Tag: สมอง
-
อาการสมองเสื่อม จากสุราในวัยรุ่น
อาการสมองเสื่อม จากสุราในวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนรวมทั้งประเทศไทยเอง ก็กำลังเผชิญปัญหาเดียวกันอยู่ก็คือ วัยรุ่นวัยเรียนทั้งหลายกำลังหันหน้าเข้าดื่มสุรา แล้วกำลังโดยพิษร้ายจากสุราเข้าทำลายสมอง ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งกว่าช่วงเวลาไหน เพราะในวันนี้เป็นวัยที่กำลังเรียนรู้ วัยที่กำลังพัฒนาวุฒิภาวะ เพราะเด็กที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นนั้น ร่างกายช่วยนี้จะกำลังเติบโต รวมไปถึงสมองด้วยที่เป็นจุดอ่อนไหวที่สุด เพราะในระยะนี้เป็นระยะของการเปลี่ยนแปลงจากภาวะความเป็นเด็กเล็กสู่วัยผู้ใหญ่ จากที่เคยเป็นเด็กต้องพึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองเข้าสู่ความเป็นอิสระในการตัดสินใจ ในสภาพแวดล้อมของสังคมที่มีแต่ความวุ่นวายนี้ หากเด็ก ๆ ได้มีพัฒนาการสมองเป็นไปอย่างเหมาะสมแล้วจะทำให้เป็นผู้ที่มีความสามารถในการตัดสินใจได้ดี สามารถควบคุมแรงกระตุ้น และมีชีวิตอย่างปกติดีมีสุข ไม่เบียดเบียนตนเองและคนอื่นรอบข้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เติบใหญ่ไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ สรุปแล้วพัฒนาการของสมองในช่วยวัยรุ่นจึงสำคัญและมีความอ่อนไหวอย่างมาก ยิ่งโดยเฉพาะผลกระทบต่อระบบการเรียนรู้และความจำ หากเด็ก ๆ หันไปเสพสุรากันมาก ๆ และบ่อย ๆ จะส่งผลกระทบดังต่อไปนี้ – ทำให้การสร้างเซลล์ใหม่ ๆ ของสมองวัยรุ่นเนิบช้าลง และช้าลงกว่าวัยผู้ใหญ่ – วัยรุ่นที่ดื่มสุราอย่างหนักเพียงเวลาไม่เกินสามปี จะลดประสิทธิภาพการเรียนรู้ และความจำ เพราะสมองของวัยรุ่นจะถูกทำลายด้วยฤทธิ์ของสุราได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ – เมื่อนำเอาขนาดของสมองของวัยรุ่นที่แข็งแรงและไม่ดื่มสุรา มาเทียบกับวัยรุ่นที่ดื่มสุราอย่างหนักพบว่ามีขนาดแตกต่างกันถึงร้อยละสิบ ในกลุ่มของวัยรุ่นระดับมอปลาย แต่หากเป็นในวัยผู้ใหญ่ที่ดื่มสุราอย่างหนักแล้วจะมีขนาดที่เล็กกว่าคนที่ไม่ดื่มอย่างเห็นได้ชัด และพบได้มากในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง – โดยธรรมชาติแล้วสมองส่วนหน้าของวัยรุ่นจะยังไม่ตื่นตัวเท่าผู้ใหญ่ ยิ่งหากไปดื่มสุราด้วยแล้ว จะทำให้ประสิทธิภาพในการควบคุมอารมณ์ต่าง ๆ ของสมองส่วนหน้าด้อยประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการขาดความยับยั้งช่างใจ ความโกรธ…
-
วิธีระวังป้องกันฟ้าผ่า จากฝนฟ้าคะนองในหน้าฝน
วิธีระวังป้องกันฟ้าผ่า จากฝนฟ้าคะนองในหน้าฝน ปรากฎการณ์ฟ้าผ่านั้น เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากความไม่สมดุลของอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศโลก ทำให้เกิดไฟฟ้าที่มีแรงดันไฟฟ้าสูงถึง 100 ล้านโวลต์ ซึ่งในแต่ละปีเกิดฟ้าผ่ากว่าแปดล้านครั้ง และมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากฟ้าผ่าถึงปีละประมาณห้าพันราย การเสียชีวิตและบาดเจ็บจากฟ้าผ่านี้เกิดจากความร้อนของประจุไฟฟ้าของฟ้าผ่า จะส่งผลต่อหัวใจและสมอง ทำให้หัวใจหยุดเต้น ก้านสมองไม่ทำงาน ซึ่งหนึ่งในสามคนของผู้ถูกฟ้าผ่าจะตายทันที ส่วนผู้ที่รอดชีวิตมากได้มักจะพิการถาวรจากระบบประสาทและไขสันหลังที่ถูกทำลาย ทำให้ตาบอด หูหนวก หรือเป็นอัมพาตได้ ดังนั้นหากเกิดฝนตกฟ้าคะนองขึ้น เพื่อให้รอดพ้นจากภัยฟ้าผ่าควรปฏิบัติดังนี้ 1. ถอดเครื่องประดับโลหะไว้ไกล ๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา แหวน กำไล สร้อยคอ ฯลฯ 2. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง หรือกิจกรรมที่ทำกลางแจ้งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ตีกอล์ฟ เตะฟุตบอลในสนาม การหาปลาหากลในทุ่งนา ฯลฯ เพื่อลดความเสี่ยง 3. อย่าหลบอยู่ใต้ต้นไม้กลางทุ่ง เสาไฟ ป้ายโฆษณา กำแพงหรือรั้วที่มีโลหะ หากจำเป็นต้องหลบใต้ต้นไม้ควรเลือกที่ไม่สูงมาก และเลือกต้นที่มีกิ่งใบแผ่ปกคลุมหนา อยู่ให้ห่างจากโคนต้นไม้ 2-3 เมตรขึ้นไป หรือหากหลบอยู่ในศาลาริมทาง ควรอยู่ให้ห่างเสาเพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้าโคจรมาถึงตัว 4. หากอยู่ในรถควรปิดประตู กระจกหน้าต่างให้มิดชิด และอย่าให้ร่างกายสัมผัสกับตัวถังรถที่เป็นโลหะ…
-
อาหารกินแล้วบำรุงสมอง
อาหารกินแล้วบำรุงสมอง ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน อาการสมองเสื่อมก็สามารถเข้ามาเยี่ยมเยือนได้ทุกเมื่อ ทีนี้หากเรายังไม่อยู่ในวัยที่สมองจะเสื่อมสภาพ เราจะดูแลสมองของเราอย่างไรดี วันนี้เราจะมาลองเฟ้นหาเมนูที่มีสรรพคุณในการบำรุงสมองและความจำกันนะคะ หลังจากนี้ไปจะได้ไม่ขี้หลงขี้ลืมกันอีกค่ะ – ในกลุ่มพืชผัก อาหารที่ช่วยบำรุงสมองได้แก่ พริก ขิง หอมหัวใหญ่ ช่วยเพิ่มเซลล์สมองและมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการหลั่งสารอะซีทิลโคลีน จึงช่วยให้ความจำดีขึ้น, ใบบัวบก ทำให้มีสมาธิและความจำดีขึ้น แล้วยังกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองด้วย อีกทั้งมะเขือเทศยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์สมองจากการทำลายของมลพิษต่าง ๆ รวมไปถึงบร็อกโคลีที่มีวิตามินเค ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ เพิ่มความสามารถในการจำได้ด้วย และผักใบเขียวหลากชนิดก็ช่วยป้องกันสมองเสื่อมได้เช่นกัน – ในกลุ่มของเมล็ดพืช และธัญพืช ทั้งถั่ว ข้าวซ้อมมือ เมล็ดฟักทอง ซีเรียล รำข้าว มีกรดโฟลิก วิตามินบี 6 และวิตามินบี 12 ช่วยในเรื่องของความจำบำรุงสมองได้อย่างยอดเยี่ยม ในเมล็ดฟักทองยังมีธาตุสังกะสีเป็นจำนวนมาก มีส่วนช่วยในเรื่องของการเพิ่มความจำได้เช่นกัน – ในกลุ่มของไข่ เนื้อสัตว์และปลาทะเล มีโปรตีนที่ช่วยบำรุงสมอง ปลาทะเลก็มีกรดไขมันโอเมก้าสาม ที่ช่วยบำรุงระบบประสาท ลดการเกิดพลัคในสมองและป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ด้วย – แล้วยังมีผลการวิจัยใหม่ ๆ ที่ระบุด้ววยว่า ในช็อกโกแลต ชา องุ่น…
-
การนอนหลับกับการทำงานของสมอง มีความสำคัญต่อสุขภาพอนามัยและโรคภัยไข้เจ็บ
การนอนหลับกับการทำงานของสมอง มีความสำคัญต่อสุขภาพอนามัยและโรคภัยไข้เจ็บ นักวิจัยกล่าวว่า การนอนหลับของคนนั้น สมองของเราไม่ได้เกิดการพักผ่อนด้วย แต่สมองกลับมีการทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยกำจัดของเสียที่ไม่ดีต่อสมองออกไป โดยสมองคนเรานี้ จะมีหน้าที่การทำงานที่โดเด่น 2 หน้าที่ต่างกัน คือ เวลาเราตื่น เซลล์สมองทำงานอย่างหนักในการประมวลผลข้อมูลรอบๆตัวเรา แต่ในขณะที่เรานอนหลับ เซลล์สมองก็ทำงานอย่างหนักด้วย เพื่อกำจัดของเสียที่สะสมขึ้นมาในช่วงเวลาที่เราตื่น ซึ่งของเสียที่มีอยู่ในสมองนั้น จะมีสารพิษที่สามารถทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม หรือ Alzheimer’s disease และโรคทางประสาทอื่นๆได้ นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่า ในการนอนหลับนั้น เซลล์สมองหดตัวลง เพื่อเปิดทางให้กำจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และว่าของเสียที่ถูกกำจัดออกจากสมอง เคลื่อนไปอยู่ในตับ ซึ่งเป็นที่ที่สารพิษถูกย่อยทำลายในที่สุด นักวิจัยแนะนำว่า คนเราจะต้องนอนหลับพักผ่อนให้พอดี เพื่อที่สมองของเราจะได้กำจัดสิ่งที่มีพิษต่อร่างกายออกไป และขั้นต่อไปของงานวิจัย คือการศึกษาการทำงานของสมองของคนเรา และว่าผลการวิจัยเท่าที่ได้ ชี้แนะถึงความสำคัญของการนอนต่อสุขภาพอนามัยและโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งวันหนึ่ง อาจช่วยในการพัฒนาวิธีบำบัดรักษาโรคต่างๆที่เกี่ยวกับประสาทได้
-
นักประสาทวิทยา พบว่า ผู้ป่วยที่พบประสบการณ์เฉียดตาย เกิดขึ้นจากสมองที่ขาดออกซิเจน
นักประสาทวิทยา พบว่า ผู้ป่วยที่พบประสบการณ์เฉียดตาย เกิดขึ้นจากสมองที่ขาดออกซิเจน ผู้ที่รอดชีวิตจากอาการหัวใจวาย มักจะเล่าถึงประสบการณ์เฉียดความตายว่าพวกเขามองเห็นเเสงสว่างหรืออุโมง รู้สึกว่าร่างลอยขึ้นหรือมองเห็นประตูสู่สวรรค์ แต่ทีมนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐชี้ว่าประสบการร์เฉียดความตายนี้น่าจะเกิดจากการทำงานของสมองที่ตอบสนองต่อความตาย ประสบการณ์เฉียดความตายของผู้ป่วยที่รอดชีวิตจากอาการหัวใจวายจากทั่วโลกมักจะคล้ายๆกัน นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าการมองเห็นภาพหลอนที่ว่านี้เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่นาทีแรกที่หัวใจหยุดเต้นเพราะไม่มีออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง เรียกว่าเป็นการตายทางคลีนิค นักวิจัยได้ทดลองกับหนูทดลอง โดยการใช้หนูทดลองโตเต็มวัยที่ปกติดีจำนวนเก้าตัว นักวิจัยทำการวัดระดับการส่งสัญญาณไฟฟ้าระหว่างตัวนิวรอนในสมองส่วนต่างๆหกส่วนโดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า อิเลคโทรเอ็นเซ็ฟฟาโลแกรมส์ (electroencephalograms) นักวิจัยทำการบันทึกกิจกรรมของสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองทางอารมณ์ ข้อมูลการรับรู้ความรู้สึกทางประสาทสัมผัสต่างๆและในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความทรงจำ ทีมวิจัยบันทึกข้อมูลกระแสไฟฟ้าจากสมองในขณะที่หนูทดลองอยู่ในสภาพตื่นปกติ และหลังจากหนูได้รับยาชานั้น ทีมวิจัยได้ฉีดยาโปแตสเซี่ยมคลอไรด์ ซึ่งเป็นยาที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อให้หัวใจของหนูหยุดเต้น และทีมนักวิจัยยังคงวัดระดับกระแสไฟฟ้าในสมองของหนูต่อไปนานสามสิบวินาทีหลังจากหัวใจของหนูหยุดเต้น หนูทดลองในช่วงสามสิบวินาทีหลังจากหัวใจของหนูทดลองหยุดเต้น มีการแปลงข้อมูลสูงกว่าในช่วงที่หนูอยู่ในภาวะตื่นปกติ ข้อมูลที่ได้นี้สร้างความตื่นเต้นแก่ทีมวิจัยเป็นอย่างมาก หนูทดลองในช่วง 30 วินาที หลังจากหัวใจของหนูทดลองหยุดเต้น มีการแปลงข้อมูลสูงกว่าในช่วงที่หนูอยู่ในภาวะตื่นปกติ ข้อมูลที่ได้นี้สร้างความตื่นเต้นแก่ทีมวิจัยเป็นอย่างมาก
-
ทีมนักวิจัย 2 ประเทศ ร่วมกันปลูกสมองเทียมในห้องทดลองได้สำเร็จ
ทีมนักวิจัย 2 ประเทศ ร่วมกันปลูกสมองเทียมในห้องทดลองได้สำเร็จ สมองเทียมนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับสมองจริงเพียงแต่ไม่มีระบบรับสัญญาณปราสาท มีขนาดเท่าเม็ดถั่วลันเตาและรูปร่างหน้าตาเหมือนสมองของตัวอ่อนทารกในครรภ์และความสำเร็จนี้สร้างโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนให้แก่นักวิจัยในการวิเคราะห์หาความบกพร่องในสมองที่เป็นสาเหตุของความพิการทางสมองประเภทต่างๆได้ ทีมนักวิจัยทีมนี้เริ่มต้นด้วยการทำสะเต็มเซลล์ในห้องทดลอง เป็นการปลูกเซลล์เริ่มต้นที่สามารถเลี้ยงให้โตเป็นเนื้อเยื่อส่วนใดก็ได้ของร่างกาย สะเต็มเซลล์ที่ปลูกในห้องทดลองเหล่านี้พัฒนาไปตามขั้นๆเหมือนการพัฒนาของสมองมนุษย์ สะเต็มเซลล์ที่นักวิจัยปลูกเติบโตและแบ่งออกเป็นส่่วนๆตามลักษณะของสมองจริงๆ เช่นเดียวกับพัฒนาการที่พบในสมองของตัวอ่อนทารกในครรภ์มารดา ในช่วงเก้าสัปดาห์หลังการปฏิสนธิ สมองเทียมบางก้อนที่นักวิจัยปลูกในห้องทดลองยังเริ่มพัฒนาเรตีน่าด้วย หลังจากทำการปลูกสะเต็มเซลล์ตามขั้นตอนแล้ว สมองเทียมที่ปลูกได้มองดูแล้วเหมือนสมองจริงอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าจริงๆแล้วไม่สามารถทำงานได้เหมือนสมองคนจริงๆ แต่เซลล์เทียมสมองก็มีมีลักษณะใกล้เคียง แม้ว่าสมองเทียมที่ปลูกขึ้นจะมีหลายๆส่วนเหมือนสมองคนจริงๆ แต่แต่ละส่วนตั้งอยู่ผิดจุดจากสมองจริง เทียบเเล้วเหมือนกับรถยนต์ที่ได้รับการประกอบผิดจุดที่ตั้ง หัวหน้าทีมนักวิจัยปลูกสะเต็มเซลล์สมองกล่าวว่าสมองเทียมที่พวกเขาปลูกได้ในห้องทดลองช่วยให้นักวิจัยศึกษาการพัฒนาเติบโตของสมองคนเราและวิเคราะห์ดูความบกพร่องของการพัฒนาได้ สะเต็มเซลล์จากผู้ป่วยพิการทางสมองไม่ขยายจำนวนเซลล์อย่างที่ควรจะเป็นและมีการสร้างเซลล์นิวรอนก่อนเวลาที่ควร นี่ทำให้ขนาดของสมองเทียมที่ปลูกได้เล็กลงตามไปด้วย และในที่สุดจะส่งผลให้มีการสร้างนิวรอนน้อยลงตามไปด้วย นักวิจัยเชื่อว่าในอนาคต สมองเทียมขนาดเล็กที่ปลูกได้ในห้องทดลองน่าเป็นประโยชน์ในการศึกษาความบกพร่องทางสมองที่พบได้ทั่วไป อาทิ โรคประสาทหลอน และ ออติสซึ่ม ถึงแม้ว่าความบกพร่องของพัฒนาการทางสมองทั้งสองอย่างนี้จะมักปรากฏอาการในภายหลัง แต่นักวิจัยชี้ว่าพื้นฐานของความบกพร่องจะเริ่มเกิดขึ้นในขณะที่สมองกำลังเติบโต
-
นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า ฮอร์โมน oxytocin มีส่วนช่วยบำบัดเด็กที่เป็นโรค autism
นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า ฮอร์โมน oxytocin มีส่วนช่วยบำบัดเด็กที่เป็นโรค autism ทีมนักวิทยาศาสตร์อเมริกันเปิดเผยว่าฮอร์โมน oxytocin น่าจะมีส่วนช่วยปรับปรุงการทำงานของสมองในเด็กที่มีความบกพร่องของพัฒนาการทางสมองที่เรียกว่า autism ที่ทำให้เด็กขาดความสามารถในสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น การศึกษาวิจัยที่ค้นคว้าผลของ oxytocin ต่อเด็กที่เป็น autism เป็นผลสืบเนื่องมาจากการศึกษาหนูนาขนาดเล็กในสหรัฐและในแคนาดา ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า oxytocin มีบทบาทช่วยสร้างความสัมพันธ์ด้านจิตใจระหว่างแม่หนูและลูกหนู นักวิจัยพบว่าหนูนาที่อาศัยอยู่เป็นคู่จะมีระดับฮอร์โมน oxytocin ในระดับที่่สูง ในขณะที่หนูนาที่อยู่โดดเดี่ยวจะมีระดับฮอร์โมนตัวนี้ในระดับที่ต่ำกว่า เด็กในการทดลองกึ่งหนึ่งได้รับฮอร์โมน oxytocin ในรูปของสเปรย์ฉีดจมูกจำนวนหนึ่งครั้ง และเด็กจำนวนที่เหลือได้รับฮอร์โมนหลอก ทีมนักวิจัยทำการวิเคราะห์ภาพถ่ายสมองของเด็กในการศึกษาด้วยระบบคอมพิวเตอร์เพื่อดูการทำงานของระบบประสาทสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และพฤติกรรมทางสังคม โดยทั่วไป การทำงานของสมองส่วนนี้จะบกพร่องในเด็กที่เป็นออติสซึ่ม แต่ทีมนักวิจัยพบว่าในกลุ่มเด็ก autism ที่ได้รับฮอร์โมน oxytocin สมองส่วนนี้กลับเริ่ม ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นและเริ่มแสดงอาการตอบสนองเมื่อมองเห็นหน้าผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่ายังไม่สามารถนำการบำบัดแบบนี้ไปใช้ได้ทั่วไป