Tag: เครียด

  • แค่ดูแลสมองให้ดี ชีวีก็สุขขึ้นได้

    แค่ดูแลสมองให้ดี ชีวีก็สุขขึ้นได้

    แค่ดูแลสมองให้ดี ชีวีก็สุขขึ้นได้ เพราะการใช้ชีวิตของคนเราในปัจจุบันนี้นั้น ประสบกับความเครียดเป็นอันมาก ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากการทำมาหากิน การเงิน หรือปัญหาความสัมพันธ์ และยิ่งเมื่อต้องอยู่ร่วมกับสังคมคนหมู่มากแล้วหลายเรื่องก็ยิ่งชวนให้ประสาทเสียมากยิ่งขึ้นไปอีก การปล่อยให้ตัวเองมีความเครียดนาน ๆ นั้นเป็นการทำลายสมองไปโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเมื่อทำลายสมองก็ยิ่งทำให้เครียดมากยิ่งขึ้น วนเวียนอยู่อย่างนี้ จนสุขภาพกายสุขภาพใจเสื่อมโทรม ดังนี้แล้วเราเริ่มกลับมาดูแลสมอง กันดีกว่านะคะ ความเครียดจะได้ลดลง และสมองของเราจะได้อยู่กับเราไปนาน ๆ ไม่เป็นอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อมในยามแก่ชราด้วย ความสุขนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เพียงบริหารสมองดังต่อไปนี้ 1. หมั่นไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การที่เลือดลมไหลเวียนทั่วร่างกาย และการหายใจที่ถูกวิธีเป็นการบำรุงสมองวิธีหนึ่งที่ได้ผลมาก 2. ฝึกสติ นั่งสมาธิ เจริญสติ ให้โอกาสสมองได้พักผ่อน ด้วยความสงบบ้าง 3. ทานผัก ผลไม้สด และปลอดสารพิษให้มากเข้าไว้ทุกวัน และควรทานเนื้อปลาหรืออาหารทะเลที่มีส่วนประกอบของกรดไขมันโอเมก้าสามเพื่อบำรุงสมองทุกวันด้วย 4. พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ เพราะสมองจะทำงานได้ดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการเข้านอนให้พอเพียงด้วย 5. ลองหาอะไรทำ หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ ทำให้สมองตื่นตัวไม่เป็นอัลไซเมอร์ง่าย ๆ 6. ฝึกหัดใช้สมองบ่อยๆ อย่าใช้เครื่องทุ่นแรงมากนัก เช่น คิดเลขด้วยสมอง ด้วยมือ แทนที่จะใช้เครื่องคิดเลข…

  • แก่นแท้แห่งธรรม แก่นแท้แห่งชีวิต

    แก่นแท้แห่งธรรม แก่นแท้แห่งชีวิต

    แก่นแท้แห่งธรรม แก่นแท้แห่งชีวิต ด้วยความเครียดและความวุ่นวายที่มีมากในประเทศแถบตะวัน ทำให้เกิดผู้ที่สนใจศึกษาพุทธศาสนามากขึ้น โดยเฉพาะในเล่ม How to get the Buddhahood นั้น ผู้เขียนได้เขียนเจาะจงให้ชาวตะวันตกที่ไม่คุ้นเคยพุทธศาสนาได้เข้าใจหลักธรรมและนำไปประยุกต์ใช้เพื่อขจัดความทุกข์และความเครียด โดยมีวิธีปฏิบัติที่เรียบง่ายเข้าใจง่ายห้าข้อดังต่อไปนี้ 1. หัดควบคุมความคิด ทำจิตใจให้สงบและตามรู้ลมหายใจเข้าออก แม้เพียง 3 ครั้งก็ได้ผล แล้วเฝ้าสังเกตความคิดจรและความรู้สึกที่เกิดขึ้น ขจัดความคิดด้านลบออกไปไม่ว่าจะเป็น ความสงสัย ความเกลียด ความหวาดระแวง ความกลัว ฯลฯ แล้วเสริมสร้างความคิดแง่บวกเข้าไปแทน เช่น ความรัก ความเมตตา โดยอาศัยองค์ประกอบของมรรคแปด 2. อยู่กับปัจจุบัน มีสติรู้ตัวอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เช่น มีสติทุกอิริยาบถ การอยู่กับโลกของความจริงเป็นจะเข้าใจในไตรลักษณ์ เข้าใจการเกิดดับ การพึ่งพาซึ่งกันและกัน เข้าใจว่าทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ 3. เข้าใจการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของสรรพสิ่ง จิตใจจะละจากความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง ปล่อยการครอบครอง 4. เมื่อเข้าใจความเป็นไตรลักษณ์ ก็จะไม่เข้าครอบครอง เมื่อไม่ครอบครองก็ไม่มีจิตใจที่เห็นแก่ตัว นำไปสู่ความรักความเมตตาต่อผู้อื่น 5. การมีความรักความเมตตาต่อผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจไร้เงื่อนไข ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างไม่หวังผลตอบแทน…

  • เทคนิคการผ่อนคลายความเครียดแบบง่าย ๆ

    เทคนิคการผ่อนคลายความเครียดแบบง่าย ๆ

    เทคนิคการผ่อนคลายความเครียดแบบง่าย ๆ เดี๋ยวนี้การใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันสร้างความเครียดและความวิตกกังวลให้เราแทบจะทุกช่วงเวลาของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่วัยเด็ก วัยเรียน วัยรุ่น วัยทำงาน มีครอบครัว จนถึงวัยชรา เรามีความเครียดกันตั้งแต่ระดับเล็ก ๆ จนถึงระดับใหญ่ ๆ ที่สร้างผลกระทบต่อร่างกาย ความเครียดไม่ได้สร้างปัญหาทางจิตใจเท่านั้นแต่ยังสร้างปัญหาต่อสุขภาพอีกด้วย เพราะเมื่อเครียดก็มักนอนไม่หลับ พาลทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ ป่วยง่ายหายยาก ขาดสมาธิ และพัฒนาไปสู่โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ จนทำให้เสียชีวิตได้ ความเครียดจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว หากรู้ตัวว่าเริ่มเครียดขึ้นมาแล้ว ซึ่งจะสามารถเห็นได้จากอาการดังนี้ ไม่ว่าจะเป็น อาการวิงเวียนศีรษะ มึนงง เบื่ออาหาร หายใจถี่ แรง เร็ว เหงื่อออก กล้ามเนื้อเกร็ง นอนไม่หลับ มือเท้าเย็น หน้าซีด อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ฯลฯ หากมิได้เกิดจากโรคอื่น ๆ แล้วก็ให้ลองเทคนิคการผ่อนคลายความเครียดดังต่อไปนี้ดูนะคะ เทคนิคแรก วิธีผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว โดยการนอนราบลงบนพื้นหรือบนที่นอน นอนเหยียดตัวตรง เท้าทั้งสองข้างวางห่างกันเล็กน้อย แขนแนบข้างลำตัว กำมือให้แน่น เกร็งไหล่ ยกไหล่ขึ้น เกร็งไว้ 1…

  • รู้จักบริหารจัดการความเครียดเวลาทำงาน

    รู้จักบริหารจัดการความเครียดเวลาทำงาน

    รู้จักบริหารจัดการความเครียดเวลาทำงาน เวลาเราอยู่ในที่ทำงาน การจัดการบริหารอารมณ์และความเครียดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะเป็นการช่วยให้จิตใจของเราลดความเครียดลงได้แล้ว ยังช่วยรักษาความสัมพันธ์และบรรยากาศอันดีระหว่างตัวเราและเพื่อนร่วมงานไว้ด้วย แล้วเราจะบริหารจัดการความเครียดและอารมณ์ในแง่ลบกันอย่างไรดี? มาดูกันทีละขั้นนะคะ 1. รู้ให้ทันอารมณ์ตนเอง การรู้ทันอารมณ์ทำให้รู้ว่าขณะนี้กำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ ให้ฝึกจับสังเกตอารมณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการแสดงออกไปเสมอ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ด้านดี หรืออารมณ์ด้านลบก็ตามเมื่อเราสามารถรู้ทันอารมณ์ตนเองได้แล้ว ก็จะสามารถควบคุมการแสดงออกได้ ไม่ว่าจะเป็น การยิ้ม การหัวเราะแต่พอดีพองาม รวมไปถึงเวลาโกรธหรือหงุดหงิด เราก็จะไม่ทำอะไรหุนหันพลันแล่น มีเวลาไตร่ตรองถึงผลที่ตามมาอยู่เสมอ 2. เข้าใจว่าการทะเลาะกันนั้น เป็นเพราะต่างคนต่างก็พยายามที่จะรักษาศักดิ์ศรีของตัวเอง เพราะกลัวถูกหยาม กลัวเสียหน้าถ้าต้องยอมตามความคิดคนอื่น การยึดถือศักดิ์ศรีไว้เช่นนี้มีแต่จะทำให้เกิดความขัดแย้งกัน 3. เวลาโมโหหรืออารมณ์เสียมาจากที่อื่น อย่าเอาอารมณ์มาลงกับเพื่อนร่วมงานหรือคนอื่นที่เขาไม่รู้เรื่องด้วย สร้างความขัดแย้งและเข้าใจผิดต่อกันเปล่า ๆ แยกแยะให้ดี แต่คุณก็สามารถขอคำปรึกษาเพื่อระคายความคับข้องใจหรือขอความเห็นใจจากผู้อื่นได้ 4. หัดให้อภัย หัดปล่อยวาง ไม่คิดมาก ไม่จับผิดผู้อื่น จะลดโทสะได้มาก หากรู้สึกเศร้า เสียใจจะร้องไห้ออกมาก็ไม่ผิด แต่ไม่ควรทำในที่ทำงาน ไปที่ระบายในที่ลับตาดีกว่า การร้องไห้เป็นการระบายความกดดันทางอารมณ์ได้ดีแบบหนึ่ง ช่วยให้ผ่อนคลายได้มากขึ้น เราควรหมั่นสังเกตอารมณ์และความรู้สึกตัวเองอยู่เสมอว่าอยู่ในอารมณ์แบบใด เมื่อรู้เท่าทันอารมณ์สามารถควบคุมอารมณ์ไว้ได้ และรู้จักหันเหความเครียดไปทางอื่น ความเครียดของตนเองก็ลดลง และรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่นไว้ได้ดีด้วย  

  • หัวเราะรักษาโรคได้สารพัด ลองดูสิ!!

    หัวเราะรักษาโรคได้สารพัด ลองดูสิ!!

    หัวเราะรักษาโรคได้สารพัด ลองดูสิ!! การอยู่ในบ้านหรือในสังคมที่อุดมความสดชื่น เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกครื้นเครงนั้น ช่วยให้อารมณ์สดใจ จิตใจมีสุขภาพดีขึ้นได้มากเลยนะคะ ยิ่งโดยเฉพาะในครอบครัวใดที่มีคนที่ป่วยหนักอยู่ การสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้นในครอบครัว ช่วยลดความรู้สึกเจ็บปวดลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่เราหาเวลาแต่ละวันอยู่ร่วมกัน แล้วผลัดกันเล่าเรื่องราวขำขันแบ่งปันกันฟัง หรือถ้านึกมุขไม่ออกจะเปิดหนังตลก ทอล์คโชว์ขำ ๆ ดูด้วยกันก็ดีเช่นกัน การหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติทำให้ความรู้สึกเกร็งหรือฝืนหมดไป (การรับน้องหรือปฐมนิเทศพนักงานจึงมักเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เพราะช่วยละลายพฤติกรรมให้เปิดใจเข้าหากันได้มากกว่า) อีกทั้งการหัวเราะยังสร้างบรรยากาศดีขึ้นในบ้าน กระชับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นได้ นอกจากนี้แล้วการหัวเราะมีประโยชน์ดังต่อไปนี้อีกค่ะ – การหัวเราะช่วยลดความเจ็บปวด ร่างกายผ่อนคลายมากขึ้น – รักษาอาการซึมเศร้า ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเซโรโทนิน และโดปามีนมากขึ้น จิตใจจึงสงบเยือกเย็น – เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ ที่เห็นได้ชัดก็คือป้องกันโรคหวัดได้ – การหัวเราะช่วยลดน้ำหนัก เพราะการหัวเราะแม้วันละเพียง 1-5 นาทีต่อวัน สักวันละสิบครั้ง จะช่วยลดความอยากอาหาร จึงมีผลต่อการควบคุมน้ำหนัก ซึ่งจะแตกต่างกับความเครียดอย่างสิ้นเชิง ยิ่งเครียดน้ำหนักก็ยิ่งขึ้นเพราะอยากอาหารมากกว่าเดิมนั่นเอง – การเปล่งเสียงหัวเราะช่วยบริหารกล้ามเนื้อหัวใจได้ เหมาะแม้สำหรับผู้ป่วยที่นอนบนเตียงและผู้สูงอายุด้วย – การหัวเราะช่วยบริหารกล้ามเนื้อบนใบหน้า และส่วนอื่น ๆ ที่กระเพื่อมขึ้นลงเวลาหัวเราะ เท่ากับได้บริหารร่างกายเบา ๆ…

  • การปรับตัวเข้าหา ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์

    การปรับตัวเข้าหา ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์

    การปรับตัวเข้าหา ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ไม่ง่ายเลย.. สำหรับการดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ในครอบครัว เพราะโรคนี้จะทำให้เขาเหล่านั้นมีอาการหลงลืม สูญเสียความรับรู้และความรู้สึกนึกคิดไป รวมทั้งการตัดสินใจและการไขปัญหาต่าง ๆ ทำให้ไม่สามารถทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้ตามปกติ ผู้ป่วยจึงต้องได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด เมื่อนานไปก็อาจทำให้ผู้ดูแลป่วยจนกลายเป็นโรคเครียดตามไปอีกคน หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่จำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์แบบนี้ ก็ลองนำเอาวิธีการปรับตัวดังกล่าวต่อไปนี้ไปปรับดูนะคะ – ทำความเข้าใจและยอมรับว่าสิ่งที่ผู้ป่วยเป็นหรือทำนั้น ไม่ได้แกล้งหรือเรียกร้องความสนใจ แต่เป็นความผิดปกติทางสมอง – ไม่ควรโกรธตอบผู้ป่วย เพราะเขาทำไปเพราะอาการป่วยไม่ได้ตั้งใจ – ในเวลาที่เหน็ดเหนื่อยลองหาเวลาพักผ่อน แล้วหาคนมาสับเปลี่ยนดูแลบ้าง อธิบายการดูแลให้คนที่ดูแลแทนคุณเข้าใจ เขาจะได้เข้าใจเห็นใจและเต็มใจมาช่วยเหลือคุณบ้าง – ลองหากำลังใจด้วยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ที่ดูแลผู้ป่วยด้วยกัน จะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว และจะได้นำเอาประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนกัน แถมยังได้กำลังใจมาช่วยเหลือกันและกันอีกด้วย – หางานอดิเรกมาทำคลายเครียด หรือออกกำลังกาย โยคะ ทำสมาธิ หรือฟังเพลงคลายเครียด เพื่อผ่อนใจจิตใจด้วยตัวเอง – หากมีความเครียดมาก หรือพยายามรักษาอาการเครียดแล้วไม่ดีขึ้น จนกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันแล้วก็ควรขอรับการรักษาจากจิตแพทย์เถอะนะคะ ความเครียดนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ควรมีมามากหรือนานเกินไป ควรดูแลตัวเองให้มีความผ่อนคลาย เพื่อจะได้นำกำลังกายไปดูแลผู้ป่วยให้มีอาการที่ดีขึ้นต่อไปได้ค่ะ    

  • รักษาอารมณ์ให้ดีเข้าไว้ สุขภาพกายแข็งแรงตาม

    รักษาอารมณ์ให้ดีเข้าไว้ สุขภาพกายแข็งแรงตาม

    รักษาอารมณ์ให้ดีเข้าไว้ สุขภาพกายแข็งแรงตาม สาเหตุสำคัญอีกประการที่ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมก็คือ “ความเครียด” นี่เองล่ะค่ะ เพราะว่าเวลาที่เราเครียดนั้น สมองจะหลังฮอร์โมนบางชนิดออกมาทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัว ซึ่งเป็นกลไกการป้องกันตนเอง เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมในการทำบางอย่าง หากกลัวแล้วหนีจะวิ่งได้เร็วกว่าปกติ แต่หากสู้ก็มีกำลังมหาศาลมากกว่าปกติด้วยเช่นกัน ภาวะเครียดน้อย ๆ ทำให้ร่างกายเราตื่นตัวและเตรียมพร้อม แต่หากเครียดมากเกินไปกลับทำลายสุขภาพมากกว่า เมื่อเกิดความเครียดขึ้นมาแล้ว ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้อยู่กับเรานานเกินไป ควรหาทางกำจัดไปเสียก่อนที่ความเครียดจะลุกลามมากขึ้น เพราะวันทั้งวันเราก็เจอความเครียดในหลายรูปแบบกันอยู่แล้ว ร่างกายเกิดการเกร็งตัวทั้งวัน เมื่อความเครียดเกิดขึ้นระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะติดขัดทุกครั้ง ดังนั้นยิ่งเครียดก็ยิ่งเป็นอันตราย แต่หากเรามีอารมณ์ที่ดี คิดดี ปรารถนาดี ใจดี สมองก็จะหลั่งสารเอนโดรฟินออกมาทำให้ร่างกายผ่อนคลาย โลหิตหมุนเวียนในร่างกายได้ดี ภูมิต้านทานดีขึ้น ฯลฯ เรียกได้ว่าทุกระบบของร่างกายทำงานสมดุลกันอย่างดีเยี่ยมเลยค่ะ ซึ่งการทางแพทย์แผนจีนนั้นได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าความเครียดส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก การรักษาสุขภาพต้องรักษาอารมณ์และจิตใจให้ดีด้วย – คนที่มักหงุดหงิดขี้โมโห ไม่พอใจสิ่งรอบข้างตลอดเวลา มักจะมีอาการเกี่ยวกับตับ – คนขี้วิตกกังวล เครียดบ่อย จะส่งผลต่อกระเพาะอาหาร – ส่วนคนที่โศกเศร้าเสียใจ มักมีปัญหากับปอด – คนที่ตกใจง่ายหรือหวาดกลัวบ่อย มักจะเป็นโรคไต – แต่หากเป็นโรคซึมเศร้า จะกระทบกับทุกส่วน – แม้แต่อาการดีใจมากเกินไปก็ทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ ทำให้เป็นโรคหัวใจได้อีกเหมือนกัน…

  • ดูแล…อาการปวดศีรษะด้วยตัวคุณเอง

    ดูแล…อาการปวดศีรษะด้วยตัวคุณเอง

    ดูแล…อาการปวดศีรษะด้วยตัวคุณเอง การปวดศีรษะเป็นอาการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พบเห็นได้บ่อย ๆ อยู่แล้ว ซึ่งสามารถก็ได้แก่ การใช้สายตานานและมากเกินไป นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ มีความเครียดหรือมีปัญหาจากไมเกรน ซึ่งการดูแลอาการปวดศีรษะเหล่านี้แบบเบื้องต้นก็คือการให้ยาหม่องทาถูกนวดบริเวณจุดที่ปวด หากยังไม่หายดีก็ให้ทานยาพาราเซตามอลตามขนาด แล้วหากยังไม่หายขาดก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที แต่หากเป็นอาการปวดหัวที่เกิดจากความเครียดควรผ่อนคลายตัวเองลง แล้วหาทางพักผ่อน อาจเป็นการทำจิตใจให้ผ่อนคลาย นอนหลับให้เพียงพอ อาบน้ำสบาย ๆ แล้วพักผ่อนก็จะช่วยได้ด้วย หรือในบางกรณีอาจปรึกษานักจิตวิทยาเพื่อช่วยกันหาทางออกก็ได้ สำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน ซึ่งก็ไม่มีอันตรายร้ายแรงมาก โรคปวดหัวไมเกรนนี้มักเกิดกับผู้ท่มีอายุตั้งแต่ 15-55 ปี โดยเริ่มปวดครั้งแรกเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นหรือวัยทำงาน โดยเริ่มจากตาพร่า เวียนศีรษะ หรือคลื่นไส้ แล้วจะจะปวดตุบ ๆ ตรงขมับข้างเดียวหรือสองข้าง และจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ระยะเวลาการปวดอาจนานเป็นชั่วโมงหรือนานถึง 1-2 วัน อาจเป็น ๆ หาย ๆ ตามสิ่งที่กระตุ้น ซึ่งหากท่านมีอาการไมเกรนควรดูแลตนเองดังต่อไปนี้ 1. เมื่อเริ่มปวดหัว ให้ทานยาพาราเซตามอลทันที 1-2 เม็ด เพราะหากปล่อยไว้เกินครั้งชั่วโมง ยาแก้ปวดจะใช้ไม่ได้ผล เมื่อทานยาแล้วควรทานพักในห้องเย็น ๆ…

  • การเลือกทานอาหาร ให้เหมาะกับ การออกกำลังกาย

    การเลือกทานอาหาร ให้เหมาะกับ การออกกำลังกาย

    การเลือกทานอาหาร ให้เหมาะกับ การออกกำลังกาย ประโยชน์ของการเล่นกีฬานั้นมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความสามัคคีที่เกิดขึ้นหมู่ผู้แข่งขันและหมู่ผู้ที่เข้ามาเชียร์ เพื่อการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เพื่อการคลายเครียด และที่สำคัญก็คือประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้เล่น ช่วยให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ทำให้ร่างกายมีกำลังวังชา ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานสอดประสานกันได้ดี อีกทั้งยังเหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักในกลุ่มผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ทั้งยังช่วยเพิ่มน้ำหนักได้สำหรับคนที่ผอมเกินไป แม้การออกกำลังกายจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ทำให้อวัยวะและระบบต่าง ๆ ทำงานได้ดี แต่ผู้ที่ออกกำลังกายก็จำเป็นต้องสังเกตสัญญาณเตือนที่ร่างกายบอกออกมาด้วย เช่น ออกกำลังกายนานหรือมากเกินไปจนกล้ามเนื้อปวดเมื่อยหรือไม่ หรือมีความอ่อนเพลียเพราะพักผ่อนน้อยไป หรือทานอาหารน้อยไปหรือเปล่า หรือการออกกำลังกายที่ผิดท่าทางหรือหักโหมมากเกินไปจนบาดเจ็บ ฯลฯ ดังนั้น ก่อนออกกำลังกายจึงจำเป็นต้องสังเกตอาการของร่างกาย รวมทั้งพลังงานจากอาหารที่เราทานเข้าไปด้วยว่าเหมาะสมกับการออกกำลังของเราหรือเปล่า นักกีฬาที่กำลังจะลงแข่งขันมักจะมีอาการตื่นเต้น และกังวลมากขึ้นจนอาจส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย บางคนก็ท้องเสีย ปวดปัสสาวะมาก ท้องอืด หรือเครียด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน ดังนั้นนักกีฬาควรเตรียมร่างกายให้พร้อมด้วยการทานอาหารที่เหมาะสม ทานอาหารที่คุ้นเคยจะได้ไม่สร้างปัญหาต่อระบบทางเดินอาหาร มีรสชาติไม่จัดเกินไป มีแป้งและน้ำตาลมากหน่อยเพื่อเป็นพลังงานกับร่างกาย มีความอ่อนนุ่ม เพื่อให้ร่างกายย่อยและดูดซึมได้เร็วจะได้ไม่หมดแรงเร็วเกินไปนัก ซึ่งการทานอาหารควรทานก่อนออกกำลังกายหรือลงแข่งขันประมาณ 2-3 ชั่วโมงเพื่อให้อาหารย่อยหมดก่อน หากลงเล่นกีฬาทั้งที่ยังมีอาหารอยู่ในกระเพาะแล้วอาจทำให้จุกเสียดและปวดท้องได้ การออกกำลังกายจะเผาผลาญพลังงานที่ร่างกายสะสมไว้ จึงทำให้รู้สึกหิวมากกว่าปกติ สำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักจึงควรมีสติในการกินดื่ม โดยเฉพาะของหวาน ๆ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม…

  • น้ำมันเปลือกมะนาว.. ต้านเครียดได้ดี

    น้ำมันเปลือกมะนาว.. ต้านเครียดได้ดี

    น้ำมันเปลือกมะนาว.. ต้านเครียดได้ดี ศาสตร์อโรมาเทอราปี เป็นศาสตร์ที่ใช้ “กลิ่นของสมุนไพรหรือสารต่าง ๆ” มาบำบัดสุขภาพและเพื่อความงาม  รวมไปถึงการใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ ตามความเชื่อแต่ละศาสนา  ซึ่งน้ำมันหอมระเหยที่นำมาใช้นั้นก็มักจะมาจากพืชในท้องถิ่นของแต่ละประเทศ ซึ่งเราสามารถนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ลดอาการหรือบำรุงสุขภาพได้ทั้งทางกายและทางใจ  ช่วยลดความเครียดได้ด้วย อีกทั้งยังไม่มีอันตรายเพราะเป็นการใช้สารสกัดจากธรรมชาติมากทำการรักษา  จึงปราศจากผลข้างเคียงให้ต้องกังวล วันนี้จะมาแนะนำน้ำมันหอมระเหยจากพืชที่เราคุ้นตากันดีอย่าง “มะนาว” ว่ามีคุณประโยชน์อะไรต่อสุขภาพของเรากันบ้าง กลิ่นของน้ำมันสกัดจากเปลือกมะนาวนั้น  นักวิทยาศาสตร์และนักการแพทย์ได้วิจัยพบแล้วว่ากลิ่นของมะนาว โดยเฉพาะที่สกัดได้จากเปลือกนั้น ช่วยลดความเครียดทางจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เหมาะสำหรับการใช้บำบัดแทนการใช้ยา  แล้วยังมีฤทธิ์ต่อระบบต่าง ๆ ผ่านทางผิวหนัง ช่วยระงับเชื้อจากบาดแผลหรือแมลงสัตว์กัดต่อยได้  อีกทั้งน้ำมันหอมระเหยกลิ่นมะนาวนั้นเมื่อช่วยลดความเครียดในสมองได้แล้ว ยังช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วย