Tag: ปอด

  • พิษภัยจากโรคถุงลมปอดโป่งพอง

    พิษภัยจากโรคถุงลมปอดโป่งพอง

    พิษภัยจากโรคถุงลมปอดโป่งพอง บุหรี่เป็นพิษต่อร่างกาย ทำให้เกิดโรคจากปอดที่เรียกว่า “โรคถุงลมปอดโป่งพอง” ได้ง่าย พบมากในผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 45-65 ปีขึ้นไป มักสูบบุหรี่กันมานานกว่า 10 ปี จนในที่สุดปอดก็พิการ ทำให้เกิดอาการเหนื่อยหอบง่าย ติดเชื้อที่ปอดซ้ำซาก นอกจากบุหรี่แล้ว ก็ยังมีสาเหตุอื่นด้วยได้แก่ มลพิษในอากาศ ควันไฟหุงต้มอาหารที่ก่อไฟในที่ขาดอาการถ่ายเท เป็นต้น อาการของโรคถุงลมปอดโป่งพอง ก็คือ ระยะแรกจะมีอาการหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ไอหนัก ไอมีเสมหะเป็นแรมเดือนแรมปี ไอหรือขาดเสมหะในคอหลังจากตื่นนอนตอนเช้า และไอถี่ขึ้นเป็นตลอดทั้งวัน เสมหะช่วงแรงจะมีสีขาวและกลายเป็นเหลืองหรือเขียว มีไข้หรือหอบเหนื่อยเป็นครั้งคราว หากผู้ป่วยยังไม่เลิกสูบบุหรี่ ก็จะยิ่งมีอาการเหนื่อยง่ายมากขึ้น แม้เวลาเดิน พูด หรือทำกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะรุนแรงขึ้นจนแม้อยู่เฉย ๆ ก็เหนื่อยหอบ เพราะถุงลมปอดพิการอย่างรุนแรง ไม่สามารถแลกเปลี่ยนอากาศนำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้แล้ว ในระยะสุดท้ายผู้ป่วยจะเบื่ออาหาร จนน้ำหนักลด หอบตลอดเวลา และทุกข์ทรมานมาก การรักษาโรคถุงลมปอดโป่งพองนั้น แพทย์จะรักษาตามความรุนแรงของโรค โดยทั่วไปจะให้ยาขยายหลอดลมเพื่อสูดพ่น ต่อมาก็อาจจ่ายเป็นยาสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่นด้วย หากมีการติดเชื้อก็จะให้ยาปฏิชีวนะ สำหรับรายที่หอบรุนแรง ปอดอักเสบแพทย์ก็จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาลเพราะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ต้องให้ออกซิเจน โรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง…

  • ป้องกันโรคปอดบวมในเด็ก…ในช่วงหน้าฝน

    ป้องกันโรคปอดบวมในเด็ก…ในช่วงหน้าฝน

    ป้องกันโรคปอดบวมในเด็ก…ในช่วงหน้าฝน โรคปอดบวมเป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงเฉียบพลัน ที่รุนแรงและมีอันตรายถึงตายได้เลยในเด็กเล็ก ๆ โรคนี้นั้นโดยประมาณแล้วองค์การอนามัยโลกระบุว่า ทุก ๆ นาทีจะมีเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมอย่างน้อยหนึ่งคน จึงทำให้เด็กเล็กทั่วโลกเสียชีวิตด้วยโรคนี้เฉลี่ยปีละประมาณสองล้านคนแลยทีเดียว โรคปอดบวมนี้เกิดจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียค่ะ มักจะพบในผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ มีภูมิต้านทานโรคต่ำ ไม่ว่าจะเป็น เด็กเล็กอายุน้อยกว่าห้าขวบ, ทารกแรกเกิดไม่แข็งแรง, ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี, ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ รวมไปถึงผู้สูงอายุด้วย โดยระยะที่ระบาดมากที่สุดก็คือช่วงหน้าฝนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนของทุกปี โรคนี้ติดต่อกันได้ด้วยการหายใจเอาเชื้อที่ฟุ้งอยู่ในอากาศเข้าสู่ปอด, การไอหรือจามรดกัน, การคลุกคลีกับผู้ป่วยโรคนี้อยู่แล้ว, การสำลักสิ่งแปลกปลอมที่มีเชื้อโรคเข้าไปในจมูกและลำคอ เช่น เด็กที่สำลักน้ำขณะเล่นน้ำก็สามารถเป็นโรคปอดบวมได้ด้วย อาการของโรคนี้จะมีไข้สูง ไอหนัก ไอมาก หายใจเร็ว หรือหายใจลำมาก และถ้าอาการหนักจะหอบถี่ หายใจลำบากหรือมีเสียงดังวี๊ด ๆ หรือหายใจแรงหอบจนซี่โครงบุ๋มตัว เล็บมือเล็บเท้า ริมฝีปากเขียวคล้ำ ซึมหรือกระสับกระส่าย หากมีอาการเช่นนี้แล้วควรรีบน้ำผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยด่วนเพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ สำหรับโรคนี้ที่มีความอันตรายมากสามารถป้องกันได้โดย – รักษาสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนนอนหลับอย่างสม่ำเสมอ – กินอาหารที่ประโยชน์ และออกกำลังกายบ่อย ๆ – ไม่ควรพาเด็กไปในที่แออัดหรือมีคนมาก รวมทั้งไม่ควรให้เด็กอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย – สำหรับเด็กที่เลี้ยงในห้องแอร์ควรสวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นไว้มาก ๆ – เด็กเล็กควรดื่มน้ำนมแม่เพื่อให้ได้รับภูมิต้านทานให้เต็มที่…

  • สังเกตโรคร้ายให้ดี คุณอาจเป็น “ปอดบวม”

    สังเกตโรคร้ายให้ดี คุณอาจเป็น “ปอดบวม”

    สังเกตโรคร้ายให้ดี คุณอาจเป็น “ปอดบวม” โรคที่มักเกิดขึ้นในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง และมีฝนตกหนักก็คือ โรคปอดบวมนั้นเอง ซึ่งกรมควบคุมโรคได้เปิดเผยว่าโรคปอดบวมนี้ คร่าชีวิคคนไทยเป็นอันดับหนึ่งถึงร้อยละ 78 เลยทีเดียว ซึ่งวิธีการสังเกตว่าตนเองหรือคนที่รักเป็นโรคปอดบวมแล้วหรือยัง ให้สังเกตอากาศดังต่อไปนี้ค่ะ 1. เป็นไข้ตัวร้อน และเมื่อเป็นแล้วมักจะไม่ค่อยลด 2. ไอมาก ไอหนัก ไอถี่ขึ้นเรื่อย ๆ 3. หายใจหอบหนัก หายใจไม่ทั่วท้อง หายใจไม่ทัน 4. ลักษณะของน้ำมูกจะเปลี่ยนสีไปจากเดิม คือจากใส ๆ เป็นสีขุ่นข้นและสีเขียว ยิ่งโดยเฉพาะหากเป็นลูกเล็ก ๆ ที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ ให้สังเกตว่าหากเด็กมีอาการไข้สูง ซึม ไม่กินน้ำหรือกินนม รวมทั้งไอมีเสมหะ หายใจหอบเร็ว หรือหายใจมีเสียงวี๊ด หรือหายใจจนกระทั่งชายโครงบุ๋มลง ขอให้รีบนำเด็กไปพบแพทย์ทันที เพื่อรักษาแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่อาการจะทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้เสียชีวิตได้  

  • ดูแลตับให้เป็น…ต้องรู้เวลาทำงานของร่างกาย

    ดูแลตับให้เป็น…ต้องรู้เวลาทำงานของร่างกาย

    ดูแลตับให้เป็น…ต้องรู้เวลาทำงานของร่างกาย พฤติกรรมที่เราทำกันจนเคยชินทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการนอนดึกตื่นสาย กินมากจนล้นกระเพาะ ไม่ยอมกินอาหารเช้า กินยามากเกินไป และกินแต่อาหารปรุงแต่งไปด้วยสีผสมอาหาร วัตถุกันเสีย วัตถุปรุงแต่ง ร่วมทั้งกินอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันด้อยคุณภาพและไม่เป็นประโยชน์ ซึ่งนอกการลดการบริโภคน้ำมันลง แล้วเปลี่ยนน้ำมันมาเป็นน้ำมะกอกที่ดีต่อสุขภาพแล้ว ก็ยังควรดูแลร่างกายตามตารางเวลาที่อวัยวะต่าง ๆ ทำงานอย่างถูกต้องด้วย ตับของเราและอวัยวะต่าง ๆ ของเราจึงจะมีสุขภาพดีไม่เสื่อมสภาพไปก่อนวัยอันควร ต่อไปนี้คือตารางเวลาการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ที่เราควรนำไปปรับใช้ให้ดีต่อร่างกายเราค่ะ 1. ช่วงเวลา 21.00-23.00 น. ช่วงนี้ร่างกายจะกำจัดสารพิษต่าง ๆ โดยระบบต่อต้านเชื้อโรคภายในร่างกาย หรือระบบน้ำเหลือง ซึ่งช่วงเวลานี้ควรเอาไว้พักผ่อน และผ่อนคลายด้วยการเข้านอน 2. ช่วงเวลา 23.00-01.00 น. ช่วงนี้ตับจะเริ่มกระบวนการกำจัดสารพิษ ช่วงนี้จึงควรหลับอย่างสนิท เพื่อให้ช่วงเวลาหลังจากนี้ ก็จะเป็นช่วงเวลากำจัดสารพิษในน้ำดีซึ่งควรได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่เช่นกัน 3. ช่วงเวลา 01.00-03.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ปอดจะกำจัดสารพิษ ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับปอดจึงมักไอรุนแรงในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นระบบการกำจัดสารพิษโดยอัตโนมัติ จึงไม่จำเป็นต้องทานยาแก้ไขใด ๆ 4. ช่วงเวลา 05.00-07.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ใหญ่กำจัดสารพิษ เราจึงควรขับถ่ายในเวลานี้ 5.…

  • ทีมนักวิจัยอเมริกัน สามารถสร้างเนื้อเยื่อปอดได้สำเร็จ จากการปลูก stem cell

    ทีมนักวิจัยอเมริกัน สามารถสร้างเนื้อเยื่อปอดได้สำเร็จ จากการปลูก stem cell

    ทีมนักวิจัยอเมริกัน สามารถสร้างเนื้อเยื่อปอดได้สำเร็จ จากการปลูก stem cell นักวิจัยอเมริกันสามารถสร้างเนื่อเยื่อปอดจากการปลูกเซลล์ตั้งต้นในห้องทดลองได้สำเร็จและถือเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่งของวงการแพทย์ในความพยายามพัฒนาวิธีบำบัดโรคปอดชนิดต่างๆที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ในขณะนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในมหานครนิวยอร์คได้ประยุกต์เทคโนโลยี stem cells ในการปลูกเซลล์ปอดในจานเพาะเชื้อ ซึ่งพวกเขาหวังว่าจะเป็นกระบวนการที่จะนำไปสู่การพัฒนายารักษาโรคปอดและการปลูกถ่ายเซลล์เพื่อรักษาโรคร้ายแรงต่างๆ ศาสตราจารย์ Snoeck กล่าวว่าเซลล์ในท่อทางเดินหายใจที่ปลูกขึ้นในห้องทดลอง ตัวนี้สามารถสร้างสารในปอดชนิดนี้ขึ้นมา นำสารชนิดนี้หมุนเวียนกลับไปใช้ได้อีก และปล่อยสารตัวเดิมกลับออกมาอีกครั้ง แสดงว่าเซลล์เทียมที่ปลูกขึ้นสามารถทำงานได้ตามหน้าที่ เขากล่าวว่าเซลล์ในท่อทางเดินหายใจเหล่านี้มีความสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับโรคปอดหลายชนิด ในการทดลองหลายครั้ง ทีมนักวิจัยได้แสดงวิธีการกระตุ้นให้เซลล์เริ่มต้นหรือ stem cells เซลล์ให้เติบโตพัฒนาเป็นเนื้อเยื่อที่พบในปอด โดยเติมตัวโปรตีนต่างๆเข้าไปเพื่อควบคุมเซลล์ให้เติบโตพัฒนาเป็นเนื้อเยื่อปอดตามต้องการ การทดลองทั้งหมดที่จัดทำขึ้นในห้องทดลองได้ผลตามที่ทีมงานตั้งไว้ โดยสามารถสร้างเนื้อเยื่อปอดมนุษย์ขึ้นมา หลังจากนั้น ทีมนักวิจัยได้ใช้เนื้อเยื่อปอดที่ปลูกขึ้นได้ ฉีดเข้าไปในไตของหนูทดลอง ศาสตราจารย์ Snoeck กล่าวว่าเซลล์ที่ปลูกถ่ายในหนูทดลองเติบโตได้ดีและทำงานได้เช่นเดียวกับปอดทั่วไป เขากล่าวว่าทีมนักวิจัยจะสามารถนำเซลล์เทียมที่ปลูกขึ้นเป็นโมเดลในการค้นคว้าหาทางรักษาความผิดปกติในปอดร้ายแรงหลายประเภท รวมทั้งโรคปอด Cystic Fibrosis ที่สืบทอดทางพันธุกรรม ศาสตราจารย์ Snoeck อธิบายว่าการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายปอด มักไม่ได้ผลดีเสมอไป เขากล่าวว่าในอนาคตนักวิทยาศาสตร์การแพทย์หวังว่าจะสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในการสร้างปอดที่ปลอดภัยในการปลูกถ่ายแก่ผู้ป่วยเนื่องจากจะใช้เซลล์ตั้งต้นจากตัวผู้ป่วยเอง าอาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะประสบความสำเร็จแต่เขาเชื่อว่่าการสร้างปอดด้วยวิธีนี้จะปลอดภัยเเก่ตัวผู้รับบริจาคปอดเพราะร่างกายของผู้ป่วยจะไม่ต่อต้านต่อปอดใหม่เพราะเป็นปอดที่ปลูกขึ้นจากเซลล์ตั้งต้นที่ได้ร่างกายของผู้ป่วยแต่ละคนเอง