Tag: อาหาร
-
โทษของการกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ
โทษของการกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เดี๋ยวนี้วัฒธรรมการกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เริ่มเข้ามาฮิตพร้อมกับที่อาหารญี่ปุ่นครองตลาดเมืองไทยนะคะ ลืมกันไปหมดสิ้นเลยว่าประเทศไทยเราเคยรณรงค์เรื่องการหลีกเลี่ยงอาหารที่สุก ๆ ดิบ ๆ กันมาก่อน เห่อตามไปกินของดิบแบบญี่ปุ่นกันจนหมด ทั้งจริง ๆ แล้วพิษภัยที่มาจากอาหารที่ปรุงไม่สุกนั้นก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย สารพิษจากเชื้อเหล่านี้ ทำให้มีไข้ ปวดท้อง ท้องเสียได้ พบมากทั้งในลำไส้ของสัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมไปถึงอาหารทะเลและหอยหลายชนิดด้วย ยิ่งหากผู้ที่ได้รับเชื้อเป็นเด็ก คนชรา หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ รวมไปถึงผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำอย่างเป็นมะเร็งอยู่ ก็มีโอกาสที่จะทำให้อาการรุนแรงจนถึงเสียชีวิตได้ด้วย ดังนั้นควรทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ ไม่ควรทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ และต้องปรุงด้วยอุณหภูมิสูงเกิน 100 องศา ก่อนปรุงต้องล้างน้ำให้สะอาดทั้งเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ทุกชนิด ล้างแยกกัน แยกเขียง แยกมีดด้วย หลังจากหั่นแล้วก็ควรทำความสะอาดอีกครั้งด้วย และเพราะบ้านเราเป็นเมืองร้อน ในส่วนของอาหารที่ปรุงสุกแล้วเมื่อตั้งให้เย็นแล้วยังไม่ได้ทานควรนำเข้าตู้เย็นภายในสี่ชั่วโมง เพราะหากตั้งไว้นานเกินอาจทำให้เชื้อโรคก่อนตัว หรือสร้างสารพิษขึ้นมาในช่วงนั้นได้ และหากจะนำมาทานใหม่ก็ควรอุ่นให้เดือดทั่วถึงอีกครั้ง ขอให้ทราบไว้ว่านอกจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสต่าง…
-
ฤดูร้อนควรทานอาหารที่ให้ฤทธิ์เย็น
ฤดูร้อน…ควรทานอาหารที่ให้ฤทธิ์เย็น ในช่วงฤดูร้อนนั้น นอกจากการทำร่างกายให้มีอุณหภูมิกำลังสบาย นั่งนอนเปิดพัดลม เปิดแอร์อยู่บ้าน ไปท่องเที่ยวน้ำตกหรือธรรมชาติที่เย็นสบาย จิบน้ำดื่มเย็น ๆ คลายร้อนแล้ว อาหารที่ควรรับประทานก็ควรเลือกชนิดที่ช่วยให้ร่างกายเย็นขึ้นได้ด้วยนะคะ ซึ่งจะช่วยปรับสมดุลให้กับร่างกายของเรา ไม่ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ จากฤทธิ์ร้อนได้ โดยลักษณะของอาหารที่มีฤทธิ์เย็น จะมีรสชาติที่จืด หวานจากธรรมชาติแต่ไม่มาก ให้เส้นใยสูงแต่ให้พลังงานต่ำ รสไม่จัด แบ่งตามลักษณะของพืชก็จะเป็นพืชที่ขึ้นสูงอยู่ใกล้แสงแดด เช่น มะพร้าวอ่อน หรือยอดผักต่าง ๆ ก็จะเย็นที่สุด มักมีลักษณะเนื้อยุ่ย หลวม เรียว บาง ชุ่ม สด อ่อน มักมีสีสัน โทนขาวหรือเขียว เหลืองกลาง ๆ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของอาหาร แต่เมื่อทานเข้าไปแล้วจะรู้สึกสบายคอ ชุ่มคอ ไม่ระคายเคือง และต่อไปนี้คือตัวอย่างของอาหารในกลุ่มที่ให้ฤทธิ์เย็น กลุ่มข้าวแป้งน้ำตาล ได้แก่ เส้นหมี่ ก๋วยเตี๋ยวที่ไม่มีน้ำมัน วุ้นเส้น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง น้ำตาลธรรมชาติ กลุ่มโปรตีน ได้แก่ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว ฯลฯ…
-
หลักการเลือกอาหารใส่บาตร เพื่อให้ได้บุญมากยิ่งขึ้น
หลักการเลือกอาหารใส่บาตร เพื่อให้ได้บุญมากยิ่งขึ้น ไม่ได้สอนให้โลภบุญนะคะ แต่จากการที่ได้ไปสนทนากับพระผู้ใหญ่หลายท่าน พบว่าท่านมักจะประสบปัญหาความอ้วน โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง เนื่องจากอาหารที่บรรดาเหล่าพุทธศาสนิกชนนำไปประเคนนั้นมักจะเป็นอาหารที่ไขมันสูง เช่น แกงกะทิ ไข่พะโล้ ขนมไทยหวาน ๆ ขนมทองหยิบ ทองหยอดต่าง ๆ ซึ่งมีแคลอรี่สูงมาก ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่างตามมา ดังนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำการเลือกอาหารใส่บาตรเพื่อสุขภาพของพระสงฆ์และเณรน้อยทั้งหลายกันนะคะ ได้บุญกุศลเพิ่มด้วยค่ะ – ควรเลือกอาหารใส่บาตรที่คำนึงถึงสุขภาพ สด สะอาด ปรุงสุกใหม่ และมีไขมันต่ำ ไม่ว่าจะเป็น แกงส้ม แกงเลียง น้ำพริก ผักสด ผักต้ม ปลานึ่ง เป็นต้น – ใส่บาตรด้วยข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ เพราะจะมีเส้นใยอาหารสูงกว่าป้องกันโรคเบาหวานและท้องผูกได้ – พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ใหม่ เพราะมีไขมันอิ่มตัวสูง ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมันมากเกินไปนัก เน้น เนื้อปลา เนื้อไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ เป็นต้น – เลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องในสัตว์ ไข่แดง อาหารทะเล เนย…
-
ทานอาหารดี ๆ หลีกเลี่ยงอาการอัมพาต
ทานอาหารดี ๆ หลีกเลี่ยงอาการอัมพาต ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจต่าง ๆ รวมไปถึงการดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นต้นเหตุของการอัมพาตได้ทั้งหมด ดังนั้นการแก้ไขตั้งแต่ต้นเหตุก็คือเราควรเลือกทานอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้ จึงจะเป็นการป้องกันอาการอัมพาตได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งควรเลือกทานอาหารตามเคล็ดลับดังต่อไปนี้ค่ะ – หากเป็นคนที่มีน้ำหนักร่างกายเกินมาตรฐาน ควรทานอาหารพวก ข้าว แป้ง น้ำตาล ให้น้อยลง ลดการดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน น้ำผลไม้หวาน ๆ หลีกเลี่ยงน้ำชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพราะจะเร่งให้เกิดโรคเบาหวานได้ง่าย ส่วนผลไม้ก็เลือกทานชนิดที่ไม่มีน้ำตาลมากนัก เช่น ฝรั่ง ชมพู่ แอปเปิ้ล แก้วมังกร สตรอเบอร์รี่ และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่าง ๆ ฯลฯ – หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารผัด ทอด หรือแม้แต่ปิ้งย่างน้ำมันเยิ้มทาเนยทั้งหลาย ทานอาหารที่ปรุงด้วยการต้ม นึ่ง ย่างแห้งไม่ทาน้ำมัน เช่น แกงส้ม แกงป่า แกงเลียง หลีกเลี่ยงอาหารเข้ากะทิ พวกแกงเผ็ด แกงบวช ผัดใส่กะทิ ขนมไทยใส่กะทิต่าง ๆ…
-
ผู้ป่วย “ไมเกรน” ระวังอาหารดังต่อไปนี้
ผู้ป่วย “ไมเกรน” ระวังอาหารดังต่อไปนี้ คนที่มีโรคประจำตัว อย่างโรคไมเกรนนี่ จำเป็นต้องระวังการใช้ชีวิตประจำวันมากกว่าคนทั่วไป ยิ่งโดยเฉพาะอาหารแล้ว หากทานไม่ระวังอาจทำให้ร่างกายได้รับสารไทรามีน และ ไนไตรต์ เข้าไป เมื่อร่างกายได้รับปุ๊บก็จะทำให้ระบบประสาทและหลอดเลือดหดตัวทันที จึงปวดหัวจี๊ดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ดังนั้นจึงควรระวังอาหาร 5 ชนิดนี้ไว้ค่ะ 1. กุนเชียงและเนื้อหรือหมูแดดเดียว เพราะสีแดง ๆ ของอาหารทั้งสองชนิดนี้จะเติมดินประสิวลงไปด้วย และในดินประสิวนี่แหล่ะมีสารไนไตรต์ผสมอยู่เยอะมาก ดังนั้นจึงทำให้คุณปวดหัวจี๊ดได้ทันที 2. ช็อกโกแลต คนเป็นไมเกรนทานแล้วปวดหัวทุกที แต่ทันทีสามารถทานช็อกโกแลตขาวได้ ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นนมมากกว่านั่นเอง 3. แอสปาแทม หรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาล มีผลการสำรวจมากว่าคนที่เป็นไมเกรนมักจะปวดหัวเมื่อกินสารชนิดนี้เข้าไป 4. ไวน์แดง มีไทรามีและไนไตรต์สูงมาก ดังนั้นหลีกเลี่ยงจะดีกว่า 5. ลูกชิ้นเด้งดึ๋ง ก็มีมากเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ทุกร้านที่เติมสารบอแร็กซ์ที่ทำให้ลูกชิ้นเด้งดึ๋ง นอกจากทำห้ปวดศีรษะแล้ว ยังเป็นสารก่อมะเร็งอีกด้วยค่ะ ระวังไว้ก่อนจะดีกว่านะคะ จะได้ไม่ปวดหัวจี๊ดค่ะ
-
แมลงทอดอร่อยปาก.. แต่ควรกินให้ถูกวิธี
แมลงทอดอร่อยปาก.. แต่ควรกินให้ถูกวิธี อาหารอย่างแมลงทอดที่ขายกันตามรถเข็นหรือแผงลอยนั้นเป็นอาหารที่มาจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่พยายามหาอาหารมาทดแทนเนื้อสัตว์ที่มีราคาแพง โดยเฉพาะภาคอีสานที่หาทานแมลงหลากชนิดได้ง่าย บางชนิดก็อร่อยจนใครต่อใครติดใจ แต่การกินแมลงให้ปลอดภัยก็มีวิธีอยู่เหมือนกันค่ะ 1. ควรทานแมลงที่รู้จักและเคยมีการนำมาทานเป็นอาหารมาก่อน และควรเลือกทานแมลงที่อาศัยอยู่กับต้นไม้หรือสวน หรือตามพื้นที่ที่ปลอดการใช้สารเคมีในการฆ่าแมลง 2. การจับแมลงมาประกอบอาหารควรจับตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วนำมาปรุงอาหาร อย่าไปเก็บตัวที่ตายแล้วมาปรุง 3. แมลงที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือแมลงที่เป็นศัตรูภายในบ้าน เช่น แมลงสาป แมลงวันบ้าน เพราะเป็นพาหะนำโรคร้ายแรงได้มากมาย 4. แมลงที่มีสีสันสดใส มักจะมีพิษมากกว่าแมลงตัวที่สีซีด 5. ปรุงให้สุกก่อนการทานทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการคั่ว ทอด ปิ้ง ต้ม ผัด หรือทำให้สุกก่อนการนำไปตำกับน้ำพริกก็ได้ ฯลฯ 6. ส่วนที่ควรเด็ดทิ้งก่อนก็คือ ปีก ขา ขน หรือหนามแข็ง เพราะอาจทำให้คันได้ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่ายควรหลีกเลี่ยงการทานแมลงจะดีกว่า เพราะมีแมลงหลายชนิดเลยทีเดียวที่ก่ออาการแพ้กับคน ซึ่งขึ้นอยู่กับความไวพิษของบุคคลนั้น ๆ ดังนั้นผู้ที่มีความเสี่ยงมากกว่าก็ควรหลีกเลี่ยงไว้ก่อนเป็นดีที่สุดค่ะ
-
อาหาร 11 ชนิดที่อาจทำให้คุณแก่เร็วขึ้น!
อาหาร 11 ชนิดที่อาจทำให้คุณแก่เร็วขึ้น! ขึ้นชื่อว่าอาหารแล้ว มีทั้งอาหารที่เป็นคุณและเป็นโทษต่อร่างกายนะคะ ดังนั้นการทานอาหาร จึงใช่การสักแต่ทานเพราะเห็นว่าเป็นอาหารเท่านั้น แต่หากคุณไม่อยากแก่ และไม่อยากให้ร่างกายและอวัยวะต่าง ๆ เสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหาร 11 ชนิดดังต่อไปนี้ด้วย 1. เกลือ เพราะเกลือจะไปดูดซึมน้ำในร่างกาย ทำให้อ่อนเพลียและมีความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิต และโรคไต 2. น้ำตาล เมื่อบริโภคน้ำตาลเข้าไป จะไปจับกับคอลลาเจนในร่างกาย ทำให้ผิวหนังเกิดรอยเหี่ยวย่อน ทำให้ดูแก่ลง 3. น้ำตาลเทียม แม้น้ำตาลเทียมจะไม่ทำให้คุณเป็นเบาหวาน แต่ก็อาจก่อปัญหากับร่างกายได้ด้วย ทำให้เกิดอาการปวดหัว และปวดข้อ ตลอดจนอยากทานน้ำตาลจริง ๆ ขึ้นมาได้ 4. ลูกอม มีน้ำตาล น้ำเชื่อมต่าง ๆ เป็นส่วนประกอบ ทำให้ร่างกายเกิดความระคายเคือง และทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย 5. น้ำอัดลม ทำให้ร่างกายขาดน้ำและรู้สึกอ่อนเพลียได้ 6. เครื่องดื่มชูกำลังต่าง ๆ ทำลายเคลือบฟัน ทำให้ฟันสึก และผุกร่อนเร็ว 7. กาแฟ ดูดซึมน้ำในร่างกาย จึงทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า…
-
กะหล่ำดาว ..อาหารสำหรับคนที่อยากมีลูก
กะหล่ำดาว ..อาหารสำหรับคนที่อยากมีลูก มีผลการวิจัยออกมาว่าผักที่มีประโยชน์สำหรับคู่สามีภรรยาที่อยากมีลูกนั้น หากได้ทาน “กะหล่ำดาว” หรือ “บรัสเซลส์ สเปราท์ส” (brussels sprouts) แล้วจะช่วยให้ภาวะเจริญพันธ์มีความสมบูรณ์ขึ้น เพราะในกระหล่ำดาวนั้นมีกรดโฟลิกสูง จึงช่วยให้ผู้ที่ตั้งครรภ์แล้วลดอัตราเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด และลดอัตราลูกที่คลอดออกมาไม่สมประกอบด้วย อีกทั้งยังอุดมไปด้วยไฟโตนิวเทรียนที่มีชื่อว่า ได อินโดลิลมีเทน ซึ่งช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิง ทำให้ภาวะเจริญพันธ์ในผู้หญิงมีความสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีการยืนยันจากโภชนากรด้วยอีกด้วย หากคู่สามีภรรยารับประทานกะหล่ำดาวมากขึ้น ยังช่วยให้มีลูกง่ายขึ้นด้วย ผู้ที่ลองหาอาหารเสริมสำหรับบำรุงการเจริญพันธ์ น่าลองทานกะหล่ำดาวให้เป็นประจำดูนะคะ น่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีอีกชนิดหนึ่งเลยทีเดียวค่ะ
-
พึงระวัง..อาหารบางชนิดทำระบบย่อยคุณมีปัญหา!
พึงระวัง..อาหารบางชนิดทำระบบย่อยคุณมีปัญหา! – อาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือมีกรดมากอย่างน้ำอัดลม น้ำมะนาว น้ำส้ม ความเป็นกรดจะระคายเคืองหลอดอาหาร แล้วยังอาจทำให้เกิดปัญหาท้องอืดท้องเฟ้อด้วย – ช็อกโกแลตอาจทำให้คุณเกิดปัญหาโรคกรดไหลย้อนได้ หากทานเล็กน้อยก็อาจไม่มีปัญหาอะไร แต่เกิดปัญหาเพราะคุณทานช็อกโกแลตมากเกินไป เพราะช็อกโกแลตทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัวออก กรดในกระเพาะจึงไหลย้อนกลับขึ้นมาที่หลอดอาหารได้ – กะหล่ำปลี และบร็อกโคลี่ดิบ ๆ ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ แต่ผักสองชนิดนี้มีประโยชน์มาก และมีเส้นใยอาหารมากอีกด้วย แต่ควรปรุงให้สุกก่อนจะดีกว่า – มันบดและไอศกรีม ทำให้มีแก๊สในกระเพาะอาหารมาก ท้องอาจจะอืดหรือคุณอาจจะผายลมไม่หยุดได้ ซึ่งหมายความว่าร่างกายคุณอาจจะแพ้แลกโทส แต่แม้คุณจะไม่แพ้ อาหารทั้งสองอย่างนี้หากทานมากไปก็อาจอ้วนเพราะไขมันสูงได้ – นักเก็ตไก่ หรือไก่ชุบแป้งทอด หากเป็นเนื้อไก่ล้วนมันยังเป็นของที่ย่อยง่าย แต่เมื่อไรที่นำไปคลุกแป้ง มันจะกลายเป็นอาหารขยะ ย่อยยาก มีไขมันสูง สร้างปัญหาให้กับกระเพาะและระบบย่อยอาหารทั้งหมด ยังไม่รวมว่ากินมากแล้วอ้วนด้วยนะคะ – หัวหอมที่ไม่สุก เพราะในหัวหอมดิบนั้นมีไฟโตนิวเทรียนต์ จึงอาจทำให้ปวดท้องได้ แม้จะมีประโยชน์ต่อร่างกายและดีต่อหัวใจ ทางแก้ไขก็คือควรทานหัวหอมดิบและหัวหอมสุกผสมกันจะดีกว่า – หากคุณทานถั่วบ่อย ๆ ก็คงไม่ค่อยเป็นปัญหาอะไรนัก แต่หากคุณไม่ได้ทานบ่อย ๆ ร่างกายคุณก็อาจขาดเอนไซม์สำหรับการย่อยถั่ว ผลก็คือเมื่อทานเข้าไปแล้วจะเกิดแก๊สแล้วก็ท้องอืดได้ง่ายค่ะ – หมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล…
-
แพทย์แผนไทย แนะอาหารที่ควรทานในฤดูหนาว ป้องกันอาการป่วย
แพทย์แผนไทยแนะอาหารที่ควรทานในฤดูหนาว ป้องกันอาการป่วย ในช่วงฤดูหนาวของไทยแม้จะไม่หนาวมากเท่าไร แต่อากาศที่เปลี่ยนแปลงไปกลับทำให้ใครหลายคนเจ็บป่วยกันไปมากเช่นกัน ทางกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จึงออกมาแนะนำอาหารที่ควรทานเพื่อบำรุงสุขภาพและป้องกันอาการเจ็บป่วยจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง ด้วยการแนะนำให้ทานพืชผักสมุนไพรที่มีรสชาติเปรี้ยว ขม และรสเผ็ด เพราะรสเปรี้ยวจะช่วยขับเสมหะ รสขมจะทำให้ทานอาหารได้มากและช่วยให้นอนหลับได้ดี ส่วนรสชาติเผ็ดร้อนจะให้ความอบอุ่นกับร่างกาย ด้วยการกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตทั่วร่าง โดยอาหารดังกล่าวนั้นได้แก่ – ขิง มีรสเผ็ดร้อนและมีฤทธิร้อน ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ระบายความเย็นออกไปจากร่างกาย จะนำมาต้มดื่มเป็นชาขิง แล้วเติมน้ำตาลกรวดหรือน้ำผึ้งดื่มอุ่น ๆ ก็ได้ – พริก ช่วยอบอุ่นร่างกาย การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ทำให้อาการชาบริเวณปลายมือและเท้าลดลงด้วยสารแคปไซซินที่พบได้มากในพริก – ยอดผักแต้ว ยอดผักติ้ว ยอดมะกอก ช่อมะม่วง ผักเม็ด สะเดา มะระ ผักเหล่านี้มีรสเปรี้ยว และขม ช่วยให้ธาตุสมดุล เป็นการเสริมภูมิต้องการโรคที่จะมีกับฤดูหนาวได้ดี