทำให้เกิดอาการเหนื่อยหอบง่าย ติดเชื้อที่ปอดซ้ำซาก นอกจากบุหรี่แล้ว ก็ยังมีสาเหตุอื่นด้วยได้แก่ มลพิษในอากาศ ควันไฟหุงต้มอาหารที่ก่อไฟในที่ขาดอาการถ่ายเท เป็นต้น อาการของโรคถุงลมปอดโป่งพอง ก็คือ ระยะแรกจะมีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ไอหนัก ไอมีเสมหะเป็นแรมเดือนแรมปี ไอหรือขาดเสมหะในคอหลังจากตื่นนอนตอนเช้า และไอถี่ขึ้นเป็นตลอดทั้งวัน เสมหะช่วงแรงจะมีสีขาวและกลายเป็นเหลืองหรือเขียว มีไข้หรือหอบเหนื่อยเป็นครั้งคราว หากผู้ป่วยยังไม่เลิกสูบบุหรี่ ก็จะยิ่งมีอาการเหนื่อยง่ายมากขึ้น แม้เวลาเดิน พูด หรือทำกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะรุนแรงขึ้นจนแม้อยู่เฉย ๆ ก็เหนื่อยหอบ เพราะถุงลมปอดพิการอย่างรุนแรง ไม่สามารถแลกเปลี่ยนอากาศนำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้แล้ว ในระยะสุดท้ายผู้ป่วยจะเบื่ออาหาร จนน้ำหนักลด หอบตลอดเวลา และทุกข์ทรมานมาก การรักษาโรคถุงลมปอดโป่งพองนั้น แพทย์จะรักษาตามความรุนแรงของโรค โดยทั่วไปจะให้ยาขยายหลอดลมเพื่อสูดพ่น ต่อมาก็อาจจ่ายเป็นยาสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่นด้วย หากมีการติดเชื้อก็จะให้ยาปฏิชีวนะ สำหรับรายที่หอบรุนแรง ปอดอักเสบแพทย์ก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลเพราะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ต้องให้ออกซิเจน โรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง…

  • ป้องกันภัยจาก…วัณโรค

    ป้องกันภัยจาก…วัณโรค

    ป้องกันภัยจาก…วัณโรค วัณโรค เป็นโรคติดต่อโรคหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเมื่อรับเชื้อมาแล้วจะยังไม่แสดงอาการทันทีทันใด และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเพราะผลกระทบจากโรคเอดส์ด้วย วัณโรคนี้สามารถแพร่เชื้อจากคนหนึ่งไปสู่คนอื่น ๆได้ด้วยการหายใจ จากผู้ป่วยที่มีเชื้อเสมหะอยู่ ไม่ว่าจะโดยการไอ จาม พูด โดยไม่ยอมปิดปากปิดจมูก เชื้อวัณโรคจะอยู่ในละอองที่ออกมาจากตัวผู้ป่วยและลอยอยู่ หากผู้ที่อยู่ใกล้หายใจเอาละอองฝอยนี้เข้าไปก็จะติดเชื้อวัณโรคและอาจป่วยเป็นวัณโรคได้ ผู้ที่รับเชื้อวัณโรคไม่จำเป็นต้องเป็นวัณโรคทุกคน เพราะทุกคนจะมีภูมิคุ้มกันที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคอยู่ เชื้อนั้นอาจถูกกำจัดออกไปด้วยภูมิคุ้มกันในร่างกาย แต่เมื่อใดที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอก็จะทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ ก็จะเจ็บป่วยเป็นวัณโรค พบว่าผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเอดส์และผู้ที่ทานยากดภูมิจะมีโอกาสเป็นวัณโรคได้มากกว่าคนทั่วไป วัณโรคนั้นสามารถเป็นได้กับอวัยวะทุกส่วนของร่างกายได้ แต่ที่พบและเป็นปัญหามากที่สุดก็คือวัณโรคปอด อาการเริ่มต้นนั้นจะมีอาการไอติดต่อกันนานเกินกว่าสองอาทิตย์ รวมทั้งอาจมีอาการอื่นด้วยอาทิเช่น ไอมีเสมะเหลืองเขียว หรือมีเสมหะปนเลือด เจ็บหน้าอก เป็นไข้ เหนื่อยหอบ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยโดยด่วน ซึ่งการรักษาในปัจจุบันนี้ก็มียารักษาที่ใช้เวลารักษา 6-8 เดือนก็หายขาดได้ ขอให้มีวินัยในการกินยาทุกวันและทุกเม็ดให้ครบถ้วนก็สามารถรักษาให้หายได้แล้ว ผู้ป่วยควรรีบรักษาตัวให้หาย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ระหว่างการรักษาควรปิดปากจมูกทุกครั้งที่ไอหรือจาม โดยการใส่หน้ากากอนามัยให้มิดชิด หรือใช้ผ้าปิดปากจมูกทุกครั้งที่อยู่ร่วมกับผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ ยิ่งประชาชนในประเทศและในโลกนี้ร่วมมือกันหยุดยั้งวัณโรคมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการควบคุมและหยุดยั้งวัณโรคได้มากขึ้นเท่านั้นค่ะ

  • ป้องกันหมอกควันในอากาศทำร้ายสุขภาพ

    ป้องกันหมอกควันในอากาศทำร้ายสุขภาพ

    ป้องกันหมอกควันในอากาศทำร้ายสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นอากาศในเมืองใหญ่หรืออากาศตามต่างจังหวัด ในบางช่วงของปีก็มักมีปัญหาของหมอกควันและฝุ่นละอองหนาแน่นจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพกันได้ทั้งนั้น โดยหากมีหมอกควันและฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน อาจทำให้เกิดอาการแสบตา ตาแดง คันตา น้ำมูกหรือน้ำตาไหลได้ ยิ่งหากเป็นผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ภูมิแพ้ โรคปอด หอบหืด ผู้ป่วยโรคหัวใจ หมอกควันเหล่านี้ก็อาจทำให้อาการกำเริบรุนแรงขึ้นได้ นอกจากนี้กลุ่มที่น่าเป็นห่วงได้แก่ เด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ คนชรา ก็อาจเจ็บป่วยไม่สบายได้ง่ายขึ้นด้วย โดยมักมีอาการของหวัด คออักเสบ เจ็บคอ ไอ จาม เป็นต้น หากคุณผู้อ่านอยู่ในพื้นที่มีปัญหาหมอกควันหนาแน่น ควรดูแลตนเองดังต่อไปนี้ค่ะ – กลุ่มที่มีโรคประจำตัวและเจ็บป่วยง่าย ควรอยู่แต่ในอาคารบ้านเรือนและปิดประตูหน้าต่างมิให้ควันไฟเข้าไปในอาคารได้ – ควรใส่หน้ากากอนามัย หรือจะพรมน้ำหมาก ๆ ช่วยด้วยก็จะช่วยกรองฝุ่นควันได้ดีขึ้น – บ้านที่ติดแอร์คอนดิชั่น ควรถอดแผ่นกรองอากาศมาทำความสะอาดให้บ่อยขึ้น – ดูแลตัวเองให้มีสุขภาพที่แข็งแรง หากช่วงใดที่สภาพอากาศมีหมอกควันฝุ่นละออกมาก ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในที่แจ้ง และที่สำคัญที่สุดก็คือทุกคนร่วมใส่ใจกับชุมชนและสังคมร่วมกัน ไม่ควรเผาขยะหรือเผาวัตถุใด ๆ ก็ตาม ที่จะทำให้เกิดควันพิษสร้างปัญหาให้กับชุมชน เพื่อสุขภาพของตัวเราเองและคนที่เรารักทุกคนนะคะ  

  • รู้จักกับไข้หวัดใหญ่ H3N2 หรือไข้หวัดใหญ่ไอโอวา

    รู้จักกับไข้หวัดใหญ่ H3N2 หรือไข้หวัดใหญ่ไอโอวา

    รู้จักกับไข้หวัดใหญ่ H3N2 หรือไข้หวัดใหญ่ไอโอวา ไข้หวัดใหญ่ H3N2 หรือไข้หวัดใหญ่ไอโอวา นั้นเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่มียีนมาจากไข้หวัดใหญ่ 2009 ในสหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วยแล้วจำนวนสามรายเมื่อช่วงปลายปี 2554 อาการของทุกรายนั้นจะไม่รุนแรง และทุกรายก็สามารถหายได้อย่างเด็ดขาด โดยอาการทั่วไปจะมีลักษณะเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ได้แก่ การมีไข้ขึ้นแบบทันทีทันใด ปวดหัว ปวดเมื่อเนื้อตัว อ่อนเพลียมาก เจ็บคอ ไอ น้ำมูกไหล และอาการจะหายไปเองในหนึ่งอิทตย์ แต่อาจทำอันตรายกับกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ได้ ได้แก่ผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงอายุ อายุ 65 ปีขึ้นไป, เด็กอายุน้อยกว่าสองขวบ, ผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคไต โรคหัวใจ โรคปอด หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง ฯลฯ, เด็กที่ได้รับยาแอสไพรินเป็นเวลานาน, หญิงตั้งครรภ์ระยะที่ 2 หรือ 3 ในฤดูกาลที่มีไข้หวัดใหญ่สูง, ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอ้วน รวมไปถึงผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ การติดต่อนั้นก็เหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไป คือติดต่อทางลมหายใจ การไอ การจาม การสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ ระยะฟักตัวจะอยู่ในช่วงประมาณ 1-3 วัน ระยะแพร่เชื้อจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการ…

  • ป้องกันโรคปอดบวมในเด็ก…ในช่วงหน้าฝน

    ป้องกันโรคปอดบวมในเด็ก…ในช่วงหน้าฝน

    ป้องกันโรคปอดบวมในเด็ก…ในช่วงหน้าฝน โรคปอดบวมเป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงเฉียบพลัน ที่รุนแรงและมีอันตรายถึงตายได้เลยในเด็กเล็ก ๆ โรคนี้นั้นโดยประมาณแล้วองค์การอนามัยโลกระบุว่า ทุก ๆ นาทีจะมีเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมอย่างน้อยหนึ่งคน จึงทำให้เด็กเล็กทั่วโลกเสียชีวิตด้วยโรคนี้เฉลี่ยปีละประมาณสองล้านคนแลยทีเดียว โรคปอดบวมนี้เกิดจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียค่ะ มักจะพบในผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ มีภูมิต้านทานโรคต่ำ ไม่ว่าจะเป็น เด็กเล็กอายุน้อยกว่าห้าขวบ, ทารกแรกเกิดไม่แข็งแรง, ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี, ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ รวมไปถึงผู้สูงอายุด้วย โดยระยะที่ระบาดมากที่สุดก็คือช่วงหน้าฝนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนของทุกปี โรคนี้ติดต่อกันได้ด้วยการหายใจเอาเชื้อที่ฟุ้งอยู่ในอากาศเข้าสู่ปอด, การไอหรือจามรดกัน, การคลุกคลีกับผู้ป่วยโรคนี้อยู่แล้ว, การสำลักสิ่งแปลกปลอมที่มีเชื้อโรคเข้าไปในจมูกและลำคอ เช่น เด็กที่สำลักน้ำขณะเล่นน้ำก็สามารถเป็นโรคปอดบวมได้ด้วย อาการของโรคนี้จะมีไข้สูง ไอหนัก ไอมาก หายใจเร็ว หรือหายใจลำมาก และถ้าอาการหนักจะหอบถี่ หายใจลำบากหรือมีเสียงดังวี๊ด ๆ หรือหายใจแรงหอบจนซี่โครงบุ๋มตัว เล็บมือเล็บเท้า ริมฝีปากเขียวคล้ำ ซึมหรือกระสับกระส่าย หากมีอาการเช่นนี้แล้วควรรีบน้ำผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยด่วนเพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ สำหรับโรคนี้ที่มีความอันตรายมากสามารถป้องกันได้โดย – รักษาสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนนอนหลับอย่างสม่ำเสมอ – กินอาหารที่ประโยชน์ และออกกำลังกายบ่อย ๆ – ไม่ควรพาเด็กไปในที่แออัดหรือมีคนมาก รวมทั้งไม่ควรให้เด็กอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย – สำหรับเด็กที่เลี้ยงในห้องแอร์ควรสวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นไว้มาก ๆ – เด็กเล็กควรดื่มน้ำนมแม่เพื่อให้ได้รับภูมิต้านทานให้เต็มที่…

  • ประมวลผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง

    ประมวลผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง

    ประมวลผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง จากสถิตินับถึงปีปัจจุบันพบว่าคนไทยนั้นเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และมีอัตราการตายจากโรคนี้เพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้โรคมะเร็งกลายเป็นสาเหตุการตายอันดับที่หนึ่ง แซงหน้าอุบัติเหตุ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหลอดเลือดสมอง รวมทั้งโรคปอดไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตคนไทยมากเป็นอันดับหนึ่งก็คือ มะเร็งตับ รองลงมาเป็นมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และก็มะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งได้แก่ – ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก นั่นคือการได้รับสารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนจากอาหาร, การได้รับรังสีเอกซ์, รังสียูวีจากแสงแดด, การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบทุกชนิด, การติดเชื้อไวรัสแพบพิลโลมา, พยาธิใบไม้ตับ รวมถึงการดื่มเหล้าสูบบุหรี่ด้วย ฯลฯ – ปัจจัยจากความผิดปกติภายใน เช่น พันธุกรรม, ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ภาวะทุพโภชนาการ ฯลฯ ซึ่งเราสามารถสรุปกลุ่มผู้ที่เสี่ยงต่อการมะเร็งได้ดังนี้ 1. กลุ่มที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ 2. กลุ่มที่สูบบุหรี่ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทางเดินหายใจ มะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง แล้วหากดื่มเหล้าด้วยก็อาจเป็นมะเร็งช่องปากในลำคอได้อีก 3. กลุ่มที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือทานอาหารที่ปนเปื้อนอะฟลาทอกซิล ที่เป็นเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหาร ทั้งพริกป่น ถั่วลิสงป่น ฯลฯ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ แล้วถ้าได้รับทั้งสองชนิดก็มีโอกาสในการเป็นมะเร็งตับเพิ่มมากขึ้น 4. กลุ่มที่ติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ และทานอาหารที่ใส่ดินประสิว…