Tag: ลมพิษ
-
ผื่นลมพิษอาจกำเริบในหน้าหนาวได้
ผื่นลมพิษอาจกำเริบในหน้าหนาวได้ ผื่นลมพิษ ก็คือการคันบนผิวหนัง อาจมีลักษณะบวมเป็นผื่นปื้นแดง มีขนาดต่าง ๆ กันไป ไม่มีขึ้น เกิดขึ้นและกระจายตัวได้เร็ว มักอยู่ไม่นาน หายได้เองโดยไม่มีร่องรอยอะไร แต่ก็อาจมีผื่นใหม่เกิดขึ้นในที่อื่น ๆ ได้อีก ซึ่งมีสาเหตุที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็น… – อากาศที่หนาวเย็นลง – ผื่นที่เกิดขึ้นจากความร้อน เช่น เกิดลมพิษทุกครั้งหลังเล่นกีฬาจนเหงื่อออก – ผื่นบริเวณที่ถูกเข็มขัดหรือยางยืดเสื้อผ้าที่สวมอยู่กดรัดแน่นเกินไป – แพ้อาหาร หรือสิ่งที่ผสมอยู่ในอาหาร ไม่ว่าจะเป็นสารแต่งสี แต่งรส แต่งกลิ่น สารกันบูด หรือสิ่งปนเปื้อนอื่น ๆ – การแพ้ยา บางชนิดก็อาจเป็นยาที่นึกไม่ถึงได้ เช่น วิตามิน ยาถ่าย ยาระบาย ยาหยอดตา หยอดหู หรือยาแผนโบราณต่าง ๆ – เกิดลมพิษเพราะติดเชื้อ ที่พบได้บ่อยก็คือการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบนเช่น หวัด ไซนัสอักเสบ ทอนซิลอักเสบ เป็นต้น เมื่อเกิดผื่นลมพิษไม่ควรเกาผิวหนัง เพราะอาจทำให้เป็นแผลและอักเสบได้ หากคันมากให้ทาด้วยคาลามายน์โลชั่นเพื่อลดอาการคัน ในรายที่เป็นรุนแรง (ซึ่งอาจพบได้น้อยมาก)…
-
“ข่า” สมุนไพรบรรเทาอาการปวดข้อเท้า
“ข่า” สมุนไพรบรรเทาอาการปวดข้อเท้า คนทำงานบางคนมีสภาพการทำงานที่ไม่เหมือนคนอื่น ๆ บางคนต้องยืนทั้งวันหรือใช้เท้าในการทำงานมาก ไม่ว่าจะเป็นพนักงานขายที่ต้องยืนทั้งวัน พนักงานต้อนรับ หรือแม้แต่พนักงานประกอบอุปกรณ์ในโรงงาน ฯลฯ อาชีพเหล่านี้ทำให้เกิดความเมื่อยล้ากล้ามเนื้อน่อง ต้นขา เท้า ได้ง่ายมาก วันนี้จะมาแนะนำสมุนไพรสำหรับบรรเทาอาการปวดข้อเท้าค่ะ ซึ่งนั่นก็คือสมุนไพรที่เราคุ้นตากันอยู่แล้ว “ข่า” นั่นเองค่ะ “ข่า” ไม่ได้เป็นแค่สมุนไพรสำหรับการปรุงอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคได้มากหมายหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคระบบทางเดินอาหาร เพราะข่าช่วยย่อย ช่วยขับลม ขับน้ำดีได้ รักษาระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี รักษาอาการลมพิษ ผดผื่นคัน รักษากลากเกลื้อนได้ และยังช่วยแก้ปวดและแก้อักเสบได้ดีด้วย การนำเอาข่ามารักษาบรรเทาอาการปวดข้อเท้านั้น ก็ทำเองได้ง่าย ๆ โดยนำข่าแก่ ๆ มาโขลกแล้วคั้นน้ำออกบ้าง แล้วนำมาพอกบริเวณที่ปวดแล้วพันผ้าทิ้งเอาไว้ ที่สำคัญก็คือก่อนการพอกข่าทุกครั้งต้องทาน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าวบนผิวหนังก่อน เพราะข่ามีฤทธิ์ร้อน อาจทำให้ผิวหนังพองหรือไหม้ได้ และอย่าใช้ข่ามากเกินไป หรือพอกทิ้งไว้นานเกินไป เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผิวหนังได้เช่นกัน แต่เผลอลืมนำข่าพอกลงไปบนผิวหนังก่อนที่จะทาน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว จะทำให้ผิวหนังพองหรือไหม้ดำ การรักษานั้นให้นำเอามะขามเปียกมาถูบริเวณที่ไหม้เบา ๆ จนกว่าผิวหนังจะเป็นปกติ จะเห็นได้ว่าสมุนไพรของไทยเป็นภูมิปัญญาที่มีค่า มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เป็นของที่หาได้ง่ายและรักษาโรคต่าง ๆ ได้ผลเป็นอย่างดี เราคนไทยควรร่วมกันรักษาภูมิปัญญานี้ไว้นาน ๆ…
-
อาการของผู้ที่แพ้อาหาร
อาการของผู้ที่แพ้อาหาร ผู้ที่เผลอไปทานอาหารที่ตัวเองแพ้เข้า หรือไปสัมผัสอาหารชนิดนั้น ๆ อาจเกิดอาการแพ้ขึ้นในทันทีหรือราวไม่เกิน 2 ชั่วโมงหลังจากการทานอาหาร แม้จะแตะต้องเพียงแค่นิดเดียวก็ตาม ซึ่งจะแสดงอาการออกมาดังต่อไปนี้ มีผื่นลมพิษ คันและบวมบริเวณผิวหนัง เกิดอาการบวมบริเวณปาก ลิ้น คอ ใบหน้าและส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย รู้สึกคัดจมูก หายใจหวีดเสียงดังเหมือนคนหอบหืด หายใจลำบาก ท้องร่วง ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียนเวียนหัว หน้ามืดเป็นลม แต่ในส่วนที่มีอาการรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตนั้นจะแสดงอาการได้แก่ หลอดลมหดเกร็งลม เพราะคอและหลอมลมบวม ทำให้หายใจลำบาก ความดันโลหิตต่ำลงจนถึงระดับที่ทำให้ช็อกได้ ชีพจรเต้นเร็ว หน้ามืดเป็นลมได้ แต่ถ้าจะแยกอาการที่เกิดขึ้นตามอวัยวะก็สามารถแยกได้ดังนี้ – บริเวณผิวหนัง อาจจะแสดงออกด้วยอาการคัน แดง เป็นลมพิษ ตัวร้อน มีอาการบวมที่หนังตาและปาก – บริเวณทางเดินอาหาร จะคันปาก ปวดท้อง อาเจียน ท้องเดิน – ทางเดินหายใจ จะคัดจมูก น้ำมูกไกล ไอ เสียงแหบ คันในคอ กลืนลำบาก หายใจเสียงดัง หายใจลำบาก…
-
ความเครียด…อาจเป็นต้นเหตุของโรคผิวหนังได้หลายชนิด
ความเครียด…อาจเป็นต้นเหตุของโรคผิวหนังได้หลายชนิด ด้วยการใช้ชีวิตในทุกวันนี้ทำให้เกิดความเครียดในหมูคนไทยกันมากขึ้น ก่อให้เกิดผลเสียหลายประการไม่ว่าจะเป็น ทำให้ไม่มีสมาธิในการทำงาน อารมณ์ไม่มั่นคง หงุดหงิด โมโหง่าย ปวดท้อง ปวดหัว ปวดหลังนอนไม่หลับ แล้วยังอาจเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายแรงอื่น ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคกระเพาะอาหาร ต่อมไทรอยเป็นเป็นพิษ รวมไปถึงโรคจิต โรคประสาทได้อีก แต่เชื่อหรือไม่ว่านอกจากนี้แล้ว ความเครียดยังเป็นบ่อเกิดของโรคผิวหนังนานาชนิดได้อีกด้วยค่ะ สามารถแบ่งออกเป็นสามกลุ่มได้ดังนี้ – ในส่วนผู้ที่เป็นโรคผิวหนังอยู่แล้ว การมีความเครียดหรือโรคทางใจทำให้โรคกำเริบได้ เช่น ผมร่วง ภูมิแพ้ผิวหนัง เริม คัน สะเก็ดเงิน สิวเห่อ โรคผิวเปลือกไม้ หูด รวมไปถึงลมพิษ – กลุ่มโรคผิวหนังที่ทำให้จิตป่วยและเครียด คือโรคผิวหนังที่ทำให้ผู้ป่วยมีลักษณะภายนอกไม่น่ามอง เช่น สิวรุนแรง ด่างขาว สะเก็ดเงิน เริ่ม ผู้ป่วยจึงเสียความมั่นใจ รู้สึกอับอาย – กลุ่มโรคทางใจที่ทำให้เกิดอาการทางผิวหนัง เช่น โรคชอบดึงผมเล่นจนร่วง โรคหลงผิดคิดว่ามีแมลงหรือพยาธิไต่ตามผิวหนัง โรคฝังใจว่ามีเส้นใยผุดออกมาจากผิวหนัง โรคไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาตนเอง ชอบคิดว่าตนเองไม่สวย ผมบาง ขนดก และชอบเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น…
-
รู้จัก…โรคลมพิษกันค่ะ
รู้จัก…โรคลมพิษกันค่ะ อาการผื่นคันที่กระจายตัวไปทั่วร่างกายไม่ว่าจะเป็น แขนขา หน้า ตัว นั้นคือโรคลมพิษที่พอเห่อขึ้นมาทีหนึ่งก็ทำให้คันไปทั่วร่างและทรมานมากเหลือเกิน นอนก็นอนไม่ได้ เมื่อไปหาหมอแล้วก็ได้ยามาทาน ดีขึ้นอยู่พักหนึ่งแล้วก็เป็นใหม่อีก เป็น ๆ หาย ๆ อยู่ตลอดชีวิตอย่างนี้จะทำยังไงกันดีล่ะ ก่อนอื่นนั้นต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า ผื่นลมพิษสำหรับแต่ละคนนั้นอาจมีสาเหตุแตกต่างกันออกไป บางคนเป็นเพราะความเย็น แต่บางคนก็มักเป็นเพราะความร้อน.. เช่น – เกิดผื่นขึ้นทุกครั้งเวลาเล่นกีฬาจนเหงื่อออก เหมือนคนแพ้เหงื่อตัวเอง – ลมพิษบริเวณที่สวมเสื้อผ้ารัดแน่น เช่น ตามแนวเข็มขัดหรือยางยืด – ลมพิษจากการแพ้อาหาร ที่มีส่วนผสมของสารกันเสีย สีผสมอาหาร หรือสิ่งปนเปื้อนต่าง ๆ – บางคนก็เกิดจากการแพ้ยา ซึ่งก็สามารถแพ้ได้ทุกชนิดว่าจะเป็น ยาถ่าย ยาระบาย วิตามิน ยาหยอดตา ยาแผนโบราณ ฯลฯ แพ้ได้หมดทุกอย่าง – และผื่นลมพิษสำหรับบางคนก็เกิดจากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ทอนซิลอักเสบ หวัด ไซนัสอักเสบ ฯลฯ การป้องกันสำหรับคนที่มักจะเป็นผื่นลมพิษก็คือ เมื่อทราบว่าตนเองแพ้อะไรแล้วก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการแพ้นั้น แล้วลมพิษก็จะหายไปหรือบรรเทาอาการลงได้เอง แต่ผู้ที่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นลมพิษเรื้อรังเพราะอะไร หรือรู้สาเหตุแต่แก้ไขได้ยากก็ควรมาพบแพทย์ เพื่อพิจารณะใช้ยาควบคุมอาการ…
-
ไล่ยุงอย่างไร ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเรา
ไล่ยุงอย่างไร ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเรา ประเทศไทยเป็นประเทศร้อนชื้น จึงมียุงชุมแทบทุกฤดูกาล การกำจัดยุงให้หมดนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะร่างกายคนเรานั้นเป็นแหล่งดูดยุงชั้นเยี่ยม จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาจาก เหงื่อ กลิ่นตัว และความร้อน ตลอดจนลมหายใจ ยุงจึงมักตอมคนและสัตว์เลี้ยง อีกทั้งสารเคมีในร่างกายของบางคนยังดึงดูดยุงมากกว่าคนอื่นด้วยก็มี วันนี้เราจึงขอนำสูตรการไล่ยุงหลาย ๆ เพื่อให้ทุกคนลองนำไปเลือกใช้ เพราะวิธีการไล่ยุงวิธีหนึ่งอาจใช้ไม่ได้ผลกับทุกคนก็เป็นได้ แต่ทุกสูตรที่นำมาเสนอในวันนี้รับรองได้ว่าปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายจากสารพิษอย่างแน่นอนค่ะ – หากไปแค้มปิ้งหรือปิกนิกนอกบ้านที่มียุงมาก ให้นำกระเทียมผลซึ่งหาซื้อได้ทั่วไปตามซุปเปอร์มาร์เก็ตมาละลายน้ำ แล้วทาลงบนจุดชีพจรหรือบนใบหน้า แต่ให้ระวังเข้าตา – สำหรับผู้ที่อยู่ในบ้านแต่มียุงมาก ให้ลองนำกระเทียมผงละลายน้ำ ฉีดตามสนามหญ้าและพุ่มไม้ต่าง ๆ เพื่อช่วยไล่ยุง หมั่นทำสองอาทิตย์ต่อหนึ่งครึ่ง หรือฉีดหลังฝนตกจะช่วยลดปริมาณของยุงได้ – นำเอาวานิลลามาทาตามจุดชีพจร หรือแต้มตัวผิวหนังและแต้มลงบนเสื้อผ้า สามารถใช้วานิลลาชนิดเข้มข้ม ผสมน้ำก่อนแล้วค่อยพ่นลงบนผิวก็ได้เช่นกัน – เลือกน้ำมันหอมระเหยกลิ่น ลาเวนเดอร์ ยูคาลิปตัส ตะไคร้ มินท์ มะนาว ส้ม ก็ได้ มาผสมกับแอลกอฮอล์เช็ดแผลหรือน้ำกลั่น แล้วพ่นบนร่างกายหรือเสื้อผ้า หรือใช้เช็ดบริเวณผิวที่โดนยุงตอม – หรือจะเลือกนำเอาน้ำมันหอมระเหย 2-3 หยดผสมกับน้ำมะกอกหรือเบบี้ออยล์แล้วทาผิว ก็ได้เช่นกัน แต่ให้ระวังเข้าตาและปาก…
-
อาหารต้องห้ามของ 10 โรค
—
by
in ข่าวสุขภาพ, ความดันโลหิตสูง, ตับ, ท้องผูก, ริดสีดวงทวารหนัก, สิว, หอบหืด, หัวใจ, เบาหวาน, ไข้หวัด, ไตอาหารต้องห้ามของ 10 โรค อาหารต้องห้ามหรือของแสลง ก็คืออาหารท่านเข้าไปแล้วทำให้อาการกำเริบหรือโรคที่เป็นอยู่หายช้าลง มีพื้นฐานมาจากภูมิปัญญาทางการแพทย์พื้นบ้าน รู้ไว้จะดีกว่านะคะ ..หากเป็นโรคกระเพาะ หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกกาแฟ ชาแก่ ๆ ของทอด อาหารรสเผ็ด หรือมีไขมันสูง อาจทำให้โรคหายยากขึ้น ควรทานอาหารให้ตรงเวลาและเลือกอาหารที่ย่อยง่ายดีกว่า .. หากเป็นไข้ หรือเป็นไข้หวัด เลี่ยงอาหารที่มีความเย็น ของทอด ของมัน ที่ย่อยยาก จะยิ่งทำให้ตัวร้อนขึ้น .. หากเป็นโรคความดันโลหิตสูง หลีกเลี่ยงอาหารที่ไขมัน และคอเลสเตอรอลสูง เช่น โกโก้ ไข่ปลา ไขกระดูก หมูสามชั้น สุรา แอลกอฮอล์ต่าง ๆ รวมทั้งหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัดและผลไม้ที่มีความหวานอย่างขนุน ทุเรียน ลำไย ด้วย .. หากเป็นโรคตับหรือถุงน้ำดี เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอลด์ อาหารติดมัน เนื้อสัตว์ติดมัน เครื่องใน ของทอด ของหวานจั เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของการย่อยอาหารลดลง เพิ่มภาระให้กับตับและถุงน้ำดี ..หากเป็นโรคหัวใจและโรคไต เลี่ยงอาหารที่มีความเค็ม เพราะจะทำให้การไหลเวียนของเลือดช้าลง หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตเองก็ต้องขับเกลือมากขึ้น…
-
เจ็บป่วยแปลก ๆ ตอนออกกำลังกาย ใครเคยเป็นแบบนี้บ้าง?
เจ็บป่วยแปลก ๆ ตอนออกกำลังกาย ใครเคยเป็นแบบนี้บ้าง? การออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายแบบหนัก ๆ อาจสร้างความบาดเจ็บให้กับร่างกายได้บ้าง แต่วันนี้จะขอนำเอาอาการทางร่างกายแบบแปลก ๆ มาให้คุณผู้อ่านที่ชอบออกกำลังกายสังเกตุอาการของตัวเองกันดูพร้อมวิธีป้องกันรักษานะคะ – เจ็บแปลบ ๆ บริเวณซี่โครง เมื่อออกกำลังกายไปได้ซักระยะ จะเกิดอาการเจ็บแปลบเหมือนโดนมีดเสียบบริเวณซี่โครงด้านหน้าใกล้ ๆ ช่องท้อง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถระบุได้ว่ามีสาเหตุจากอะไร แต่เดาว่าน่าจะเกิดจากกระบังลมที่กระตุกอย่างแรงจนทำให้การหายใจผิดจังหวะ มักเกิดกับคนที่ออกกำลังกายใหม่ ๆ หรือออกกำลังกายตอนทานอิ่มๆ การป้องกันจึงควรทานอาหารเบา ๆ ก่อนออกกำลังกาย และควรออกกำลังกายหลังทานอาหารไปแล้วครึ่งชั่วโมง หากเกิดอาการเจ็บแปลบอีกให้หยุดพักสักครู่แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อีกทั้งควรวอร์มร่างกายก่อนออกกำลังกายด้วย – จู่ ๆ ก็น้ำมูกไหล หากออกกำลังกายในที่ ๆ ค่อนข้างเย็นหรือแห้งจัด ก็อาจมีน้ำมูกไหลได้ ซึ่งแพทย์เรียกอาการนี้ว่าจมูกอักเสบจากการออกกำลังกาย เพราะเววลาที่เราเหนื่อยและหายใจแรงก็จะสูดเอาอากาศเย็นแห้งเข้าไป จมูกจึงผลิตเมือกออกมาเพื่อรักษาโพรงจมูกไว้ วิธีการป้องกันคือขอให้แพทย์จ่ายยาพ่นจมูกมาให้ ไว้พ่อนก่อนออกกำลังกาย 30 นาทีและเตรียมทิชชู่ไว้ติดกระเป๋าด้วย – ท้องเสีย นักวิ่งมาราทอน หรือนักเดินระยะไกล คนที่ออกกำลังกายหนัก ๆ หรือนาน ๆ มักจะท้องเสียได้ เพราะแพทย์ระบุว่า…