Tag: นักวิจัยสหรัฐ

  • ทีมนักวิจัยในสหรัฐ วิเคราะห์เลือด ระบุผู้มีความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมในอนาคต

    ทีมนักวิจัยในสหรัฐ วิเคราะห์เลือด ระบุผู้มีความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมในอนาคต

    ทีมนักวิจัยในสหรัฐ วิเคราะห์เลือด ระบุผู้มีความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมในอนาคต ทีมนักวิจัยในสหรัฐชี้ว่าระดับไขมันบางชนิดในกระแสเลือดที่ต่ำกว่าปกติสามารถช่วยระบุได้ว่าคุณจะเป็นโรคอัลไซม์เม่อร์สในอนาคตหรือไม่ ในปัจจุบัน วงการแพทย์ยังไม่มีการรักษาโรคอัลไซม์เมอร์ส ที่ได้ผลและการตรวจวินิจฉัยว่า ใครจะเป็นโรคนี้ยังมีวิธีเดียวคือ การแสกนสมองแบบ MRI ที่เสียค่าใช้จ่ายสูง การตรวจเลือดที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนานี้จะช่วยให้การวินิจฉัยโรคอัลไซม์เมอร์สง่ายมากขึ้น ทีมนักวิจัยทำการวัดระดับไขมันมากกว่า 140 ชนิดในตัวอย่างเลือดของอาสาสมัครและพบว่ามีไขมันอยู่ 10 ชนิดที่มีปริมาณน้อยกว่าปกติและตรวจพบในอาสาสมัครที่กลายเป็นโรคอัลไซม์เมอร์สในช่วงห้าปีต่อมา Dr. Mapstone กล่าวว่าระดับไขมันนี้ช่วยทีมวิจัยพยากรณ์ได้แม่นยำถึง 90 เปอร์เซ็นต์ว่าใครจะเป็นโรคอัลไซม์เมอร์สบ้างแต่เขาคิดว่าอาจจะเป็นไปได้ว่าไขมันในกระแสเลือดเหล่านี้บางตัวอาจเปลี่ยนแปลงในกรณีของการเกิดโรคชนิดอื่นๆ และทีมนักวิจัยยังไม่ได้ศึกษาในประเด็นนี้ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญที่ต้องวิเคราะห์กันต่อไป นักวิจัยยกตัวอย่างว่าโรคเบาหวานเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ในผู้สูงวัยและผลการวิจัยชิ้นอื่นๆ ที่ผ่านมาชี้ว่าความผิดปกติในระบบเผาผลาญพลังงานมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคความจำเสื่อมในผู้สูงวัย แต่ข้อมูลที่ได้ จากผลการตรวจเลือดนี้ ยังไม่มีประโยชน์มากนัก เพราะวงการแพทย์ ยังไม่มีวิธีรักษาโรคอัลไซม์เมอร์ส เขากล่าวว่าหากค้นพบวิธีบำบัดโรคเมื่อไหร่ การตรวจเลือดนี้จะมีประโยชน์อย่างมากในการช่วยคัดกรองโรคและนำไปสู่การรักษาแต่เนิ่นๆ

  • LabDoor วิจัยพบว่า น้ำมันปลา ในตลาดสหรัฐหลายยี่ห้อ มีระดับกรดไขมัน omega-3 ต่ำกว่าที่อ้างบนฉลาก

    LabDoor วิจัยพบว่า น้ำมันปลา ในตลาดสหรัฐหลายยี่ห้อ มีระดับกรดไขมัน omega-3 ต่ำกว่าที่อ้างบนฉลาก

    LabDoor วิจัยพบว่า น้ำมันปลา ในตลาดสหรัฐหลายยี่ห้อ มีระดับกรดไขมัน omega-3 ต่ำกว่าที่อ้างบนฉลาก การวิจัยชิ้นใหม่โดยบริษัท LabDoor วิเคราะห์น้ำมันปลาเสริมยี่ห้อดังในสหรัฐ 30 ยี่ห้อด้วยกันเพื่อวัดดูระดับกรดไขมัน omega-3 บริษัทวิจัยพบว่ามีน้ำมันปลาเสริมอย่างน้อย 6 ยี่ห้อที่มีปริมาณกรดไขมันชนิดนี้โดยเฉลี่ยต่ำกว่าระดับที่ระบุไว้บนฉลากถึง 30 สิบเปอร์เซ็นต์ การวิจัยนี้พบปัญหาเพิ่มขึ้นหลังจากแยกวัดระดับกรดไขมัน omega-3 สองชนิดเป็นการเฉพาะคือกรดไขมัน DHA กับกรดไขมัน EPA ผลการวิเคราะห์นี้พบว่าน้ำมันปลาเสริมมากกว่า 10 ยี่ห้อมีระดับกรดไขมัน DHA โดยเฉลี่ยต่ำกว่าปริมาณที่ระบุไวับนฉลากถึง 14 เปอร์เซ็นต์และบางยี่ห้อไม่ระบุปริมาณกรดไขมัน EPA ไว้บนฉลากเลย Dr. Joseph C. Maroon นักประสาทวิทยาที่ศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัย Pittsburgh กล่าวว่ากรดไขมัน omega-3 เสริมเป็นหนึ่งในบรรดาอาหารเสริมสำคัญชนิดหนึ่งที่คนทั่วไปควรรับประทานเพราะเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายหลายส่วนรวมทั้งสุขภาพของสมองและระบบประสาทด้วย อย่างไรก็ตาม การวิจัยยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดถึงประโยชน์ของการรับประทานน้ำมันปลาเสริม มีการศึกษาบางชิ้นในสหรัฐที่ชี้ว่าการรับประทานน้ำมันปลาเสริมในปริมาณมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก ในขณะที่การศึกษาบางชิ้นชี้ว่ากรดไขมัน omega-3 ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใดต่อผู้ป่วยที่มีประวัติว่าเป็นโรคหัวใจ ทางด้านหน่วยงานเอกชนไม่หวังผลกำไร Rock Health ชี้ว่าผลการวิเคราะห์ระดับสารโลหะหนักที่ปนเปื้อนในน้ำมันปลาเสริมหลายยี่ห้อพบว่าทุกยี่ห้อที่ศึกษามีระดับสารปรอทตั้งแต่ 1 – 6…

  • เชื่อหรือไม่ ! การตัวสั่นจากความหนาวนั้น ช่วยเผาผลาญแคลอรี่และลดน้ำหนักได้

    เชื่อหรือไม่ ! การตัวสั่นจากความหนาวนั้น ช่วยเผาผลาญแคลอรี่และลดน้ำหนักได้

    เชื่อหรือไม่ ! การตัวสั่นจากความหนาวนั้น ช่วยเผาผลาญแคลอรี่และลดน้ำหนักได้ รายงานชิ้นใหม่ของ  National Institutes of Health (NIH) ในสหรัฐ บอกว่าอากาศหนาวเย็นนั้นก็อาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพคนเราได้เช่นกัน เพราะเมื่อเรามีอาการตัวสั่นที่เกิดจากความหนาว ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนไอราซิน (Irisin) ออกมา ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการปล่อยไขมันสีน้ำตาลหรือไขมันชนิดดีที่ช่วยเผาผลาญแคลอรี่และทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ ในทำนองเดียวกับการเผาผลาญพลังงานเวลาออกกำลังกาย คุณ Francesco Celi ผู้นำคณะนักวิจัยชุดนี้ อธิบายว่าได้แบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้ออกกำลังกาย อีกกลุ่มหนึ่งให้อยู่ใต้ผ้าห่มเย็นซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่า 12 องศาเซลเซียส แล้ววัดผลที่เกิดขึ้นกับร่างกาย พบว่าทั้งสองกลุ่มมีอาการลั่นเหมือนกันราว 5-10 นาที และทั้งสองกลุ่มยังผลิตฮอร์โมนไอราซินออกมาในปริมาณพอๆ กัน นักวิจัยสรุปว่าอาการตัวสั่นเพราะความหนาวเย็นราว 5-10 นาทีนั้นจะช่วยให้เกิดการเผาผลาญพลังงานได้พอๆ กับการออกกำลังกายราว 1 ชม. ซึ่งการค้นพบนี้อาจช่วยในการพัฒนายารักษาโรคเบาหวานและโรคอ้วนได้ในอนาคต อย่างไรก็ตามผลที่ได้นั้นเป็นผลในระยะสั้น จึงต้องมีการศึกษาถึงผลกระทบในระยะยาวต่อไป รายงานวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Cell Metabolism