Tag: ปวดศีรษะ
-
การป้องกัน…ไข้หวัดในเด็กเล็ก
การป้องกัน…ไข้หวัดในเด็กเล็ก โรคหวัดเป็นโรคติดเชื้อที่เด็ก ๆ เป็นกันมากที่สุด ยิ่งอยู่ในวัยที่ต้องเข้าไปอยู่ในเนอสเซอรี่ โรงเรียนอนุบาลทั้งหลายแล้ว ยิ่งติดต่อกันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เด็กบางคนเป็นหวัดแทบทุกเดือน เพราะเชื้อไวรัสที่ทำให้เป็นหวัดได้นั้นมีมากกว่าสองร้อยชนิด อาการของเด็กที่เป็นหวัดนั้น โดยมากจะมีอาการ คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ มีไข้ ปวดศีรษะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลเด็ก ๆ อย่างใกล้ชิดด้วยการให้เด็กจิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ กินอาหารเหลวหรืออาหารที่ย่อยง่าย หากยังกินนมแม่อยู่ก็ให้ดูดนมบ่อยขึ้น ดูแลน้ำมูกให้จมูกโล่ง ให้เด็กได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ให้เด็กปิดปากเวลาไอหรือจาม และแยกเด็กออกจากเด็กปกติเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อด้วย รวมไปถึงต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นหูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ หรือแม้กระทั่งปอดบวม ซึ่งหากเกิดความผิดปกติได้แก่ มีไข้สูงเกินกว่าสองวัน เด็กร้องกวนโยเย เจ็บหู ไอมากหรือไอเสียงก้อง หายใจแรงจนซี่โครงบุ๋ม หรือหายใจถี่เร็ว ควรรีบพบแพทย์ เพื่อป้องกันอันตราย ในระยะนี้คุณพ่อคุณแม่ควรพาเด็กมาหาหมอตามนัดและให้ลูกทานยาให้ครบ อย่าหยุดยาเองโดยพละการ ไม่ใช่เห็นว่าอาการทุเลาแล้วจึงหยุดยาเอง ทำแบบนี้เป็นอันตรายมากเพราะจะทำให้ติดเชื้อแทรกซ้อนอื่นได้ง่าย และทำให้ดื้อยาด้วย และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการป้องกันเด็กมิให้เป็นไข้หวัดเสียตั้งแต่แรก ได้แก่การดูสุขภาพของเด็กให้แข็งแรง โดย – ทานอาหารให้ครบหมู่และเหมาะสมตามวัยของเด็ก – ปล่อยให้เด็กได้วิ่งเล่นกลางแจ้งเพื่อเป็นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ – ให้เด็กได้เข้านอนแต่หัวค่ำและนอนหลับอย่างพอเพียงทุกวัน…
-
ดูแล…อาการปวดศีรษะด้วยตัวคุณเอง
ดูแล…อาการปวดศีรษะด้วยตัวคุณเอง การปวดศีรษะเป็นอาการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พบเห็นได้บ่อย ๆ อยู่แล้ว ซึ่งสามารถก็ได้แก่ การใช้สายตานานและมากเกินไป นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ มีความเครียดหรือมีปัญหาจากไมเกรน ซึ่งการดูแลอาการปวดศีรษะเหล่านี้แบบเบื้องต้นก็คือการให้ยาหม่องทาถูกนวดบริเวณจุดที่ปวด หากยังไม่หายดีก็ให้ทานยาพาราเซตามอลตามขนาด แล้วหากยังไม่หายขาดก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที แต่หากเป็นอาการปวดหัวที่เกิดจากความเครียดควรผ่อนคลายตัวเองลง แล้วหาทางพักผ่อน อาจเป็นการทำจิตใจให้ผ่อนคลาย นอนหลับให้เพียงพอ อาบน้ำสบาย ๆ แล้วพักผ่อนก็จะช่วยได้ด้วย หรือในบางกรณีอาจปรึกษานักจิตวิทยาเพื่อช่วยกันหาทางออกก็ได้ สำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน ซึ่งก็ไม่มีอันตรายร้ายแรงมาก โรคปวดหัวไมเกรนนี้มักเกิดกับผู้ท่มีอายุตั้งแต่ 15-55 ปี โดยเริ่มปวดครั้งแรกเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นหรือวัยทำงาน โดยเริ่มจากตาพร่า เวียนศีรษะ หรือคลื่นไส้ แล้วจะจะปวดตุบ ๆ ตรงขมับข้างเดียวหรือสองข้าง และจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ระยะเวลาการปวดอาจนานเป็นชั่วโมงหรือนานถึง 1-2 วัน อาจเป็น ๆ หาย ๆ ตามสิ่งที่กระตุ้น ซึ่งหากท่านมีอาการไมเกรนควรดูแลตนเองดังต่อไปนี้ 1. เมื่อเริ่มปวดหัว ให้ทานยาพาราเซตามอลทันที 1-2 เม็ด เพราะหากปล่อยไว้เกินครั้งชั่วโมง ยาแก้ปวดจะใช้ไม่ได้ผล เมื่อทานยาแล้วควรทานพักในห้องเย็น ๆ…
-
หลากหลายเรื่องราวเกี่ยวกับ “น้ำอัดลม”
หลากหลายเรื่องราวเกี่ยวกับ “น้ำอัดลม” แม้น้ำอัดลมจะเป็นเครื่องดื่มที่เราเห็นกันจนเจนตา และดื่มกันมากจนเจนปากก็ตาม แต่จะมีใครรู้บ้างว่าในน้ำอัดลมนั้น ให้โทษให้ประโยชน์และก่อผลกระทบอย่างไรต่อร่างกายบ้าง วันนี้มาดูกันชัด ๆ เลยค่ะ 8 ข้อ 1. แน่นอนล่ะว่าน้ำอัดลมต้องมีน้ำตาลอยู่สูงมาก เพราะเป็นสารที่ทำให้เครื่องดื่มมีความหวาน ดื่มแล้วสดชื่น แต่หารู้ไม่ว่าหากคุณดื่มทุกวัน คุณก็อาจมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วนเพราะได้รับน้ำตาลมากเกินความจำเป็น 2. ในน้ำอัดลมมีการอัดก๊าซเอาไว้ ดังนั้นการดื่มน้ำอัดลมก็จะทำให้ท้องอืด ปวดท้องแน่นท้องได้ เพราะเกิดก๊าซในกระเพาะอาหาร 3. น้ำอัดลมมีความเป็นกรดสูง ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร จะยิ่งกระตุ้นแผลและทำให้อาการแย่ลง 4. อีกทั้งกรดในน้ำอัดลมยังทำให้เคลือบฟันเสื่อม เป็นสาเหตุของฟันผุอีกด้วย 5. สำหรับผู้ที่จัดฟัน การดื่มน้ำอัดลมจะทำให้เกิดคราบบริเวณรอยต่อระหว่างเหล็กและฟัน 6. นอกจากจะทำให้อ้วน น้ำหนักเกินแล้ว การดื่มน้ำอัดลมมากเกินไปจะทำให้โพแทสเซียมในเลือดต่ำลง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ 7. ในน้ำอัดลมมีคาเฟอีน จึงทำให้ตื่นตัว แต่ก็อาจทำให้นอนไม่หลับ มีอาการใจสั่น กระทั่งปวดศีรษะได้ด้วย 8. การดื่มน้ำอัดลมทำให้กระดูกสูญเสียแคลเซียม ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนได้
-
ระวัง! 6 โรคยอดฮิตมนุษย์ออฟฟิศบ้าพลัง
ระวัง! 6 โรคยอดฮิตมนุษย์ออฟฟิศบ้าพลัง สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศที่ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ แม้ตอนนี้จะยังมีร่างกายแข็งแรงอยู่ แต่ก็ใช่ว่าการทำงานใช้ร่างกายอย่างหนักหน่วงนั้นจะไม่สร้างปัญหาให้กับร่างกายนะคะ เพราะจากการวิจัยและสำรวจมาหลายสิบปีในวงการแพทย์ พบว่าเหล่ามนุษย์ออฟฟิศทั้งหลายนั้นมีอัตราความเจ็บป่วยจากการทำงานในปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปีอย่างน่ากลัว นั่นเป็นเพราะชาวออฟฟิศทั้งหลายมักปล่อยให้ปีศาจร้ายทำลายสุขภาพอย่าง โรคเครียด, การทำงานนานเกินไป, พฤติกรรมกินอาหารไม่ตรงเวลา และไม่ยอมออกกำลังกาย เหล่านี้มาเป็นตัวการร้ายทำลายสุขภาพ ซึ่งโรคร้ายที่ทำลายสุขภาพชาวออฟฟิศมากที่สุด 6 โรค ก็คือ 1. ต้อหิน และตาพร่า ทำให้มองภาพได้ไม่ชัด ตาสู้แสงไม่ได้ และอาจลุกลามทำให้ตาบอดไ 2. ไมเกรน ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ คลื่นไส้อ่อนเพลีย และเสียสมรรถภาพในการทำงาน 3. อาการนิ้วล็อค ทำให้นิ้วกระดิกไม่ได้ ตึง และรู้สึกเจ็บ กล้ามเนื้ออักเสบ 4. ปวดหลังเรื้อรัง รวมไปถึงอาการปวดไหล่ ต้นคอ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เป็นอัมพาตได้ 5. โรคอ้วน มีความเสี่ยงทำให้เป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ ตลอดจนความดันโลหิตสูง 6. โรคกรดไหลย้อน เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งหลอดอาหาร สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศทั้งหลายที่เริ่มมีอาการนี้แล้ว หรือยังไม่มีก็ควรหันมาดูแลสุขภาพของตัวเองด้วยเคล็ดลับดังต่อไปนี้ – อย่าเพ่งจ้องจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป ควรพักผ่อนสายตาบ้าง…
-
หัวไชเท้า..กินก็อร่อย แถมเป็นยาได้อีกด้วยนะ
หัวไชเท้า..กินก็อร่อย แถมเป็นยาได้อีกด้วยนะ พืชผักผลไม้ หรืออาหารที่เราทานกันเป็นประจำ หลายชนิดเลยทีเดียวที่นอกจากมีสารอาหารบำรุงร่างกายให้แข็งแรงแล้ว ก็ยังมีฤทธิ์ทางยาอีกด้วย ซึ่งโดยมากมักเป็นภูมิปัญญาโบราณที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ วันนี้ลองมาดูสรรพคุณทางยาของหัวไชเท้า หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง แล้วยังปลอดภัยอีกด้วยค่ะ 1. ตามตำราของอินเดียการทานหัวไชเท้า ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นแล้วระงับอาการทางประสาทแบบอ่อน ๆ ได้ดี 2. ตามตำราของเกาหลี ส่วนของหัวไชเท้าที่เหมาะนำมาทานเป็นยาก็คือส่วนของหัว ที่มีรสหวานเผ็ด และมีฤทธิ์เย็นเล็กน้อยนั่นเอง ดีต่อปอดและกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหารได้ ลดความดันโลหิต แล้วยังถอนพิษไข้ ละลายเสมหะได้ดี 3. สำหรับผู้สูงอายุที่มีอาการทางหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ไอ แน่นหน้าอก และมีเสมหะมาก หากได้ทานหัวไชเท้าบ่อย ๆ จะช่วยบรรเทาอาการได้ ทั้งยังช่วยบรรเทาโรคเบาหวานในผู้สูงอายุ รวมทั้งลดความอยากอาหารที่มากเกินควรด้วย 4. หัวไชเท้าที่นำมาสกัด ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย รักษาโรคบิด เลือดกำเดาไหล ปวดศีรษะ ไอมีเสมหะ อาหารไม่ย่อยได้ดี เพียงดื่มหัวไชเท้าสกัดสด ๆ วันละ 30-90 มิลลิกรัม หรือจะนำเอาหัวไชเท้าตากแห้งมาต้มดื่มวันละ 10-30 กรัมก็ได้ผลเช่นเดียวกัน หลังจากนี้ไปเวลาทางหัวไชเท้า เราคงไม่ได้มองเป็นแค่อาหารอร่อย ๆ…
-
อาการของโรคไมเกรน!
อาการของโรคไมเกรน! ไมเกรนเป็นโรคปวดหัวอย่างหนึ่งทีเกิดจากระบบประสาทส่วนกลางที่ทำหน้าที่รับรู้ทำงานมากกว่าปกติ ส่วนใหญ่อาการปวดหัวของคนที่เป็นโรคไมเกรนค่อนข้างจะจำเพาะ ปวดศีรษะข้างเดียว ปวดตุบ ๆ หรืออาจสลับไปมาระหว่างสองข้างได้ ระยะเวลาการปวดกินเวลาหลายชั่วโมงถึงเป็นวัน สำหรับผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นโรคไมเกรนก่อนอื่นก็ต้องเข้ารับการตรวจจากแพทย์ก่อน ว่าอาการปวดหัวนั้นมีสาเหตุมาจากอย่างอื่นหรือเปล่า ซึ่งหากสงสัยก็อาจต้องทำการตรวจเพิ่มเติม อาจจะเป็นการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถ้าไม่ได้เป็นโรคอื่นจริง ๆ และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไมเกรนจริงก็สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการรับประทานยา
-
อาการร้อนจัด ระวังโรคหวัดแดด
อาการร้อนจัด ระวังโรคหวัดแดด ช่วงนี้อากาศในเมืองไทยร้อนจนแผ่นดินแทบเดือนกันเลยทีเดียว นอกจากแสงแดดจะทำร้ายทำลายผิวแล้ว ความร้อนจากอากาศยังอาจทำให้เสียสุขภาพได้อีกด้วย เพราะอุณหภูมิสูง ๆ ของแดดร้อน ๆ ทำให้ร่างกายมีอาการเพลียแดด แม้จะเป่าพัดลมหรือดื่มน้ำแล้ว ความร้อนก็ดูจะไม่ยอมจางลงเลย แต่ทำท่าจะสะสมอยู่ข้างในเหมือนคนเป็นไข้เข้าไปอีก ยิ่งคนที่ทำงานกลางแจ้งยิ่งต้องระวัง ไม่ควรดื่มน้ำเย็นจัดเพื่อดับร้อนทันที ควรดื่มน้ำธรรมดาดีกว่า และพยายามใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเข้าจะช่วยบรรเทาอากาศร้อนได้นะคะ แม้แต่คนที่ทำงานนั่งห้องแอร์ก็ไม่ควรชะล่าใจนัก เพราะถ้าออกไปปะทะกับอากาศร้อนแล้วจะทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน มีอาการเหมือนจับไข้ได้ แม้จะดูไม่หนักหนาแต่ก็ไม่ยอมหายขาดเสียที ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อย ๆ โอกาสติดเชื้อจากโรคอื่น ๆ ก็มากขึ้น ซึ่งอาการของโรคหวัดแดดนั้นเป็นดังนี้ค่ะ 1. มีไข้ต่ำ ๆรุม ๆ ปากแห้งแข็ง แต่ไม่แตกลอก 2. ปากแห้ง คอแห้ง แสบคอ 3. ปวดศีรษะ แต่บางท่านที่ร้อนจัด ๆ อาจะรู้สึกเหมือนถูกกระตุก 4. ขมปากทานอาหารไม่อร่อย เบื่ออาหาร 5. นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ 6. ขับถ่ายไม่ปกติ ถ่ายยาก ไม่เป็นเวลา…
-
อย่าจอดรถเปิดแอร์-ปิดกระจกนอน เสี่ยงตาย!
อย่าจอดรถเปิดแอร์-ปิดกระจกนอน เสี่ยงตาย! ในช่วงฤดูร้อนของเดือน มี.ค. ถึง มิ.ย. เป็นช่วงเทศกาลท่องเที่ยวหลายเทศกาลของประเทศไทย ซึ่งนอกเหนือจากอุบัติเหตุบนท้องถนนที่ต้องระมัดระวังสำหรับผู้ที่ขับขี่ยวดยานแล้ว สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่องก็คือการจอดพักรถริมข้างทางแล้วเปิดแอร์เพื่อนอนหลับ โดยในช่วงต้นปี 2557 ที่ผ่านมาได้มีผู้ขับขี่รถต้องเสียชีวิตจากการเปิดแอร์นอนในรถไปแล้วหลายราย ซึ่งอันตรายที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตของการเปิดแอร์นอนนั้น เป็นเรื่องใกล้ตัวที่มักโดยมองข้าม การเปิดแอร์และสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้อีกทั้งยังปิดกระจกรถอย่างมิดชิดทุกด้านนั้น ทำให้แอร์ของรถยนต์ซึ่งจะต้องดูอากาศจากภายนอกเข้ามาหมุนเวียนภายในรถ จะดูดเอาควันจากท่อไอเสียของรถยนต์คันนั้นเข้ามาแทน โดยในไอเสียของรถยนต์นั้น มีทั้งก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอยู่มาก ซึ่งการสูดดมเข้าไปมาก ๆ จะทำให้เกิดการระคายเคือง ปวดศีรษะ ซึม เคลิบเคลิ้ม สั่นกระตุก หายใจติดขัด หมดสติไม่รู้ตัว หัวใจเต้นผิดจังหวะ เพราะมีฮีโมโกลบินน้อยกว่าปกติ จึงมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง จนทำให้เสียชีวิตได้ เมื่อคุณเปิดแอร์ไว้แล้วปิดกระจกรถทั้งหมด ระบบของแอร์จะดูดก๊าซเหล่านี้เข้ามา เมื่อเรานอนหลับอยู่ก็จะสูดก๊าซเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว จนหมดสติไปและขาดใจในที่สุด ดังนั้นการขับรถเดินทางไกลควรวางแผนการเดินทางให้ดี ดังต่อไปนี้ 1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 2. ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด 3. ศึกษาเส้นทางให้ละเอียดเพื่อย่นระยะเวลาการเดินทางให้ไวขึ้น และเลือกใช้เส้นทางที่มีความปลอดภัย 4. เช็คสภาพรถให้พร้อมทุกระบบ ทั้งระบบเบรก สภาพเครื่องยนต์ ใบปัดน้ำฝน หรือไฟสัญญาณต่าง ๆ ของรถ…