Tag: นั่งสมาธิ

  • การเจริญสติภาวนา และแผ่เมตตาเป็นประจำ รักษาโรคได้ทั้งทางกายและทางใจ

    การเจริญสติภาวนา และแผ่เมตตาเป็นประจำ รักษาโรคได้ทั้งทางกายและทางใจ

    ปัจจุบันนี้เป็นที่ยอมรับกันในวงกว้างแล้วว่าการเจริญสติ ภาวนาและแผ่เมตตา ช่วยให้มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นได้ การแผ่เมตตาเป็นการแผ่คลื่นพลังงานดี ๆ พลังงานด้านบวกออกไปไกลกว่าตัวตนของเรา ส่งความปรารถนาดีไปสู่คน สัตว์ พืช สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงได้ มีผลที่ดีต่อผู้ที่ปฏิบัติและสรรพสิ่งรอบด้าน ทำให้สังคมนั้น ๆ มีความรักความห่วงใยให้กันและกัน สังคมมีความน่าอยู่ การเจริญสติภาวนาจึงมีประโยชน์มากมาย ในด้านการรักษาโรค ผู้ป่วยที่ได้นำเอาหลักปฏิบัติตามศาสนาของตนมาปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ การทำสมาธิการแผ่เมตตา ช่วยพัฒนาและฟื้นฟูร่างกายได้ดีขึ้น จิตใจและอารมณ์แจ่มใส มีความสุขมากขึ้น นอนหลับได้สบายมากขึ้นด้วย มีผลการวิจัยของสหรัฐอเมริกาในพระภิกษุชาวทิเบตที่ปฏิบัติธรรมมา 10-40 ปี จะมีคลื่นแกมม่าในพระภิกษุสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบตั้งแต่ก่อนการนั่งสมาธิ และสูงขึ้นมากระหว่างการนั่งสมาธิ คลื่นแกมม่านี้มีความสัมพันธ์กับอารมณ์ด้านบวมต่าง ๆ หากภาวนาเมตตาอย่างต่อเนื่องจะเปลี่ยนแปลงสมองแบบถาวรได้ ในตัวคนเราทุกคนมีความรักและเมตตากันอยู่แล้ว สามารถพัฒนาขึ้นได้ด้วยความรู้สึกด้านบวก เริ่มต้นได้ง่ายทุกคนที่ต้องการความสุข โดยเริ่มจากการหัดให้อภัย คิดเชิงบวกบ่อย ๆ ฝึกปฏิบัติภาวนา นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 30 นาที ช่วยให้จิตใจสงบร่มเย็นสบายขึ้น เมื่อได้ดังนี้แล้วจึงแผ่เป็นคลื่นความรักความเมตตาไปยังบุคคลอื่น ตลอดจนสรรพสัตว์ สรรพสิ่งทั้งหลาย นี่คือการแผ่เมตตาที่ส่งกระแสความรักออกไปอย่างแท้จริงค่ะ

  • สวดมนต์ช่วยเยียวยารักษาโรคได้

    สวดมนต์ช่วยเยียวยารักษาโรคได้

    สวดมนต์ช่วยเยียวยารักษาโรคได้ การสวดมนต์นั้นเป็นเครื่องช่วยนำสู่สมาธิได้ ทำให้ผู้สวดจดจ่ออยู่กับบทสวด ใจไม่ฟุ้งไปที่อื่นจึงเกิดสมาธิได้ง่ายมาก เมื่อร่างกายเข้าสู่สมาธิจะหลั่งสารที่กระตุ้นระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้จิตใจและร่างกายมีความผ่อนคลาย สร้างภูมิต้านทานได้ดีขึ้น เมื่อเจ็บป่วยก็จะดีขึ้นตามลำดับ ช่วยบำบัดอาการเจ็บป่วยและเยียวยารักษาโรคได้มากมายไม่ว่าจะเป็น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เบาหวาน ซึมเศร้า มะเร็ง ไมเกรน ออทิสติก โรคอ้วน นอนไม่หลับ พาร์กินสัน ฯลฯ ซึ่งสามารถทำได้หลายแบบได้แก่ 1. สวดมนต์ด้วยตนเอง อาจตื่นมาสวดตอนเช้าหรือก่อนเข้านอน แต่ไม่ควรสวดหลังกินอาหารทันที อาจสวดบทสั้น ๆ ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีก็จะทำให้ร่างกายหลั่งสารซีโรโทนินออกมา หากสวดบทยาวจะช่วยให้ผ่อนคลายและเกิดความศรัทธา ขณะสวดมนต์ให้หลับตาสวดให้เกิดเสียงดังให้ตัวเองได้ยิน 2. การสวดให้ผู้อื่นฟัง อาจเป็นการฟังพระสวด หรือเปิดเทปฟัง ยิ่งหากผู้สวดมีสมาธิ เสียงจะนุ่มและทุม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยาผู้ฟังได้ แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิหรือไม่มีความเมตตาจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วยเลย 3. การสวดมนต์ให้แก่ผู้อื่น เป็นการส่งความปรารถนาดีไปสู่ผู้ป่วยจากคลื่นที่เป็นบวก เมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกล ๆในรูปของคลื่นไฟฟ้า ช่วยเยียวยารักษาผู้อื่นได้ บทสวดมนต์นั้นมีอยู่มากมาย สามารถเลือกบทที่ชอบสวดได้ตามต้องการ เลือกบทที่สวดแล้วสบายใจอย่างอิติปิโสก็ได้ แล้วสวดเท่าอายุ หรือหากต้องการให้ตัวเองหรือผู้อื่นหายเจ็บป่วย นิยมสวดโพชฌงค์เจ็ด ซึ่งมีความแตกต่างจากบทอื่น…

  • การเจริญสมาธิและแผ่เมตตา ช่วยให้สมองและจิตใจดีขึ้นได้

    การเจริญสมาธิและแผ่เมตตา ช่วยให้สมองและจิตใจดีขึ้นได้

    การเจริญสมาธิและแผ่เมตตา ช่วยให้สมองและจิตใจดีขึ้นได้ เรารู้กันมานานแล้วว่าการเจริญเมตตาภาวนา หรือการแผ่เมตตาอย่างเป็นประจำนั้นจะช่วยให้เรากลายเป็นคนที่มีจิตใจดีขึ้น มองโลกในแง่ดี นอนหลับก็ฝันดี  การแผ่เมตตาสามารถแผ่ไปได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ พืช ทุกชนิด แผ่ได้ถึงสรรพสิ่งทั้งปวง  เป็นกระแสแห่งความปราณี ความปรารถนาดี และความรัก ทำให้ผู้ปฏิบัติเองและสังคมรอบข้างมีความรักความเอาใจต่อกันและกันมากขึ้น มีสันติสุขเกิดมากขึ้นในโลก แม้แต่ผู้ที่เจ็บป่วยทางกายอย่างหนักหากได้ลองปฏิบัติสมาธิ สวดมนต์แล้วแผ่เมตตาก็สามารถบรรเทาอาการของโรค และทำให้สุขภาพจิตของผู้ป่วยดีขึ้นมาก  จากผลวิจัยของผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาจากอเมริกา พบว่า พระภิกษุทิเบตที่ปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลาหลายสิบปีนั้น จะมีคลื่นแกมมาที่สูงกว่าพระภิกษุสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบทั้งก่อนการปฏิบัติสมาธิ และยิ่งสูงขึ้นมากในระหว่างการนั่งสมาธิ โดยคลื่นแกมม่านี้มีความสัมพันธ์กับการทำงานของสมอง ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ด้านบวก เช่น ความปิติสุข การมองโลกในแง่ดี การมีเมตตา ความอิ่มเอิบ  คนที่ฝึกสมาธิและแผ่เมตตาบ่อย ๆ อย่างต่อเนื่องจะมีการเปลี่ยนแปลงของสมองแบบถาวรในด้านบวก จึงทำให้เป็นคนที่จิตใจมีความสุข และเผื่อแผ่ความสุขนี้ให้กับผู้อื่นได้ด้วย ในหัวใจของคนทุกคนล้วนมีความเมตตาและความรักเป็นพื้นยืนอยู่แล้ว แต่สามารถยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นได้อีก เพียงฝึกหักการยอมรับและเข้าใจความแตกต่างของผู้อื่น  ฝึกให้อภัย มองโลกในแง่บวก อารมณ์แจ่มใส และสวดมนต์นั่งสมาธิ และแผ่เมตตาอย่างน้อยวันละสามสิบนาทีทุกวัน  เมื่อจิตสงบแล้วจึงค่อยแผ่คลื่นความรักความปรารถนาดีไปยังผู้ใกล้ชิด และแผ่ไปได้ไม่มีประมาณ  ผู้ที่มีเมตตาจิตจากการหัดเจริญสมาธิแผ่เมตตาบ่อย ๆ จะยังให้เป็นผู้มีจิตใจเป็นสุข ตื่นก็สบาย หลับก็ฝันดี … การทำสมาธิแผ่เมตตาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ…