Tag: ท้องอืด

  • ออกกำลังกายพัฒนาสุขภาพ บรรเทาโรคต่าง ๆ ได้

    ออกกำลังกายพัฒนาสุขภาพ บรรเทาโรคต่าง ๆ ได้

    ออกกำลังกายพัฒนาสุขภาพ บรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ การหาเวลาการออกกำลังกายวันละ 30 นาที เพียงแต่สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ยังผลให้สุขภาพกายเราดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วยต่อต้านโรคภัยได้หลากหลาย ซึ่งการออกกำลังกายนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณดังต่อไปนี้ 1. ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกายออกทางรูขุมขนซึ่งก็คือเหงื่อนั่นเอง ช่วยลดสารพิษตกค้างในร่างกายด้วย 2. ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น กว่าร้อยละ 70 ของคนที่ออกกำลังกายจะนอนหลับได้สนิทกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย ทั้งนี้ควรออกกำลังกายก่อนเวลา 3 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยค่ะ 3. ช่วยเสริมสร้างความจำ ทำให้ความจำดีขึ้น กระตุ้นความคิดและทำให้สุขภาพจิตดี ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์และโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ได้ 4. ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดีขึ้น ลดเวลาการย่อยลง ลดความเจ็บปวดจากโรคริดสีดวงทวารและลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ดี ส่งเสริมให้หลอดเลือดและหัวใจทำงานได้มากขึ้น เพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารด้วย 5. ทำให้มีสุขภาพจิตทีดี ลดความเครียด บรรเทาอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวลต่าง ๆ ลดความคิดในการฆ่าตัวตายได้ 6. ช่วยให้กระดูกแข็งแรง มวลกระดูกเพิ่มขึ้นและหนาแน่นขึ้น ลดความเจ็บปวดจากหลังได้ร้อยละ 80 กระตุ้นการทำงานของกระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกรานและกล้ามเนื้อโดยรอบ ช่วยขับของเสียออกจากล้ามเนื้อและกระดูกให้มีความแข็งแรงมากขึ้นได้ 7. ป้องกันโรคหวัด ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวทำงานต่อสู้กับเชื้อโรคได้รวดเร็วและตอบสนองได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงติดโรคเรื้อรังได้…

  • หลับง่ายสบายตัว ด้วยเคล็ดไม่ลับ 7 ข้อ

    หลับง่ายสบายตัว ด้วยเคล็ดไม่ลับ 7 ข้อ

    หลับง่ายสบายตัว ด้วยเคล็ดไม่ลับ 7 ข้อ อาการนอนไม่ค่อยหลับ หรือนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ นั้น มันพาลทำให้หงุดหงิดและง่วงเหงาในเวลากลางวันจริง ๆ ลองมาใช้วิธีง่าย ๆ ต่อไปนี้ช่วยปรับปรุงการนอนของคุณหน่อยดีไหมคะ 1. ก่อนนอนไม่ควรทานอาหารหนักท้องมากเกินไป เน้นอาหารจำพวกผัก ผลไม้ ลดแป้งลง ทานเนื้อสัตว์และไขมันให้น้อยลงด้วย 2. ชาจากสมุนไพรบางชนิด ช่วยย่อยให้คุณสบายท้องได้ ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยขับลม แล้วยังทำให้หลับสบายขึ้นด้วยเพียงชงอุ่นๆ ก่อนนอนดื่มสักถ้วย มีให้เลือกหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น ชาคาโมไมล์ ชาเปปเปอร์มิ้นท์ ชาตะไคร้ ชะเอมเทศ ฯลฯ 3. หากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ เช่น ฟังเพลงคลาสสิกเบาๆ เล่นโยคะ แช่น้ำอุ่น ๆ หรือนั่งสมาธิก็ได้ 4. ลองใช้น้ำมันหอมระเหยดู มีหลายกลิ่นที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด หลับสบายได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นลาเวนเดอร์ คาโมไมล์ วานิลลา ส้ม ลองหยดบนหมอนเล็กน้อย จะทำให้คุณหลับได้สนิทขึ้นมากค่ะ 5. สำหรับคนที่มีคู่รัก…

  • “ขิง” สมุนไพรสร้างความอบอุ่นในฤดูหนาว

    “ขิง” สมุนไพรสร้างความอบอุ่นในฤดูหนาว

    “ขิง” สมุนไพรสร้างความอบอุ่นในฤดูหนาว ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงจากฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาวนั้น จะเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอลงมากกว่าเดิม ทำให้เป็นหวัดได้ง่าย ระบบย่อยอาหารก็ไม่ดี ท้องเฟ้อ ท้องอืดได้ ดังนั้นอาหารที่เหมาะสำหรับฤดูหนาวก็ต้องเป็นอาหารธาตุร้อน มีรสชาติเผ็ดร้อนที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกายคุณได้ ป้องกันไข้หวัดและความเจ็บป่วยนานาชนิดด้วยค่ะ ซึ่งสมุนไพรที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกายเราและหาได้ง่ายในเมืองไทยก็คือ “ขิง” นั่นเอง ขิงเป็นสมุนไพรที่ถูกใช้กันมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วในทวีปเอเชียนี้ นอกจากใช้ทำอาหารได้แล้วก็ยังนำเอามาสกัดเพื่อรักษาความเจ็บป่วยด้วย ในขิงมีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญก็คือ จิงเจอรอล และ โชกอร สองตัวนี้ช่วยรักษาอาหารท้องอืดท้องเฟ้อ หรือปวดมวนท้องด้วย หากคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตรอยู่ สารออกฤทธิ์จากขิงจะส่งผ่านไปทางน้ำนม ทำให้ลูกน้อยไม่มีอาการท้องอืดได้ ผู้ที่มักมีอาการท้องเสีย ให้ทานอาหารที่ย่อยง่าย ลดอาการแข็งลง ๆ แล้วดื่มน้ำขิงช่วย จะลดการอักเสบที่เกิดจากพิษของเชื้อโรคในอาหาร ช่วยขับพิษออกจากร่างกาย ในส่วนผู้ที่เป็นไข้หวัด ไอ เจ็บคอ ปวดหัว การทานขิงสดช่วยได้มากเลย สำหรับคนที่มักจะเมารถ เมาเรือ คลื่นไส้ อาเจียนในเวลาที่อาหารเป็นพิษ ให้หยุดทานอาหารให้หมดแล้วพยายามขับของเสียออก แล้วตามด้วยน้ำขิงลงไป จะลดอาการคลื่นไส้ได้ดีมากเช่นกัน หากคุณอยู่นอกบ้าน หรือระหว่างเดินทาง หากมีอาการเมารถ เมาเรือ คุณควรหาน้ำขิงดื่ม หรือจะซื้อจิงเจอร์เอล มาดื่มก็บรรเทาได้เช่นกัน ในช่วงฤดูหนาวควรทานอาหารที่ปรุงด้วยขิงเปลี่ยนไปเมนูไปเรื่อย ๆ จะได้ไม่เบื่อ เช่น…

  • รักษาอาการท้องผูกได้ด้วยตนเอง

    รักษาอาการท้องผูกได้ด้วยตนเอง

    รักษาอาการท้องผูกได้ด้วยตนเอง คนบางคนก็โชคดีมากเลยนะคะที่เกิดมาไม่เคยต้องทุกข์ทรมานกับการเบ่งอุจจาระเลย หลายคนเลยทีเดียวที่ตื่นมาก็ไม่ต้องรอแถมยังถ่ายง่ายและเป็นเวลาอีกด้วย แต่คนบางคนที่มีอาการท้องผูกไม่โชคดีเช่นนั้น บางคนเว้นช่วงการถ่ายถึงสามวันเลยทีเดียว ว่าจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำสึกครั้ง มักเป็นคนที่มีนิสัยการกินที่ไม่ค่อยดีเท่าไร เลือกเข้าห้องน้ำ ไม่ค่อยดื่มน้ำ ไม่ทานผักผลไม้ และถ่ายไม่เป็นเวลา มักชอบอั้นอุจจาระด้วย เลยทำให้ระบบการขับถ่ายยิ่งแย่ไปใหญ่ ซึ่งนอกจากทำให้รู้สึกปวดมวนท้องตลอดเวลาแล้ว ยังเป็นสิวแทบทุกชนิด ทั้งสิวอุดตัน สิวอักเสบ รู้สึกตัวอืด ๆ บวม ๆ และผิวพรรณไม่สดใส ดังนั้นต่อไปนี้เป็นเทคนิคในการปรับการถ่ายอุจจาระให้ดีขึ้นค่ะ – ทุกวันหลังจากตื่นอน ก่อนอาบน้ำแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำอุ่น ๆ หนึ่งแก้ว ช่วยกระตุ้นเพาะอาหาร ค่อย ๆ ดื่มนะคะ แต่ควรดื่มให้หมดก่อนอาหารเช้า – ให้ลองทานผลไม้ก่อนทานอาหารเช้าสักครึ่งชั่วโมง จะเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ต่ำกว่าสี่คำ จะเป็นแอปเปิ้ล มะละกอ กล้วยน้ำว้า ฯลฯ แล้วอย่าดื่มน้ำเพราะจะทำให้น้ำย่อยเจือจางได้ ลองดูนะคะเพราะบางคนนั้นแค่ทานผลไม้ผ่านไปชั่วโมงกว่า ๆ ก็เข้าห้องน้ำถ่ายเลยค่ะ โล่งมาก ๆ – นอกจากนี้แล้วในระหว่างวัน หรือในมื้ออาหารอื่น ๆ ให้ทานผักผลไม้ให้มากขึ้น – ดื่มน้ำมาก…

  • ภัยจากการแพ้นมวัวในเด็กเล็ก

    ภัยจากการแพ้นมวัวในเด็กเล็ก

    ภัยจากการแพ้นมวัวในเด็กเล็ก ส่วนใหญ่แล้วเด็กที่มีเด็กที่แพ้โปรตีนในนมวัวนั้น กว่าครึ่งจะแสดงอาการออกมาให้เห็นตั้งแต่อายุน้อยกว่า 1 เดือน โดยจะแสดงอาการเป็นผื่น รองลงมาเป็นอาการทางระบบทางเดินอาหาร ในจำนวนของเด็กที่กินนมวัวก่อนอายุครบหกเดือนนั้น ครึ่งหนึ่งจะแพ้นมวัว โดยจะมีอาการอย่างละเอียดดังต่อไปนี้ 1. แสดงอาการที่ระบบทางเดินอาหาร มักจะปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก ท้องเสีย โคลิก อาเจียน กรดไหลย้อน ถ่ายเป็นเลือดและน้ำหนักขึ้นน้อย 2. มีอาการผิวหนังอักเสบ มีผื่นคัน ชันตุ น้ำเหลืองเยิ้ม ลมพิษ ผิวแห้ง 3. มีปัญหาในระยะหายใจ ทั้งการนอนกรน คัดจมูก น้ำมูกไหล คันตาคันจมูก เลือดกำเดาไหล มีเสมหะในคอ หอบหืด กระแอมบ่อย ไซนัสอักเสบ ทอลซิลอักเสบ หูชั้นล่างอักเสบ ต่อมอดีนอยด์โต ต่อมน้ำเหลืองโต ตับและม้ามโต ภาวะหลับตายเนื่องจากแพ้โปรตีนนมวัว 4. มะเร็งในส่วนต่าง ๆ ทั้งต่อมน้ำเหลือง เต้านม รังไข่ ต่อมลูกหมาก ปอด ไต ตับ ลำไส้…

  • 4 เคล็ดลับป้องกันการเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร

    4 เคล็ดลับป้องกันการเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร

    4 เคล็ดลับป้องกันการเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร แก๊สที่อยู่ในกระเพาะหรือทางเดินอาหารของเรานั้น ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการที่เรากลืนลงท้องไปนั่นเอง อาจจะติดตามไปกับการกลืนอาหาร กลืนน้ำ กลืนน้ำลาย และอีกส่วนก็คือการเกิดแก๊สในร่างกายจากย่อยอาหารในลำไส้ เช่น พวกนมหรือถั่วเป็นต้น การระบายแก๊สในกระเพาะส่วนมากก็จะเป็นการเรอออกมา หากเป็นแก๊สในลำไส้นั้นสามารถซึมผ่านผนังลำไส้ใหญ่ได้ แต่หากดูดซึมไม่ทันก็อาจเกิดสิ่งที่เรียกว่า การผายลมออกมาได้ การผายลมและการอุจจาระนั้นต้องนับว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเป็นการระบายของเสียออกจากร่างกายด้วยการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ เพียงแต่การผายลมจะเป็นแก๊ส หากไม่มีการผายลม แก๊สก็จะสะสมอยู่ในทางเดินอาหารจนรู้สึกอึดอัด ปวดมวนแน่นท้อง ทำให้ท้องอืดขึ้นจึงควรป้องกันปัญหาเหล่านี้โดย – เวลาทานอาหารให้เคี้ยวให้ละเอียดที่สุด เพื่อให้อาหารถูกย่อยได้ง่ายขึ้น ไม่ควรพูดคุยมากเกินไปเพราะจะทำให้อากาศเข้าสู่ทางเดินอาหารมากเกินไปด้วย – หลีกเลี่ยงการอมลูกอม สูบบุหรี่ ดื่มน้ำอัดลมเคี้ยวหมากฝรั่ง เพราะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ – กินอาหารที่หลากหลาย และให้ครบหมู่ จะทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น ไม่ควรกินเนื้อสัตว์มากไปเพราะจะเกิดการหมักหมมและเกิดแก๊สมากขึ้น รวมไปถึงถั่วชนิดต่าง ๆ กะหล่ำปลี ดอกกะล่ำ ขนมปังสด กาแฟ ช็อกโกแลต แตงกวา ของทอด นม ก็ทำให้เกิดแก๊สได้มากเช่น การ ดื่มนมโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวจะช่วยให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น ลดการเกิดแก๊สได้ – ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบทางเดินอาหารทำงานดีขึ้น ช่วยขับลมด้วย ซึ่งจะออกมาทั้งในรูปแบบของการเรอและการผายลมนั่นเอง ผู้ที่มักมีปัญหาอึดอัดแน่นท้อง…

  • ทำความเข้าใจกันใหม่กับ…โรคกรดไหลย้อน

    ทำความเข้าใจกันใหม่กับ…โรคกรดไหลย้อน

    ทำความเข้าใจกันใหม่กับ…โรคกรดไหลย้อน เดี๋ยวนี้โรคกรดไหลย้อนไม่ใช่โรคใหม่อีกต่อไปแล้วนะคะ แต่เนื่องจากในปัจจุบันมีการโฆษณาบิดเบือนความเข้าใจของโรคนี้เพื่อหลอกขายยาลดกรดอย่างแรงกลุ่มหนึ่งอยู่ บทความวันนี้จึงจะพาคุณผู้อ่านได้มาทำความเข้าใจกันใหม่เกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อนค่ะ “โรคกรดไหลย้อน” คือภาวะที่มีน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนหน้าอกหรือจุกเสียดลิ้นปี่ เพราะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารนั้นมีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้แสบคอ ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย โดยปกตินั้นการที่กรดหรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาจนป่วยเป็นโรคนี้ได้นั้นพบได้น้อยมาก เพราะร่างกายเราได้มีวิธีการที่ดีในการกันกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาได้ แต่บางครั้งเกิดจากการย่อยอาหารไม่ปกติ เช่น กินอาหารที่ย่อยยาก หรือเคี้ยวไม่ละเอียด ทำให้ท้องอืด เรอ และเกิดแรงดันในกระเพาะขึ้นด้านบนจนขย้อนให้น้ำย่อยที่มีกรดไหลย้อนกลับขึ้นมา จนเกิดอาการแสบร้อนในอก แสบคอ อาเจียนดังกล่าว แม้อาการเหล่านี้จะสามารถเป็นได้ทุกคน แต่ก็ไม่ได้บ่อย ๆ แต่หากเป็นบ่อยจึงจะเรียกว่า โรคกรดไหลย้อน ซึ่งอาจมีความผิดปกติของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างและมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เข้าร่วมด้วย ได้แก่ อ้วนลงพุง, ชอบกินอาหารมาก ๆ , กินแต่ของมัน ของทอด, ผู้ที่กินอาหารอิ่มแล้วรีบนอนเลย, ผู้ที่ชอบดื่มน้ำอัดลม ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ฯลฯ แต่ผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงเลยแล้วเกิดอาการขึ้นมานาน ๆ ที ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาลดกรดแบบแรง ๆ ก็ได้ จะมีโรคกรดไหลย้อนอีกชนิดหนึ่ง ที่มีอาการเจ็บคอบ่อย ๆ เสียงแหบ…

  • ดูแลตนเองอย่างไร ห่างไกลท้องผูก

    ดูแลตนเองอย่างไร ห่างไกลท้องผูก

    ดูแลตนเองอย่างไร ห่างไกลท้องผูก หากเราไม่ได้ถ่ายอุจจาระทุกวัน กากอาหารหรืออุจจาระที่คั่งค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่นั้นจะทำให้รู้สึกอึดอัด ท้องอืด แต่ถ้าค้างอยู่มากและเป็นเวลานาน จะจับตัวเป็นก้อนแข็ง ถ่ายลำบากมาก แบบที่เราเรียกว่าท้องผูกนั่นเอง อุจจาระที่ค้างอยู่ในลำไส้นาน ๆ จะเกิดการบูดเน่าและสารพิษจากการเน่าเสียของกากอาหารนี้จะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง ยิ่งอุจจาระค้างอยู่ในร่างกายนานเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งได้รับสารพิษเพิ่มขึ้น จนทำให้เกิดปัญหาร่างกายอื่น ๆ ตามมา ดังนั้นเราจึงไม่ควรปล่อยให้ร่างกายเรามีปัญหาท้องผูกอีกต่อไป ด้วยการดูแลตนเองให้ห่างไกลจากอาการท้องผูกด้วยการดูแลสุขภาพของตนเองดังต่อไปนี้ – ทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารให้มาก อย่างเช่นผักสด ผลไม้สดต่าง ๆ เพราะเส้นใยเหล่านี้จะไม่ถูกย่อย จึงช่วยดูดซึมน้ำในลำไส้ใหญ่ไว้ให้อุจจาระนิ่มและเพิ่มปริมาณอุจจาระให้มากขึ้น การขับถ่ายจึงเป็นรอบปกติ ไม่ตกค้างนาน – ดื่มน้ำให้มาก ประมาณสองลิตรต่อวันขึ้นไป ช่วยหล่อลื่นอุจจาระให้นิ่ม ถ่ายออกจากร่างกายง่าย – ออกกำลังกายให้มากขึ้น อย่างน้อยวันละสามสิบนาที ยิ่งโดยเฉพาะการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ ซึ่งจะบีบตัวให้ถ่ายอุจจาระออกมาได้อย่างง่ายดายขึ้น การขับถ่ายเป็นเรื่องสำคัญพอ ๆ กับการเลือกทานอาหาร จึงควรฝึกให้ร่างกายได้ขับถ่ายอย่างเป็นเวลา และสม่ำเสมอ ผู้ที่มักมีอาการท้องผูกควรนำเอาเคล็ดลับข้างต้นนี้ไปใช้ อาการท้องผูกจะทุเลาขึ้นแน่นอน แต่หากยังไม่ดีขึ้น ให้ไปพบแพทย์เพื่อขอรับคำปรึกษาจะดีกว่าค่ะ อย่างปล่อยทิ้งไว้จนเกิดปัญหากับร่างกายส่วนอื่นเลยค่ะ  

  • กินมื้อดึก…ร่างกายเสื่อมโทรมรวดเร็ว

    กินมื้อดึก…ร่างกายเสื่อมโทรมรวดเร็ว

    กินมื้อดึก…ร่างกายเสื่อมโทรมรวดเร็ว คนที่ชอบทานอาหารมื้อดึก ๆ นั้น ถ้าสังเกตสุขภาพร่างกายของเค้าจะพบว่าเป็นคนที่ไม่แข็งแรง และมีความไม่ปกติกับร่างกายหลายส่วน ทั้งการตื่นสาย ท้องอืด ระบบการย่อยรวนเร เป็นโรคกรดไหลย้อน หรือโรคกระเพาะอาหาร ตลอดจนคนที่กินมื้อดึกยังทำให้ร่างกายทำงานหนักกว่าปกติ แทนที่ร่างกายจะได้พักผ่อนในยามค่ำคืนกลับต้องมาย่อยอาหารที่มักจะเป็นมื้อใหญ่เสียด้วย ดังนั้นร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมสภาพด้วยการเริ่มต้นเป็นโรคอ้วน เบาหวาน โรคความดัน นอนไม่หลับ ฯลฯ จนสุขภาพทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าร่างกายแก่กว่าอายุจริงไปมากเลยนั่นล่ะค่ะ การจะทราบได้ว่าคุณเป็นคนที่กินมื้อดึกหรือเปล่า ก็ให้ลองสังเกตที่มื้อเช้านั่นล่ะค่ะว่า รู้สึกจุกตื้ออยู่ หรือไม่อยากอาหารเช้าหรือเปล่า นั่นเป็นเพราะยังอิ่มจากการที่กินไว้ตั้งแต่เมื่อคืน กว่าจะได้กินก็มื้อเที่ยงไปแล้ว หรือไปมื้อบ่ายเลย ส่วนมื้อเย็นก็มักจะเป็นหลังสองทุ่มขึ้นไปและมักจะกินมื้อใหญ่ด้วย คนที่กินมื้อดึกมักจะนอนไม่หลับในเวลากลางคืน (เพราะร่างกายกำลังย่อยอาหาร) แต่มาง่วงเหงาในเวลากลางวัน อีกอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือคนกินดึกจะเจ้าเนื้อจนอวบอ้วนกว่าคนอื่น ๆ ด้วย หากไม่อยากเจ็บป่วยด้วยโรคภัยนานาชนิดและโรคอ้วนด้วยแล้ว ควรปรับพฤติกรรมการกินเสียใหม่ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการทานข้าวเช้าทุกวัน และทานทุกมื้อให้เป็นเวลาด้วย มื้อเย็นควรทานก่อนนอนประมาณ 3 ชั่วโมง หรือก่อนหกโมงเย็น เพื่อให้ร่างกายได้ย่อยอาหารได้อย่างเต็มที่ เข้าใจว่าช่วงแรกนั้นทำได้ยาก แต่ก็ค่อย ๆ ต้องปรับไปค่ะ ระหว่างนี้มื้อเย็นสามารถทานอาหารที่สร้างเมลาโทนินได้ เช่น แกงขี้เหล็กหรือข้าวโพด เพื่อให้หลับได้ง่ายจะได้ไม่ต้องหิวตอนดึก ๆ ค่ะ

  • ประโยชน์ของการเคี้ยวช้า ๆ

    ประโยชน์ของการเคี้ยวช้า ๆ

    ประโยชน์ของการเคี้ยวช้า ๆ อาหารที่เราทานกันอยู่ทุกวันนี้ ที่ทานกันลงท้องไปก็ใช่ว่าจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไปซะหมด มีบางคำหรือบางครั้งเหมือนกันที่ทานเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ด้วยเหตุผลไม่ว่าจะเป็น ท้องอืดหรือระบบการย่อยไม่ดีเพราะเครียดบ่อย หรือหากเป็นอาหารที่สกปรกหรือปนเปื้อนเชื้อโรค ร่างกายก็จะขับสารพิษพร้อมอาหารนั้นให้ออกมาอยู่ดี อีกทั้งในชีวิคคนไทยเราปัจจุบันนี้มีแต่ความเร่งรีบ แม้แต่การกินอาหารก็ยังแทบไม่มีเวลาเคี้ยว สารอาหารที่ควรจะรับก็ลดน้อยลงไป วันนี้จึงจะมาพาคุณผู้อ่านให้เคี้ยวอาหารกันให้ละเอียด ๆ นาน ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดดังต่อไปนี้ค่ะ – ในขณะที่เคี้ยวอาหาร ฟันและลิ้นจะทำหน้าที่ช่วยกันตัด ฉีก บดอาหารจนละเอียด ซึ่งที่ดีที่สุดก็คือต้องเหลวแหลกจนมีสภาพเป็นเนื้อครีมก่อนการกลืนสู่กระเพาะอาหารและลำไส้ อาหารที่ถูกเคี้ยวจนเหลวแหลกนี้จะย่อยได้ง่ายและถูกดูดซึมได้อย่างเต็มที่และรวดเร็ว ไม่มีเศษอาหารตกค้างเน่าเสียในท้อง หรือมีก็เหลือน้อยมาก จึงเป็นผลดีต่อสุขภาพมากค่ะ – เป็นการช่วยให้ลิ้นได้รับรสชาติที่เป็นธรรมชาติของอาหารแท้ ๆ ไม่ว่าจะเป็น ข้าว ผัก ถั่วต่าง ๆ คุณจะสามารถรับรสชาติดี ๆ ของอาหารได้มากขึ้น ทำให้ต่อไปคุณอาจไม่อยากปรุงแต่งรสชาติให้มากจนเสียความเป็นธรรมชาติอีกต่อไปเลยค่ะ – ยิ่งเคี้ยวนาน เคี้ยวมากเท่าไร น้ำลายในปากก็จะยิ่งออกมามากขึ้นเท่านั้น ประโยชน์ของน้ำลายคือช่วยเป็นตัวหล่อลื่นทำให้สะดวกในการกลืน แล้วเอนไซม์ในน้ำลายเองยังช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้รับรู้รสชาติได้ดีขึ้น อาหารอร่อยมากขึ้น ช่วยให้มีภูมิคุ้มกันที่ดี ช่วยชำระล้างเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ต่าง ๆ ออกจากตัวฟันได้มากขึ้น ช่วยกำจัดแบคทีเรียที่อาจเจริญเติบโตในช่องปาก ซึ่งเป็นตัวการทำให้ฟันผุได้ ทั้งนี้จำนวนการเคี้ยวอาหารที่จะทำให้น้ำลายหลั่งออกมามากพอก็คือ 50-100…