Tag: โรคตับ

  • ระวังการใช้สมุนไพร “ปอบิด” เสี่ยงไตวายได้

    ระวังการใช้สมุนไพร “ปอบิด” เสี่ยงไตวายได้

    ระวังการใช้สมุนไพร “ปอบิด” เสี่ยงไตวายได้ ปัจจุบันนี้มีการนิยมนำเอาสมุนไพรบางชนิดมาช่วยบรรเทาและรักษาโรคเบาหวานกันมากขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือ “ปอบิด” หรือ “ปอกะบิด” นั่นเอง ซึ่งแม้จะมีฤทธิ์ช่วยในการลดน้ำตาลได้เลือดได้ แต่ก็พบว่ามีผู้ป่วยบางรายมีอาการไตวายเป็นผลข้างเคียงด้วย อันตรายมาก! ซึ่งมีรายงานจากการวิจัยพบว่า ปอบิดนี้ช่วยรักษาเบาหวานได้จริง สามารถลดระดับน้ำตาลในหนูทดลองได้ แต่ก็ทำลายตับของหนู และกระตุ้นหัวใจของกบได้ด้วย ซึ่งสมุนไพรดังกล่าวยังไม่มีงานวิจัยในด้านพิษวิทยาล่าสุดนี้มีงานวิจัยจาก รศ.รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่าแม้ปอบิดจะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ให้ผลใกล้เคียงกับยาแผนปัจจุบัน แต่ก็ไม่สามารถทดแทนยารักษาเบาหวานได้จริง ผ็ป่วยควรตรวจการทำงานของตับและไตทุก 3 เดือน และห้ามใช้สมุนไพรชนิดนี้ในผู้ที่มีประวัติเป็นโรคตับหรือโรคไต รวมไปถึงผู้ที่มีพันธุกรรมเป็นโรคตับโรคไตในครอบครัวด้วย ผู้ป่วยเบาหวานนั้นมักจะมีตับ ไต ตับอ่อน หัวใจไม่แข็งแรงอยู่แล้ว เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย หากต้องการใช้สมุนไพรไม่ควรกินติดต่อกันเกิน 7 วัน เพราะปริมาณสารเคมีจากสมุนไพรควบคุมได้ยาก และไม่ควรกินแทนยา จึงควรมีช่วยหยุดพักในการกินหรือทานสมุนไพรชนิดอื่น ๆ สลับกันไป เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่คาดไม่ถึงได้อีกในอนาคตค่ะ

  • ตับแข็งไม่ได้เกิดจากการกินเหล้าเท่านั้น

    ตับแข็งไม่ได้เกิดจากการกินเหล้าเท่านั้น

    ตับแข็งไม่ได้เกิดจากการกินเหล้าเท่านั้น โรคตับ นั้นมีสาเหตุหลายประการ ซึ่งภาวะไขมันพอกตับนั่นก็เป็นอีกปัญหาที่พบมาก เกิดได้จากการดื่มเหล้า การสูบบุหรี่ การรับสารพิษสารเคมีต่าง ๆ ภาวะขาดอาหาร หรือได้รับสารอาหารมากเกินไปจนร่างกายสะสมไว้ในรูปแบบไตรกลีเซอไรด์ในตับ ผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรังนั้นกว่าร้อยละ 60 มีภาวะไขมันพอกตับ และมักมีปัจจัยต่อไปนี้ร่วมด้วย ได้แก่ อ้วนลงพุง ไขมันที่ลำตัวมากกว่าแขนขา เป็นเบาหวาน มีไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ไขมันพอกตับนี้ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการออกมา กว่าจะรู้ตัวก็มักเป็นโรคตับอักเสบหรือตับแข็งไปแล้ว มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นจะแสดงอาการออกมา ซึ่งอาจมีอาการปวดแน่นชายโครงขวา อ่อนเพลียง่าย ๆ ผู้ที่มีกรรมพันธุ์ครอบครัว ญาติพี่น้องเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ยิ่งควรให้ความใส่ใจกับสุขภาพมากเป็นพิเศษ ได้แก่… – ดูแลน้ำหนักตัวให้อยู่ในมาตรฐาน ดูแลอาหารการกิน เลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยกะทิ น้ำมัน นม เนย ชีส กุ้ง ปูไข่ ไข่แดง และอื่น ๆ รวมไปถึงอาหารที่มีน้ำตาลและแป้งมากด้วย เนื่องจากอาจเกิดการสะสมของไตรกลีเซอร์ไรด์ในตับได้ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย – หมั่นตรวจสุขภาพทุกปี เพื่อให้ทราบความผิดปกติของร่างกายในส่วนต่าง ๆ รวมทั้งตับด้วย และควรดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเหมาะสม –…

  • ทำความรู้จักกับ…ไวรัสตับอักเสบซี

    ทำความรู้จักกับ…ไวรัสตับอักเสบซี

    ทำความรู้จักกับ…ไวรัสตับอักเสบซี ส่วนใหญ่แล้วคนไทยมักจะคุ้นเคยกับโรคไวรัสตับอักเสบเอ และบี กันมากกว่า โรคไวรัสตับอักเสบซีนะคะ ความจริงแล้วโรคนี้เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยในปัจจุบันเลยทีเดียว มีผู้ที่ติดเชื้อนี้ไปแล้วกว่า แปดแสนคน ซึ่งเกือบทั้งหมดจะอยู่ในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดผ่านเข็มร่วมกับผู้อื่น เชื้อไวรัสตับอักเสบซีนี้จะอยู่ในเลือดและน้ำคัดหลั่งส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ติดต่อสู่ผู้อื่นคล้ายโรคไวรัสตับอักเสบบีและเอดส์ ผู้ที่มีกลุ่มเสี่ยงก็ได้แก่ กลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดที่ใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น การสักหรือการเจาะผิวหนัง การฝังเข็ม การใช้เครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็น มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ หรือติดต่อจากการทำฟัน รวมไปถึงเพศสัมพันธ์ และการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกก็ด้วย ส่วนมากมักจะติดต่อกันทางเลือดมากกว่าทางเพศสัมพันธ์ อาการของไวรัสตับอักเสบซีนี้จะมีอาการ ตัวเหลือง ดีซ่าน ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย บวม มีน้ำในช่องท้อง การจะคัดแยกผู้ป่วยต้องผ่านทางห้องปฏิบัติการเท่านั้นจึงจะทราบ อาการของผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบซีส่วนใหญ่จะแสดงออกมาหลังจาก 10 ปีผ่านไปแล้ว เข้าสู่ปีที่ 12 จะเริ่มแสดงอาการตับอักเสบเรื้อรังมากขึ้น และเมื่อผ่านไป 30 ปี ตับก็จะถูกทำลายจนมีอาการของตับแข็ง ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งจะเป็นมะเร็งตับ การดำเนินโรคของโรคนี้จะเป็นไปโดยช้า ๆ ผู้ป่วยไม่เคยรู้ตัวเลยว่ามีโรคนี้ซ่อนอยู่หากไม่ได้ตรวจเลือด มีผู้ติดเชื้ออยู่ประมาณร้อยละ 15-20 ที่หายได้เอง แต่ส่วนใหญ่แล้วหากไม่ได้รับการรักษาก็มักจะกลายเป็นโรคตับแข็ง มะเร็งตับในที่สุด โรคไวรัสตับอักเสบซีนี้ยังไม่มีไวรัสป้องกันเหมือนไวรัสตับชนิดอื่น…

  • 6 สัญญาณเตือนโรคไต

    6 สัญญาณเตือนโรคไต

    6 สัญญาณเตือนโรคไต หากร่างกายของท่านส่งสัญญาณเตือนหกประการออกมาเช่นนี้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะอาจเป็นโรคไตได้ 1. ถ่ายปัสสาวะขัดหรือถ่ายปัสสาวะลำลาก ท่านมีปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะและอาจเป็นโรคไตด้วยก็ได้ 2. ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะในตอนกลางคืน โดยปกติกระเพาะปัสสาวะคนเราจะสามารถเก็บกักไว้ได้ประมาณหนึ่งแก้ว จึงไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะกลางดึก แต่คนที่เป็นโรคไตเรื้อรังจะไม่สามารถดูดน้ำกลับเข้าร่างกายได้ตามปกติ กลางคืนจึงปวดปัสสาวะมาก ทำให้ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ แต่หากท่านดื่มน้ำเป็นปกติก่อนนอนครั้งละ 1-2 แก้วแล้ว การลุกขึ้นมาปัสสาวะอาจไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่หากมากกว่านี้หรือไม่เคยเป็นมาก่อนควรรีบปรึกษาแพทย์ค่ะ 3. ปัสสาวะสีเลือด หรือสีน้ำล้างเนื้อ หรือขุ่นผิดปกติ แสดงว่าอาจมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ อาจเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ มีนิ่ว ไตอักเสบหรือเนื้องอกในทางเดินปัสสาวะเป็นต้น 4. บวมรอบดวงตา หน้า เท้า มักพบได้ในคนที่เป็นโรคหัวใจ โรคตับ โรคไต ส่วนอาการบวมที่พบได้ไตเรื้อรังคือบวมที่หลังเท้าและหน้าแข็ง ถ้าเป็นมากจะกดแล้วเป็นรอยบุ๋มลงไป 5. ปวดเอว ปวดหลัง มักมีสาเหตุมาจากมีนิ่วอยู่ในไต หรือในท่อไต อาการปวดเกิดจากการอุดตันของท่อไตหรือ ไตเป็นถุงน้ำพองออกมา จะปวดที่บริเวณบั้นเอวหรือชายโครงด้านหลัง มักปวดร้าวลงไปที่ท้องน้อย ขาอ่อน และอวัยวะเพศ และตามมาด้วยปัสสาวะสีน้ำล้างเนื้อหรือขุ่นขาว กะปริบกะปรอย หรือปวดหัวเหน่ารวมด้วย หากหมอเคาะที่หลังเบา ๆ จะปวดมากจนสะดุ้ง…

  • พิษของสุราที่มีต่อตับ!!!

    พิษของสุราที่มีต่อตับ!!!

    พิษของสุราที่มีต่อตับ!!! สุรานั้น ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกเป็นเวลายาวนานกว่าสี่พันปีแล้ว มีหลากหลายชนิดและรสชาติแตกต่างกันไปตามแต่เชื้อต้นกำเนิดและผลไม้ที่นำมาหมัก ไม่ว่าจะเป็น เหล้า วิสกี้ ไวน์ เบียร์ พันช์ ฯลฯ และสุราเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เป็นพิษต่อสุขภาพของมนุษย์ด้วย แม้แต่ในศาสนาพุทธเองก็ยังให้พึงละเว้นสุราไว้เพื่อมิให้ขาดสติ เพราะผลของการดื่มเหล้านั้นนอกจากอุบัติเหตุที่ส่งผลเสียแก่ผู้อื่นโดยรอบตัวแล้ว ก็ยังส่งผลให้ตัวเองได้รับอันตรายจากสุราไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตับนั่นเอง สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ตับเป็นอวัยวะหลักที่ย่อยแอลกอฮอล์ การดื่มเหล้าเป็นประจำจะเกิดปัญหากับตับในสี่แบบก็คือ ไขมันพอกตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง จนถึงมะเร็งตับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ดื่มจะเป็นโรคตับเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้ – ขึ้นอยู่กับปริมาณและระยะเวลาที่ดื่ม ซึ่งมีการศึกษาพบว่าเมื่อดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 30 กรัมต่อวันในเพศชาย และ 20 กรัมในเพศหญิงแล้ว จะถือว่าอยู่ในข่ายที่ได้รับความเสี่ยงในการเป็นโรคตับ – ขึ้นอยู่กับอายุและเพศ หากดื่มในปริมาณเท่ากันแล้ว ผู้หญิงจะเสี่ยงเป็นโรคตับมากกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า – ขึ้นอยู่กับเชื้อไวรัสตับอักเสบที่มีอยู่เดิม หากมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีอยู่แล้วจะทำให้การดำเนินโรคแย่กว่าผู้ที่เป็นโรคตับจากแอลกอฮอล์อย่างเดียว – พันธุกรรมและยาบางชนิดก็เป็นปัจจัยเสี่ยงกระตุ้นโรคด้วยเช่นกัน อาการของโรคตับนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของโรค ผู้ที่ไขมันพอกตับ หรือตับอักเสบเล็กน้อยจะไม่มีอาการผิดปกติหรืออาการจะไม่เฉพาะเจาะจงมากนัก เช่น ปวดชายโครงขวา มีไข้ อ่อนเพลีย ฯลฯ ส่วนผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง จะมีอาการคือ…

  • กลูต้าไทโอนทำให้ผิวขาวใสได้จริงหรือ?

    กลูต้าไทโอนทำให้ผิวขาวใสได้จริงหรือ?

    กลูต้าไทโอนทำให้ผิวขาวใสได้จริงหรือ? กลูต้าไทโอนเป็นสารที่พบได้ในพืช ผัก ผลไม้ทั่วไป รวมทั้งเนื้อสัตว์ด้วย แหล่งของกลูต้าไทโอนที่พบได้มากได้แก่ อะโวคาโด หน่อไม้ฝรั่ง สตรอเบอ์รี่ มะเขือเทศ ส้ม บร็อกโคลี่ ผักโขม เกรปฟรุต ฯลฯ และกลูต้าไทอนนี้ยังพบได้ในเซลล์ตับของเราเอง ซึ่งมนุษย์ผลิตได้เองตามธรรมชาติ แต่ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น กลูต้าไทโอนเป็นกรดอมิโนที่สำคัญในการต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายได้ ช่วยให้ตับขับสารพิษออกจากร่างกายด้วย นอกจากนี้แล้วยังเป็นสารที่นำมารักษาโรคข้ออักเสบ มะเร็ง พาร์กินสัน โรคตับ โรคไต โรคเอดส์ รักษาอาการหูตึงจากเสียงดัง รักษาภาวะเป็นหมันในเพศชายได้ ส่วนที่ทานแล้วผิวขาวขึ้นนั้นเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น เพราะกลูต้าไทโอนนั้นจะเข้าไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินบนผิวหนังและตามร่างกายด้วย ด้วยความที่สารนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายเทียบเท่าวิตามินซีหรือวิตามินอี การเพิ่มสารนี้เข้าไปในร่างกายจะช่วยให้มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น ช่วยให้อายุยืนยาวขึ้น ซึ่งนั่นเป็นวัตถุประสงค์หลักของกลูต้าไทโอนมากกว่าผิวขาวใส แต่ก็ใช่ว่าจะกินกลูต้าไทโอนเข้าไปแล้วจะได้รับผลอย่างที่ต้องการทุกครั้ง หากคุณดื่มเหล้า เบียร์ สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ หรือทานยาพาราเซตามอลอยู่บ่อย ๆ ตลอดจนออกกำลังกายหนัก ๆ ก็จะทำให้กลูต้าไทโอนสูญเสียประสิทธิภาพลงไปได้ และการกินกลูต้าไทโอนนี้ก็อาจทำให้มีผลข้างเคียงด้วยคือ ทำให้ผิวหนังแดง ความดันโลหิตต่ำ หอบหืดเฉียบพลัน จึงควรสังเกตอาการหลังการกินไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามการทานอาหารทุกหมู่ที่มีความสดใหม่จากธรรมชาติ และดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้ผิวพรรณดูสดใส เปล่งปลั่งร่างกายแข็งแรงได้อย่างเต็มที่ที่สุดแล้วค่ะ  

  • เคล็ดลับ 5 ประการห่างไกลมะเร็งตับ

    เคล็ดลับ 5 ประการห่างไกลมะเร็งตับ

    เคล็ดลับ 5 ประการห่างไกลมะเร็งตับ “ตับ” ถือได้ว่าเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดภายในร่างกาย จะอยู่ภายในช่องท้องบริเวณชายโครงด้านขวา หน้าที่ขอตับก็คือช่วยขจัดของเสียสะสมในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ยา สารเคมี หรือสารพิษที่ร่างกายไม่ต้องการ ทำหน้าที่เหมือนคลังสะสมอาหารเพื่อเป็นพลังงานไปหล่อเลี้ยงและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วย นับเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมากของร่างกาย แต่หากเราดูแลร่างกายเราไม่ดีก็อาจทำให้เกิดโรคตับขึ้นได้ โดยโรคตับนี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบทุกชนิด การดื่มเหล้า การทานยาบางชนิด ทั้งยาฆ่าเชื้อ ยาคุมกำเนิด และที่พบบ่อยก็คือไขมันพอกตับในผู้ที่เป็นโรคอ้วน ซึ่งสาเหตุเหล่านี้อาจทำให้ตับอักเสบ และกลายเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ด้วย เคล็ดลับ 5 ประการที่จะช่วยให้เราห่างไกลมะเร็งตับมีดังต่อไปนี้ 1. ผู้ที่มีอาการป่วยเกี่ยวกับโรคตับควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และไปพบแพทย์ตามนัดอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติตามแพทย์แนะนำ ส่วนคนทั่วไปที่ยังไม่เป็นโรคตับก็ควรป้องกันตนเองจากอาการอักเสบ 2. ห่างไกลอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษทั้งหลาย รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด เพราะอาจทำลายเซลล์ตับได้มากกว่าอวัยวะอื่น ๆ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงได้อีกก็คือของหมักดอง ที่อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค อาหารปิ้ง ๆ ย่าง ๆ หรือทอดน้ำมัน เพราะมีสารก่อมะเร็งเป็นจำนวนมาก อาหารที่มีไขมันสูงก็เช่นเดียวกัน และรวมไปถึงยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดข้อ ยาคุม ยาฆ่าเชื้อที่อาจส่งผลเสียต่อตับได้ 3. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม…

  • ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ที่มีต่อสุขภาพของเรา

    ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ที่มีต่อสุขภาพของเรา

    ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ที่มีต่อสุขภาพของเรา สุราหรือแอลกอฮอล์นั้นเป็นพิษภัยต่อสุขภาพร่างกาย ทำให้เกิดโรคได้ถึงกว่าหกสิบชนิด  เมื่อดื่มสุราลงไป  แล้วร่างกายดูซึมเข้าสู่กระแสเลือด  แอลกอฮอล์จะกระจายตัวไปทั่วร่างกาย ทำให้หัวใจเต้นเร็วและถี่ขึ้น  ความดันเลือดจึงเพิ่มขึ้น  แล้วยังมีฤทธิ์ต่อสมองส่วนกลางด้วยการไปกดสมองทำให้เซลล์สมองเสื่อม มีปัญหาความจำเสื่อม และสมองลีบฝ่อ  หากเป็นมากเข้าก็จะอาจเกิดอาการประสาทหลอนได้  อีกทั้งสุราเข้าออกฤทธิ์เข้ากดศูนย์กลายใจและศูนย์ควบคุมการไหลเวียนของโลหิตในสมองจะทำให้เสียชีวิตได้ การดื่มสุรายังทำให้เกิดการระคายเคืองเฉพาะที่  สังเกตง่าย ๆ เลยก็คือเมื่อดื่มลงคอไปก็จะรู้สึกบาดคอแล้ว  แล้วลามลงไปสร้างความระคายเคืองที่หลอดอาหาร  จนทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุชั้นในสุดของผนังหรือกระเพาะอาหาร แล้วยังทำให้ลำไส้เล็กเกิดทะลุได้อีก   นอกจากนั้นแอลกอฮอล์ยังเข้าขัดขวางการดูดซึมของอาหารบางชนิด ไม่ว่าจะเป็น ไขมัน กรดอะมิโน กรดโฟลิก วิตามินบี 1 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12  ที่อาจทำให้เซลล์ของตับได้รับการระคายเคือง และทำให้ตับโตขึ้น  แอลกอฮอล์ยังทำให้การน้ำย่อยจากตับอ่อนไม่สามารถไหลเข้าไปในลำไส้เล็กได้  น้ำย่อยจึงย่อยตับอ่อนเอง ทำให้ตับอ่อนเลือดออกอย่างฉับพลันและทำให้อักเสบได้  มักพบว่าผู้ที่มีอาการเช่นนี้ 20% ของจะเสียชีวิตตั้งแต่ครั้งแรกที่มีปัญหากับตับอ่อน  ทำให้การสร้างอินซูลินบกพร่อง จนกลายเป็นโรคเบาหวานได้ในที่สุด  และทำให้เกิดอาการตับแข็งขึ้นทุกครั้งที่ดื่มด้วย แต่กลับมีนักวิจัยบางกลุ่มที่บอกว่าแอลกอฮอล์มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจของทั้งเพศชายและหญิง  โดยได้กล่าวว่า หากได้ดื่มแอลกอฮอล์อย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มระดับของคอเลสเตอรอลตัวดี ๆ ที่จะช่วยป้องกันระบบภายในหลอดเลือดได้  หากยิ่งเป็นคนที่ไม่ทานอาหารทอด ๆ มัน ๆ แล้วยังออกกำลังกายอยู่เสมอแล้ว  การดื่มแอลกอฮอล์วันละเล็กน้อยแบบนี้จะสร้างคอเลสเตอรอลตัวดี ๆ…

  • ทำไม? เราจึงควรงดดื่มเหล้าในช่วงเข้าพรรษา

    ทำไม? เราจึงควรงดดื่มเหล้าในช่วงเข้าพรรษา

    ทำไม? เราจึงควรงดดื่มเหล้าในช่วงเข้าพรรษา เพราะคนไทยเรานับถือศาสนาพุทธ  คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นวัยไหน รุ่นไหน จึงมักจะใช้วันสำคัญทางศาสนามาเป็นฤกษ์งามยามดีในการเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ หรือการลดเลิกสิ่งที่ไม่เป็นมงคลกับชีวิต  ดังนั้นทุกปี วันเข้าพรรษานอกจากจะเป็นวันที่พ่อแม่มักจะบวชลูกชายตามประเพณี เพราะเชื่อว่าได้บุญมากแล้ว ไม่กี่ปีมานี้ยังเป็นวันที่ร่วมกันรณรงค์เพื่อเริ่มต้นงดดื่มสุราด้วย ซึ่งการงดดื่มสุรานี้ก็ถือเป็นการถือบวชในรูปแบบหนึ่งด้วย เรียกว่าการบวชทางใจนั้นเอง  เป็นการตั้งจิตอธิษฐานเพื่อขอละเว้นหรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งหลาย  รวมไปถึงการดื่มเหล้าที่จะทำให้เกิดผลเสียหายตามมาอีกมากมาย ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นในสังคม  รวมทั้งการดื่มสุรายังทำลายความอบอุ่นในครอบครัวมากกว่าครอบครัวที่ไม่ดื่มสุรา 4 เท่า (จากผลการสำรวจ) รวมทั้งยังเป็นต้นเหตุของการหย่าร้างในคู่สามีภรรยาอีกมากด้วย การดื่มเหล้าไม่ได้สร้างปัญหาให้กับสังคมและคนรอบข้างเท่านั้น  แม้สุขภาพของผู้ที่ดื่มเองก็ถูกทำลายด้วยเช่นกัน  จากการวิจัยพบว่าผู้ที่ดื่มสุราวันละ 20-40 กรัม (ของแอลกอฮอล์บริสุทธิ์)  หรือเทียบเท่ากับเบียร์ 1-2 ขวด  จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคตับแข็งมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มถึงเกือบ 10 เท่า!  นั่นเป็นเพราะเมื่อคุณดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป มันจะเข้าทำลายตับ ร่างกายจึงยึดพังผืดเพื่อยึดเซลล์ไว้ทำให้ตับที่อ่อนนุ่มอยู่แข็งตัวขึ้น  และทุกครั้งที่คุณดื่มเหล้าเข้าไป ตับก็จะยิ่งแข็งขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นตับแข็งในที่สุด  อีกทั้งนอกจากทำอันตรายกับตับแล้ว ยังทำเกิดมะเร็งชนิดส่วนต่าง ๆ ได้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งช่องปาก ฯลฯ มากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มถึง 3 เท่า! เมื่อเห็นได้ชัดแล้วว่าการดื่มเหล้าไม่ทำให้เกิดประโยชน์ใด…

  • โด๊ปด้วย “หอยนางรม” ทำได้จริงเหรอ?

    โด๊ปด้วย “หอยนางรม” ทำได้จริงเหรอ?

    โด๊ปด้วย “หอยนางรม” ทำได้จริงเหรอ? ผู้ชายทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลาย มักจะชอบหาอาหารที่ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ มีพละกำลังแล้วก็อึดได้นาน ๆ เพื่อเอาใจสาวให้ติดใจกันไงล่ะค่ะ แล้ว “หอยนางรม” เนี่ยก็เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่เชื่อกันว่าเป็นอาหารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย ซึ่งก็เป็นเพราะว่า 1. ในหอยนางรมนั้นมีแร่ธาตุที่ทำให้สเปิร์มเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว ซึ่งก็สังกะสีที่มีอยู่ในปริมาณสูงกว่าอาหารชนิดอื่น ๆ 2. แล้วยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการต่อมลูกหมากอักเสบได้ 3. รวมไปถึงหอยนางรมและอาหารทะเลต่าง ๆ ยังมีกรดไขมันโอเมก้าสาม ที่เป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่สร้างฮอร์โมนที่ชื่อว่า พรอสตาแกลนดิน มีความสำคัญต่อการตอบสนองทางเพศ แต่ในขณะเดียวกัน หอยนางรมก็อาจเป็นพิษได้ เพราะหากหอยนางรมนั้นไม่สดพอ ก็อาจมีเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคลำไส้อักเสบ หรืออหิวาตกโรคได้ และผู้ที่ภูมิคุ้มกันไม่ปกติและเป็นโรคตับ ก็มักจะติดเชื้อในกระแสเลือด ทำให้มีอาการป่วยอย่างรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ รวมไปถึงปริมาณของคอเลสเตอรอลในหอยนางรมนั้นสูงมาก จึงแนะนำให้ทานแต่พอดีจะดีกว่าค่ะ