Tag: ท้องเฟ้อ

  • ออกกำลังกายพัฒนาสุขภาพ บรรเทาโรคต่าง ๆ ได้

    ออกกำลังกายพัฒนาสุขภาพ บรรเทาโรคต่าง ๆ ได้

    ออกกำลังกายพัฒนาสุขภาพ บรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ การหาเวลาการออกกำลังกายวันละ 30 นาที เพียงแต่สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ยังผลให้สุขภาพกายเราดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วยต่อต้านโรคภัยได้หลากหลาย ซึ่งการออกกำลังกายนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณดังต่อไปนี้ 1. ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกายออกทางรูขุมขนซึ่งก็คือเหงื่อนั่นเอง ช่วยลดสารพิษตกค้างในร่างกายด้วย 2. ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น กว่าร้อยละ 70 ของคนที่ออกกำลังกายจะนอนหลับได้สนิทกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย ทั้งนี้ควรออกกำลังกายก่อนเวลา 3 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยค่ะ 3. ช่วยเสริมสร้างความจำ ทำให้ความจำดีขึ้น กระตุ้นความคิดและทำให้สุขภาพจิตดี ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์และโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ได้ 4. ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดีขึ้น ลดเวลาการย่อยลง ลดความเจ็บปวดจากโรคริดสีดวงทวารและลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ดี ส่งเสริมให้หลอดเลือดและหัวใจทำงานได้มากขึ้น เพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารด้วย 5. ทำให้มีสุขภาพจิตทีดี ลดความเครียด บรรเทาอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวลต่าง ๆ ลดความคิดในการฆ่าตัวตายได้ 6. ช่วยให้กระดูกแข็งแรง มวลกระดูกเพิ่มขึ้นและหนาแน่นขึ้น ลดความเจ็บปวดจากหลังได้ร้อยละ 80 กระตุ้นการทำงานของกระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกรานและกล้ามเนื้อโดยรอบ ช่วยขับของเสียออกจากล้ามเนื้อและกระดูกให้มีความแข็งแรงมากขึ้นได้ 7. ป้องกันโรคหวัด ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวทำงานต่อสู้กับเชื้อโรคได้รวดเร็วและตอบสนองได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงติดโรคเรื้อรังได้…

  • ประโยชน์ 14 ข้อจากการออกกำลังกาย

    ประโยชน์ 14 ข้อจากการออกกำลังกาย

    ประโยชน์ 14 ข้อจากการออกกำลังกาย 1. ลดความเจ็บปวดของร่างกายลงได้หากเกิดอุบัติเหตุหรือความเจ็บป่วย เพราะข้อต่อ กล้ามเนื้อต่าง ๆ จะมีความแข็งแรง จึงทำให้ได้รับผลกระทบจากความเจ็บป่วยหรือเหตุไม่คาดฝันต่าง ๆ ได้น้อยลง 2. ภูมิใจในรูปร่างที่เซ็กซี่ของตนเอง มีความมั่นใจมากขึ้น ทำให้รู้สึกดีต่อตัวเองมากขึ้น ช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศให้มากขึ้นด้วย 3. การออกกำลังกายลดการอักเสบในช่องปากได้ จึงมีปัญหาโรคปริทันต์น้อยลงด้วย 4. ช่วยปลอดปล่อยพลังงานสะสมในร่างกายออกมา ลดอาการอ่อนเพลีย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า อารมณ์ดีขึ้น 5. ลดปริมาณไขมันที่เกิดขึ้นจากความเครียด หรือน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นจากความวิตกกังวล 6. ลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดลงได้ถึงร้อยละ 33 สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้มากขึ้น 7. บำรุงสายตาได้ด้วยนะ ลดภาวะจุดรับภาพเสื่อมที่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุได้ถึงร้อยละ 70 แต่ระหว่างกายออกกำลังกายกลางแจ้งควรสวมแว่นกันรังสียูวีไว้ด้วยล่ะ 8. ช่วยให้นอนหลับได้ลึกขึ้น ยาวนานขึ้น นอนหลับสนิทขึ้น สุขภาพคุณจึงดีขึ้นหลายส่วน 9. แม้แต่การเดินก็ยังช่วยให้คุณห่างไกลโรคเบาหวานได้อีกหลายก้าวแล้ว 10. การออกกำลังกายช่วยลดไขมันรอบเอว ลดแก๊สในร่างกาย กระตุ้นการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้ ป้องกันอาการท้องผูก ท้องเฟ้อ เร่งให้กระบวนการย่อยอาหารเร็วขึ้น 11. ทำให้สมองสดใสขึ้น มีความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ลดลง ป้องกันภาวะสมองตื้นสร้างกล้ามเนื้อให้สมองของตนเองได้…

  • หลับง่ายสบายตัว ด้วยเคล็ดไม่ลับ 7 ข้อ

    หลับง่ายสบายตัว ด้วยเคล็ดไม่ลับ 7 ข้อ

    หลับง่ายสบายตัว ด้วยเคล็ดไม่ลับ 7 ข้อ อาการนอนไม่ค่อยหลับ หรือนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ นั้น มันพาลทำให้หงุดหงิดและง่วงเหงาในเวลากลางวันจริง ๆ ลองมาใช้วิธีง่าย ๆ ต่อไปนี้ช่วยปรับปรุงการนอนของคุณหน่อยดีไหมคะ 1. ก่อนนอนไม่ควรทานอาหารหนักท้องมากเกินไป เน้นอาหารจำพวกผัก ผลไม้ ลดแป้งลง ทานเนื้อสัตว์และไขมันให้น้อยลงด้วย 2. ชาจากสมุนไพรบางชนิด ช่วยย่อยให้คุณสบายท้องได้ ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยขับลม แล้วยังทำให้หลับสบายขึ้นด้วยเพียงชงอุ่นๆ ก่อนนอนดื่มสักถ้วย มีให้เลือกหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น ชาคาโมไมล์ ชาเปปเปอร์มิ้นท์ ชาตะไคร้ ชะเอมเทศ ฯลฯ 3. หากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ เช่น ฟังเพลงคลาสสิกเบาๆ เล่นโยคะ แช่น้ำอุ่น ๆ หรือนั่งสมาธิก็ได้ 4. ลองใช้น้ำมันหอมระเหยดู มีหลายกลิ่นที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด หลับสบายได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นลาเวนเดอร์ คาโมไมล์ วานิลลา ส้ม ลองหยดบนหมอนเล็กน้อย จะทำให้คุณหลับได้สนิทขึ้นมากค่ะ 5. สำหรับคนที่มีคู่รัก…

  • “ขิง” สมุนไพรสร้างความอบอุ่นในฤดูหนาว

    “ขิง” สมุนไพรสร้างความอบอุ่นในฤดูหนาว

    “ขิง” สมุนไพรสร้างความอบอุ่นในฤดูหนาว ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงจากฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาวนั้น จะเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอลงมากกว่าเดิม ทำให้เป็นหวัดได้ง่าย ระบบย่อยอาหารก็ไม่ดี ท้องเฟ้อ ท้องอืดได้ ดังนั้นอาหารที่เหมาะสำหรับฤดูหนาวก็ต้องเป็นอาหารธาตุร้อน มีรสชาติเผ็ดร้อนที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกายคุณได้ ป้องกันไข้หวัดและความเจ็บป่วยนานาชนิดด้วยค่ะ ซึ่งสมุนไพรที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกายเราและหาได้ง่ายในเมืองไทยก็คือ “ขิง” นั่นเอง ขิงเป็นสมุนไพรที่ถูกใช้กันมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วในทวีปเอเชียนี้ นอกจากใช้ทำอาหารได้แล้วก็ยังนำเอามาสกัดเพื่อรักษาความเจ็บป่วยด้วย ในขิงมีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญก็คือ จิงเจอรอล และ โชกอร สองตัวนี้ช่วยรักษาอาหารท้องอืดท้องเฟ้อ หรือปวดมวนท้องด้วย หากคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตรอยู่ สารออกฤทธิ์จากขิงจะส่งผ่านไปทางน้ำนม ทำให้ลูกน้อยไม่มีอาการท้องอืดได้ ผู้ที่มักมีอาการท้องเสีย ให้ทานอาหารที่ย่อยง่าย ลดอาการแข็งลง ๆ แล้วดื่มน้ำขิงช่วย จะลดการอักเสบที่เกิดจากพิษของเชื้อโรคในอาหาร ช่วยขับพิษออกจากร่างกาย ในส่วนผู้ที่เป็นไข้หวัด ไอ เจ็บคอ ปวดหัว การทานขิงสดช่วยได้มากเลย สำหรับคนที่มักจะเมารถ เมาเรือ คลื่นไส้ อาเจียนในเวลาที่อาหารเป็นพิษ ให้หยุดทานอาหารให้หมดแล้วพยายามขับของเสียออก แล้วตามด้วยน้ำขิงลงไป จะลดอาการคลื่นไส้ได้ดีมากเช่นกัน หากคุณอยู่นอกบ้าน หรือระหว่างเดินทาง หากมีอาการเมารถ เมาเรือ คุณควรหาน้ำขิงดื่ม หรือจะซื้อจิงเจอร์เอล มาดื่มก็บรรเทาได้เช่นกัน ในช่วงฤดูหนาวควรทานอาหารที่ปรุงด้วยขิงเปลี่ยนไปเมนูไปเรื่อย ๆ จะได้ไม่เบื่อ เช่น…

  • นม.. ดื่มแล้วท้องเสีย จะแก้ไขอย่างไรดี

    นม.. ดื่มแล้วท้องเสีย จะแก้ไขอย่างไรดี

    นม.. ดื่มแล้วท้องเสีย จะแก้ไขอย่างไรดี น้ำนมของวัว แพะ แกะ หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดใดก็ตาม มักเป็นอาหารที่มีประโยชน์มาก มีวิตามิน เกลือแร่ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ที่มีสัดส่วนที่พอดีพอเหมาะสำหรับการเลี้ยงลูกน้อยให้เจริญเติบโตในช่วงที่ยังหาอาหารกินเองไม่ได้ และน้ำนมจากสัตว์หลายชนิดนั้น มนุษยเองก็สามารถนำเอามาดื่มได้ เพราะเป็นการเติมสารอาหารต่าง ๆ ให้กับร่างกาย ดังเช่น น้ำนมวัวเป็นต้น แต่หลายคนกลับดื่มนมวัวแล้วมีปัญหาท้องเสีย ทำให้เลิกดื่มไปเลย จึงเสียโอกาสในการได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะแคลเซียมในนม ซึ่งอาหารอื่นก็สามารถทดแทนได้เช่นกัน แต่ต้องทานในปริมาณมาก แต่ในขณะที่ดื่มนมวันละ 2-3 แก้วต่อวันก็ได้รับเพียงพอแล้ว ซึ่งง่ายและสะดวกกว่ากันมาก แล้วจะทำอย่างไรดีสำหรับคนที่มีอาการท้องเสียเพราะนม การที่ดื่มนมแล้วมีอาการท้องเสีย ท้องเฟ้อ จุกเสียด แน่นท้อง ตดบ่อย ลำไส้ปั่นป่วนนั้น เพราะในน้ำนมสัตว์จะมีน้ำตาลแลคโทสเป็นส่วนประกอบ มนุษย์ทุกคนจะมีน้ำย่อยแลคโทสเหล่านั้นตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 5 ขวบแล้วก็จะค่อย ๆ หมดไป จนไม่สามารถย่อยน้ำตาลในนมหรือน้ำตาลแลคโทสได้ ยิ่งหากไม่ได้ดื่มนมวัวตั้งแต่เด็กก็ยิ่งมีปฏิกิริยามากขึ้นเมื่อเติบโตไป จึงทำให้เกิดอาการดังกล่าวได้เมื่อดื่มนม การแก้ปัญหาผู้ที่มีอาการท้องเสียเพราะนมนี้ ก็คือให้พยายามดื่มวันละน้อย ๆ ก่อน แล้วค่อยเพิ่มขึ้นทีละนิดไปเรื่อย ๆ ควรดื่มหลังอาหารและดื่มร่วมกับอาหารชนิดอื่น ไม่ควรดื่มตอนท้องว่าง เพราะจะทำให้เกิดอาการไม่สบายท้องได้ แต่หากยังมีอาการอยู่…

  • 4 เคล็ดลับป้องกันการเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร

    4 เคล็ดลับป้องกันการเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร

    4 เคล็ดลับป้องกันการเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร แก๊สที่อยู่ในกระเพาะหรือทางเดินอาหารของเรานั้น ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการที่เรากลืนลงท้องไปนั่นเอง อาจจะติดตามไปกับการกลืนอาหาร กลืนน้ำ กลืนน้ำลาย และอีกส่วนก็คือการเกิดแก๊สในร่างกายจากย่อยอาหารในลำไส้ เช่น พวกนมหรือถั่วเป็นต้น การระบายแก๊สในกระเพาะส่วนมากก็จะเป็นการเรอออกมา หากเป็นแก๊สในลำไส้นั้นสามารถซึมผ่านผนังลำไส้ใหญ่ได้ แต่หากดูดซึมไม่ทันก็อาจเกิดสิ่งที่เรียกว่า การผายลมออกมาได้ การผายลมและการอุจจาระนั้นต้องนับว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเป็นการระบายของเสียออกจากร่างกายด้วยการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ เพียงแต่การผายลมจะเป็นแก๊ส หากไม่มีการผายลม แก๊สก็จะสะสมอยู่ในทางเดินอาหารจนรู้สึกอึดอัด ปวดมวนแน่นท้อง ทำให้ท้องอืดขึ้นจึงควรป้องกันปัญหาเหล่านี้โดย – เวลาทานอาหารให้เคี้ยวให้ละเอียดที่สุด เพื่อให้อาหารถูกย่อยได้ง่ายขึ้น ไม่ควรพูดคุยมากเกินไปเพราะจะทำให้อากาศเข้าสู่ทางเดินอาหารมากเกินไปด้วย – หลีกเลี่ยงการอมลูกอม สูบบุหรี่ ดื่มน้ำอัดลมเคี้ยวหมากฝรั่ง เพราะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ – กินอาหารที่หลากหลาย และให้ครบหมู่ จะทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น ไม่ควรกินเนื้อสัตว์มากไปเพราะจะเกิดการหมักหมมและเกิดแก๊สมากขึ้น รวมไปถึงถั่วชนิดต่าง ๆ กะหล่ำปลี ดอกกะล่ำ ขนมปังสด กาแฟ ช็อกโกแลต แตงกวา ของทอด นม ก็ทำให้เกิดแก๊สได้มากเช่น การ ดื่มนมโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวจะช่วยให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น ลดการเกิดแก๊สได้ – ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบทางเดินอาหารทำงานดีขึ้น ช่วยขับลมด้วย ซึ่งจะออกมาทั้งในรูปแบบของการเรอและการผายลมนั่นเอง ผู้ที่มักมีปัญหาอึดอัดแน่นท้อง…

  • ทำความเข้าใจกันใหม่กับ…โรคกรดไหลย้อน

    ทำความเข้าใจกันใหม่กับ…โรคกรดไหลย้อน

    ทำความเข้าใจกันใหม่กับ…โรคกรดไหลย้อน เดี๋ยวนี้โรคกรดไหลย้อนไม่ใช่โรคใหม่อีกต่อไปแล้วนะคะ แต่เนื่องจากในปัจจุบันมีการโฆษณาบิดเบือนความเข้าใจของโรคนี้เพื่อหลอกขายยาลดกรดอย่างแรงกลุ่มหนึ่งอยู่ บทความวันนี้จึงจะพาคุณผู้อ่านได้มาทำความเข้าใจกันใหม่เกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อนค่ะ “โรคกรดไหลย้อน” คือภาวะที่มีน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนหน้าอกหรือจุกเสียดลิ้นปี่ เพราะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารนั้นมีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้แสบคอ ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย โดยปกตินั้นการที่กรดหรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาจนป่วยเป็นโรคนี้ได้นั้นพบได้น้อยมาก เพราะร่างกายเราได้มีวิธีการที่ดีในการกันกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาได้ แต่บางครั้งเกิดจากการย่อยอาหารไม่ปกติ เช่น กินอาหารที่ย่อยยาก หรือเคี้ยวไม่ละเอียด ทำให้ท้องอืด เรอ และเกิดแรงดันในกระเพาะขึ้นด้านบนจนขย้อนให้น้ำย่อยที่มีกรดไหลย้อนกลับขึ้นมา จนเกิดอาการแสบร้อนในอก แสบคอ อาเจียนดังกล่าว แม้อาการเหล่านี้จะสามารถเป็นได้ทุกคน แต่ก็ไม่ได้บ่อย ๆ แต่หากเป็นบ่อยจึงจะเรียกว่า โรคกรดไหลย้อน ซึ่งอาจมีความผิดปกติของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างและมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เข้าร่วมด้วย ได้แก่ อ้วนลงพุง, ชอบกินอาหารมาก ๆ , กินแต่ของมัน ของทอด, ผู้ที่กินอาหารอิ่มแล้วรีบนอนเลย, ผู้ที่ชอบดื่มน้ำอัดลม ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ฯลฯ แต่ผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงเลยแล้วเกิดอาการขึ้นมานาน ๆ ที ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาลดกรดแบบแรง ๆ ก็ได้ จะมีโรคกรดไหลย้อนอีกชนิดหนึ่ง ที่มีอาการเจ็บคอบ่อย ๆ เสียงแหบ…

  • World Cancer Research Fund แห่งประเทศอังกฤษ ยันอาหารไทยมีคุณค่าทางโภชนาการสูง!

    World Cancer Research Fund แห่งประเทศอังกฤษ ยันอาหารไทยมีคุณค่าทางโภชนาการสูง!

    World Cancer Research Fund แห่งประเทศอังกฤษ ยันอาหารไทยมีคุณค่าทางโภชนาการสูง! มีองค์การที่สำคัญแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร ก็คือ องค์กรวิจัยมะเร็งโลก หรือ World cancer research fund ได้แนะนำให้คนในชาติของตนเองเมื่อไปทานอาหารนอกบ้านหรือนอกประเทศแล้ว ให้ทานอาหารจากประเทศจีน อิตาลี อินเดีย และอาหารไทย เพราะจัดว่าเป็นอาหารที่คุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก นั่นเป็นเพราะว่าอาหารไทยเองเป็นอาหารที่รสชาติอร่อย มีสัดส่วนของสารอาหารที่พอเหมาะและมีคุณภาพ มีความแตกต่างกันไปตามภูมิภาค และมีให้อาหารให้เลือกกินหลากหลายในแต่ละฤดูกาล แต่สำหรับคนไทยกลับกินอาหารไทยน้อยลงเอง มีการดัดแปลงสูตรกันมากขึ้น หรือนิยมทานอาหารจานด่วนกันมากขึ้น ซึ่งอาหารจานด่วนเหล่านี้ มักมีแคลอรี่สูง มีสัดส่วนของแป้ง ไขมัน และเนื้อสัตว์มากขึ้น ปรุงแต่งรสชาติมากขึ้น เพิ่มนมเนย ไขมันต่าง ๆ เข้าไปมากกว่าเดิม สมดุลของสารอาหารจึงเสียไป ทำให้ตัวคนไทยเองมีภาวะเป็นโรคอ้วนกันมากขึ้น สุขภาพเสื่อมโทรม ทั้งที่เป็นเจ้าของอาหารที่ดีที่สุดชนิดหนึ่งในโลก แล้วในอาหารไทยมีดีอะไร ต่างชาติจึงแนะนำให้ทานกัน หากจะนับอาหารที่เด่น ๆ และอร่อยถูกปากชาวต่างชาติ ก็ได้แก่ – ต้มยำต่าง ๆ มีแคลอรี่ต่ำ มีสมุนไพรบำรุงร่างกาย และมีโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมันสูง – แกงเลียง…

  • หลังทานอาหารอิ่ม ๆ อย่าทำแบบนี้!!!

    หลังทานอาหารอิ่ม ๆ อย่าทำแบบนี้!!!

    หลังทานอาหารอิ่ม ๆ อย่าทำแบบนี้!!! 1. อย่าเพิ่งสูบบุหรี่ เพราะจากการทดลองพบว่าการสูบบุหรี่หลังอาหารนั้น เท่ากับการสูบบุหรี่ยามปกติถึงสิบมวนเลยทีเดียว ดังนั้นโอกาสการเป็นมะเร็งจึงสูงขึ้น 2. อย่าเพิ่งทานผลไม้หลังอาหาร ให้ทานในช่วงเวลาหลังอาหารไปแล้ว 1-2 ชั่วโมงจะดีกว่า 3. อย่าเพิ่งดื่มน้ำชา เพราะใบชามีความเป็นกรดสูง จึงทำให้โปรตีนในอาหารกระด้างขึ้น จึงย่อยยาก 4. หลังอิ่มใหม่ ๆ อย่าเพิ่งขยายเข็มขัด เพราะจะทำให้ลำไส้ขยับตัวไม่ปกติ และทำให้ลำไส้ทำงานไม่ปกติได้ด้วย 5. หลังการอิ่มข้าว อย่าเพิ่งอาบน้ำ เพราะเลือดจะไหลเวียนไปที่มือและเท้า จึงทำให้เลือดบริเวณท้องไหลเวียนไม่ดี จึงส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดีด้วย 6. หลังทานอาหาร อย่าเพิ่งเดินทันทีตามที่เคยเชื่อกันมา เพราะนั่นจะทำให้การย่อยเพื่อดูดซึมไม่ดีเท่าที่ควร ควรรออย่างน้อยสักครึ่งชั่วโมงดีกว่า 7. อย่าเพิ่งนอนทันที เพราะอาจทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เพราะอาหารย่อยไม่เต็มที่ได้ อีกอย่างจะทำให้อ้วนด้วยนะคะ  

  • 6 พืชผักสมุนไพร ที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร

    6 พืชผักสมุนไพร ที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร

    6 พืชผักสมุนไพร ที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร สำหรับคนที่มีมักจะมีปัญหาในเรื่องของการย่อยอาหาร และการดูดซึมอาหารอยู่บ่อย ๆ ทุกมื้อของอาหารลองทานผักหรือสมุนไพรเหล่านี้ ดูจะช่วยลดอาการในช่องท้องได้ดีเลยทีเดียวค่ะ 1. พริกขี้หนูสด ความเผ็ดร้อนของพริกช่วยให้ช่องปากหลั่งน้ำลายออกมามากขึ้น จึงทำให้แป้งถูกย่อยและดูดซึมในปากได้ดี กระเพาะและลำไส้จึงทำงานน้อยลง 2. กระเพรา แม้ผัดกระเพราะจะดูเป็นอาหารสิ้นคิดก็ตาม แต่สรรพคุณของผักชนิดนี้นั้น มีเหลือคณานับ เพราะช่วยให้กระเพาะอาหารขับน้ำดีออกมามากขึ้น จึงสามารถย่อยอาหารเราได้มากขึ้น ช่วยย่อยไขมัน และระบายแก๊สได้ จึงลดอาการจุกเสียดไปด้วยในตัว 3. กระเทียม การทานกระเทียมสด ๆ ทันทีหลังอาหารจะช่วยให้กระเพาะของคุณย่อยอาหารได้ดีขึ้น เหมาะมากสำหรับผู้ที่มีปัญหากระเพาะไม่ย่อยอาหาร แล้วยังช่วยแก้ท้องอืด ขับลมได้ด้วยนะ 4. แมงลัก เป็นยาช่วยย่อยชั้นเลิศเลยทีเดียว แถมยังช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ เพียงทานใบแมงลักสด ๆ มื้อละ 4-5 ใบก็พอ สบายท้องขึ้นเยอะเลยค่ะ 5. หอมแดง หอมแดงมีสารฟลาโวนอยด์ เพคติน ไกลโคไซด์ และกลูโคคินินอยู่สูงมาก ช่วยบำรุงลำไส้ และช่วยย่อยอาหาร ทำให้เจริญอาหารด้วย 6. ตะไคร้ หากการกินสด ๆ ทำให้รู้สึกว่ากินยาก…