Tag: ต้อกระจก
-
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน
—
by
in กระเพาะ, ข่าวสุขภาพ, ความจำเสื่อม, ต้อหิน, ท้องผูก, นิ่ว, ปอด, มะเร็ง, มะเร็งตับ, วัณโรค, หลอดเลือดหัวใจ, หัวใจ, ไตภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่มักเป็นตลอดชีวิต หากปล่อยปละละเลยหรือขาดการดูแล ก็อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงจนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ รวมไปถึงอาจเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่จะค่อย ๆ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายเสื่อมสภาพลงจนเกิดโรคแทรกซ้อนได้ทุกระบบ ซึ่งได้แก่ – หลอดเลือดแดงทั้งเล็กและใหญ่ทั่วร่างกายแข็งและตีบ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ เกิดความเสื่อมได้ เช่น จอประสาทตาเสื่อม ตามัว ตาบอด ไตวายเรื้อรัง ประสาทเสื้อ ทำให้มีอาการชาปลายมือปลายเท้า ท้องเดินหรือท้องผูก – โรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง – หน้าซีดเป็นลมเวลาลุกขึ้นยืน – องคชาตไม่แข็งตัว – หลอดเลือดหัวใจตีบ ทำให้หัวใจวายเสียชีวิตได้ – อัมพาต – ความจำเสื่อม – ติดเชื้อได้ง่าย เพราะเบาหวานทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง และอาจติดเชื้อซ้ำซาก เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ โรคเชื้อราที่ผิวหนัง ฝี พุพอง – การติดเชื้อรุนแรง เช่น กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ปอดอักเสบ วัณโรค –…
-
วิธีการเตรียมตัวสำหรับผู้ป่วย ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจก
วิธีการเตรียมตัวสำหรับผู้ป่วย ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจก เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีเพื่อการผ่าตัดต้อกระจกนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากอีกต่อไปแล้ว เพราะใช้เครื่องอัลตร้าซาวน์ในการสลายต้อ ทำให้มีแผลเล็ก หายเร็ว ก่อการผ่าจะมีการหยอดยาชาหรือฉีดยาชาที่ตาเพื่อไม่ให้เจ็บ ไม่ต้องดมยา จึงไม่ต้องนอนพักค้างที่โรงพยาบาลหลังผ่าตัด แต่ก่อนที่ผู้ป่วยจะเข้ารับการผ่าตัดควรมีการเตรียมตัวก่อนเพื่อความปลอดภัยดังต่อไปนี้ค่ะ 1. งดยาสลายลิ่มเลือดก่อนการผ่าตัดประมาณหนึ่งสัปด์ ไม่ว่าจะเป็นแอสไฟริน หรือ Plavix ผู้ป่วยบางคนต้องปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนว่าจะหยุดยาสลายลิ่มเลือดได้หรือไม่ ดังนั้นการผ่าตัดต้อกระจกก็ต้องปรึกษาหมอตาและหมอประจำตัวก่อนด้วยเสมอ 2. ในส่วนยาที่เคยทานประจำอื่น ๆ ให้ทานจนถึงเช้าวันผ่าตัดเลย ห้ามหยุดเด็ดขาดโดยเฉพาะยาลดความดัน ยาเบาหวาน เพราะหากหยุดยาไปก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทำให้ผ่าไม่ได้ก็มี 3. เช้าวันที่จะมาผ่าตัดให้อาบน้ำ สระผมมาให้เรียบร้อย เพราะต้องงดสระผมเองอีก 1 เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าตา จะทำให้ติดเชื้อได้ แต่ระหว่างนั้นก็สามารถนอนให้คนอื่นสระได้ แต่ห้ามมิให้น้ำเข้าตาเด็ดขาด 4. งดแต่งหน้ามาในเช้าวันที่จะผ่าตัด หรือไม่ก็ต้องล้างออกให้หมดก่อนผ่าตัด 5. สวมเสื้อที่ติดกระดุมหน้า ไม่ควรสวมเสื้อแบบถอดทางศีรษะ จะได้สะดวกในการเปลี่ยนเสื้อผ้า 6. หากมีการอักเสบติดเชื้อไม่ว่าส่วนใดของร่างกายเช่น เชื้อราที่นิ้ว แผลอักเสบที่เท้า หรือทางเดินปัสสาวะ หรือตากุ้งยิง ต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไปก่อนเพื่อรอให้การติดเชื้อทุกส่วนหายดี มิเช่นนั้นอาจเกิดติดเชื้อผ่านทางกระแสเลือดมาที่ลูกตาได้ แม้จะไม่บ่อยแต่ก็เกิดขึ้นได้ค่ะ 7. ให้คนในครอบครัว ญาติ หรือเพื่อนมาด้วยในวันผ่าตัดเพื่อพากลับบ้าน เพราะหลังผ่าตัดจะต้องปิดตาข้างที่ผ่ากลับไป…
-
ระวังดวงตามีปัญหาจากยาสตีรอยด์ได้
ระวังดวงตามีปัญหาจากยาสตีรอยด์ได้ ยาในกลุ่มสตีรอยด์หรือคอร์ติโคสตีรอยด์ เป็นยาที่สังเคราะห์จากฮอร์โมนชนิดหนึ่ง มีหลายประเภท ซึ่งในทางจักษุวิทยา นิยมใช้ยากลุ่มนี้ในการรักษาการอักเสบในช่องหน้าลูกตาหรือเยื่อบุตา หรือกระจกตาอักเสบบางประเภทได้ รวมทั้งการอักเสบหลังการผ่าตัด ฯลฯ ซึ่งข้อดีของยานี้ก็คือลดการอักเสบได้หลายโรค โดยเฉพาะการอักเสบหรือภูมิแพ้ชนิดที่เป็นรุนแรง แต่หากใช้อย่างต่อเนื่องก็อาจทำให้มีผลข้างเคียงได้หลายประการ 1. ต้อหิน หากหยอดยากลุ่มสตีรอยด์เกินกว่าสองอาทิตย์ขึ้นไปอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการระบายน้ำหล่อเลี้ยงในลูกตา ทำให้ความดันตาสูงขึ้นและทำลายขั้วประสาทตาจนเกิดต้อหินได้ ซึ่งในระยะแรกจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาแต่จะค่อย ๆ แสดงอาการมากขึ้น จนสูญเสียลานสายตา ตาพร่ามัวจนสุดท้ายก็ตาบอด การรักษานั้นก็ควรรีบหยุดยาสตีรอยด์ที่ใช้อยู่ จะทำให้ความดันตาลดลง แต่หากเป็นต้อหินระยะรุนแรงแล้วแม้จะหยุดยาความดันตาก็อาจไม่ลดลง อาจต้องให้ยาลดความดันลูกตา เพื่อชะลอการสูญเสียสายตา และต้องติดตามรักษาอย่างต่อเนื่องด้วย 2. ต้อกระจก เกิดจากยาหยอดและยากิน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเมตาบอลิซึมของเลนส์ตา เลนส์ตาจึงขุ่นและเป็นต้อกระจกได้ ผู้ป่วยจะตามัวโดยค่อย ๆ มัวลงคล้ายหมอกบัง การหยุดยาหลังจากเป็นไปแล้วจะไม่สามารถทำให้ดวงตากลับมาใสเหมือนเดิมได้อีก 3. ตาติดเชื้อ เกิดจากยาลดการอักเสบ ซึ่งยานี้ก็มีฤทธิ์ในการลดภูมิต้านของร่างกายได้ด้วย ทำให้เกิดการติดเชื้อบางอย่างได้ 4. เปลืองตาบางตัวลง มักเกิดจากยาหยอดหรือยาป้ายตา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อและเซลล์เม็ดสีของผิวหนังเปลือกตา ทำให้ผิวหนังบริเวณนี้สีดูจางและบางตัวลง 5. ผลข้างเคียงอื่น ๆ ได้แก่ รูม่านตาขยายขึ้น หนังตาตก มักพบในรูปยาหยอดตา…
-
อาการตาบอดสามารถรักษาได้หรือไม่?
อาการตาบอดสามารถรักษาได้หรือไม่? อาการตาบอดนั้น การที่จะบ่งบอกว่าจะรักษาได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับควรรุนแรงของอาการ ซึ่งอาการที่มักรักษาไม่หายมักจะเป็นตาเล็กหรือตาฝ่อแต่กำเนิด ต้อหินรุนแรง หรือตาบอดจากอุบัติเหตุร้ายแรง แต่ปัญหาสายตาบางชนิด เช่น โรคจอประสาทตาบอด ต้อกระจก หรือสายตาผิดปกติเหล่านี้ ก็อาจรักษาได้หายได้ การประเมินว่าตาข้างที่บอดนั้นจะรักษาให้หายได้กลับมามองเห็นได้อีกหรือไม่ มีวิธีทดสอบก็คือการฉายไฟให้สว่างเต็มที่ แล้วส่องเข้าหาตาข้างที่บอด เพื่อทดสอบผู้ป่วยว่าสามารถเห็นแสงไฟเปิดปิดได้บ้างหรือเปล่า หากยังพอมองเห็น แยกออกว่าไฟเปิดหรือไฟปิดได้ ก็แสดงว่ายังพอมีทางรักษาให้หายได้ ให้ปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อทดสอบและรับการรักษา ปัจจุบันนี้ ยังไม่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนหรือปลูกถ่ายดวงตาใหม่ได้ รวมทั้งจอประสาทตาด้วย ส่วนของดวงตาที่สามารถเปลี่ยนได้มีเพียงกระจกตาดำ ซึ่งต้องรอกระจกตาบริจาคมาแล้วนำมาผ่าตัดเปลี่ยนบริเวณกระจกตา ในส่วนของผู้ที่มีเลนส์ตาขุ่นมัวที่เรียกว่าต้อกระจก สามารถผ่าตัดออกแล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมให้กลับมามองเห็นใหม่ได้อีก การดูแลรักษาดวงตาเพื่อป้องกันอาการตาบอดนั้น ควรดูแลตามวิธีดังต่อไปนี้ – หากทำงานที่เสี่ยงอันตราย ควรสวมหน้ากากหรืออุปกรณ์ป้องกัน รัดเข็มขัดนิรภัยขณะขับรถหรือนั่งรถ เพื่อป้องกันหน้ากระแทกกระจกรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุ – ตรวจสุขภาพสายตา และวัดความดันตาเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปหรือมีคนในครอบครัวเป็นต้อหินมาก่อน – ควบคุมระดับน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หรือใช้ยาป้องกันการลดต่ำของภูมิคุ้มกัน CD4+ ในผู้ป่วย HIV ฯลฯ – ไม่ควรซื้อยาหยอดตามาใช้เอง เช่น ยากลุ่มสตีรอยด์ที่อาจทำให้ตาบอดจากต้อหินได้ – หากตาบอดหรือสายตาเลือนรางและจักษุแพทย์ไม่สามารถรักษาให้มองเห็นได้ ควรใช้เครื่องมือช่วยในการใช้สายตา ไม่ว่าจะเป็นกล้องส่องขยาย…
-
สุขภาพของดวงตากับยาสตีรอยด์
สุขภาพของดวงตากับยาสตีรอยด์ ยาสตีรอยด์ หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า คอร์ติโคสตีรอยด์ เป็นยาที่เกิดจากการสังเคราะห์ฮอร์โมนชนิดหนึ่งในร่างกาย ออกฤทธิ์โดยมีผลต่อหลายระบบในร่างกาย นิยมนำมาใช้รักษาอาการอักเสบในโรคต่าง ๆ มีทั้งรูปแบบของยากิน ยาฉีด พ่น หยอด ป้าย ในด้านของการรักษาดวงตานั้นจะใช้ยากลุ่มสตีรอยด์นี้ในการรักษาอาการอักเสบในช่องหน้าลูกตา เยื่อบุตา หรือกระจกตาอักเสบบางแบบ รวมทั้งหลังการผ่าตัดตา ฯลฯ ซึ่งข้อดีของยานี้ก็คือสามารถลดการอักเสบได้หลายโรค โดยเฉพาะการอักเสบหรือภูมิแพ้ที่รุนแรง แต่หากใช้เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อดวงตาได้ เช่น ต้อหิน, ต้อกระจก, การติดเชื้อของตา โดยเฉพาะกลุ่มไวรัสเริม, ผิวหนังเปลือกตาบางลง, หนังตาตก, รูม่านตาขยายขึ้น ฯลฯ ซึ่งในเรื่องนี้ขอนำเอาคำแนะนำของจักษุแพทย์ในการใช้ยาสตีรอยด์มาฝากคุณผู้อ่านดังนี้ค่ะ – หากมีอาการตาแดง คันเคืองตา ควรไปพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจก่อนว่ามีความจำเป็นต้องใช้ยาสตีรอยด์หรือไม่ ไม่ควรซื้อยาที่มีส่วนผสมของสตีรอยด์มาหยอดเอง โดยจะสามารถสังเกตได้จากฉลากที่เขียนกำกับข้างขวดยา เพราะอาจทำให้คุณได้รับผลข้างเคียงของยาโดยไม่รู้ตัว – ผู้ที่ต้องใช้ยาหยอดตากลุ่มสตีรอยด์เป็นเวลานาน ควรมาพบจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับความถี่ของการใช้ยา ขนาดของยา และระยะเวลาการใช้ยาให้เหมาะสม – หากผู้ป่วยมีอาการ ปวดตา ตามัว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ หรือหยอดตาแล้วไม่ดีขึ้น ควรรีบกลับมาพบแพทย์ก่อนนัด…
-
รู้จักกับเลนส์แก้วตาเทียม เพื่อการรักษาโรคต้อกระจก
รู้จักกับเลนส์แก้วตาเทียม เพื่อการรักษาโรคต้อกระจก โรคต้อกระจกนี้เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความเสื่อมของร่างกาย ผู้สูงวัยทุกคนเมื่อถึงเวลาที่ความเสื่อมของดวงตามาถึงต่างก็ต้องมีอาการของโรคต้อกระจกกันทั้งนั้น อาการนี้เป็นภาวะเลนส์แก้วตาขุ่นมัว ทำให้แสงผ่านเข้าไปยังจอประสาทตาได้น้อยลง ตาจะมัว เหมือนมีฝุ่น หมอกควันมาบังตาไว้ ยิ่งอยู่ในที่สว่าง ๆ หรือมีแสงแดดจัดจะมัวมากขึ้น แต่ในที่แสงสลัวจะเห็นชัดเจนกว่าเดิม อาจมีการเห็นภาพซ้อน หรือแสงกระจายขณะขับรถตอนกลางคืนทำให้ขับรถลำบาก ในส่วนของการรักษานั้นทำได้โดยการสลายต้อกระจกออกแล้วใส่เลนส์แก้วตาเข้าไปแทน มีแผลเป็นขนาดเล็ก และใช้เวลาในการผ่าตัดที่น้อยมาก เรามาทำความรู้จักกับเลนส์แก้วตาเทียม ที่ทำให้ผู้ป่วยกลับมามองเห็นได้อีกครั้งกันนะคะ เลนส์แก้วตาแบ่งออกได้เป็น – ชนิดโฟกัสระยะเดียว ช่วยให้มองเห็นระยะไกลชัดเจน แต่มองใกล้อาจต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ – ชนิดหลายโฟกัส ช่วยให้มองเห็นได้ทั้งไกล กลาง และใกล้โดยไม่ต้องใช้แว่นตา – ชนิดแก้ไขสายตาเอียง ช่วยชดเชยความโค้งของกระจกตาที่ไม่เท่ากันของผู้ที่มีภาวะสายตาอียง ช่วยให้มองระยะไกลได้โดยไม่ต้องใช้แว่นเช่นกัน การผ่าตัดต้อกระจกและใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปใหม่นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ทั้งยังเป็นการผ่าตัดที่ใช้เวลาเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น แต่รักษาผู้ป่วยโรคต้อกระจกให้กลับมามองเห็นได้ใหม่อย่างดายเลยค่ะ
-
ภาวะต้อกระจกและการรักษา
ภาวะต้อกระจกและการรักษา ต้อกระจก นี้เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และยังเป็นสาเหตุอับดับต้น ๆ ของภาวะสายตาพิการในคนชราด้วย โดยอาการของต้อกระจกจะเป็นภาวะที่แก้วตาหรือเลนสด์ตามีลักษณะขุ่นขาว มัวลง ทึบแทบ ไม่ยอมให้แสงผ่านเข้าสู่ลูกตาไปกระทบจอตา จึงทำให้สายตาฝ้าฟางและมองไม่เห็นได้ในที่สุด สาเหตุของโรคนี้นั้นส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมสภาพตามวัย ส่วนใหญ่ผู้ที่อายุเกิด 60 ปีแล้วก็มักจะเป็นทุกราย แต่มีบางรายซึ่งเป็นส่วนใหญ่ที่เป็นมาแต่กำเนิดพบได้ในทารกที่เป็นหัดเยอรมันแต่กำเนิด หรือการได้รับบาดเจ็บหรือกระทบกระเทือนที่ตาอยางรุนแรง มีความผิดปกติของตา หรือเกิดจากการใช้ยาหยอดตาที่มีสเตียรอยด์ หรือกินสเตียรอยด์เข้าไปนาน ๆ การกินยาลดความอ้วนบางชนิด เกิดจากการถูกรังสีที่ตาเป็นเวลานาน รวมไปถึงการถูกแสงแดดหรือแสงยูวีก็ทำให้เกิดต้อกระจกได้ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีภาวะขาดอาหาร สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าจัด ก็ทำให้เกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าคนทั่วไป อาการของต้อกระจกนี้ ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าตาค่อย ๆ มัวลง แรก ๆ จะเหมือนหมอกบัง มองที่มืดชัดกว่าที่สว่าง หรือถูกแสงสว่างตาจะพร่ามัว สู้แสงไม่ไหว เห็นภาพซ้อน ไม่เจ็บปวดหรือตาแดงแต่อย่างใด อาการตามัวจะแสดงอาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ กินเวลาเป็นแรมเดือนแรมปี จนแก้วตาขุ่นขาวหมด (ต้มสุก) ก็จะมองไม่เห็น ต้อกระจกนี้คนชรามักจะมีอาการทั้งสองข้าง แต่จะสุกไม่พร้อมกัน ระยะแรกแก้วตาจะขุ่นบริเวณตรงกลาง มองในมืดรูม่านตาจะขยายเปิดทางใหแสงผ่านเข้าแก้วตาส่วนรอบนอกที่ยังใสจึงทำให้เห็นภาพได้ชัด แต่เมื่อมองในที่สว่างรูม่านตาจะหดเล็กลง แสงจะผ่อนเฉพาะแก้วตาส่วนกลางจึงทำให้ภาพพร่ามัว การรักษาโรคนี้ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนแก้วตา หรือใช้วิธีสลายต้อด้วยคลื่นความถี่สูง…
-
อันตรายจากโรคต้อลม ต้อเนื้อ ชนิดต่าง ๆ และการป้องกันโรค
อันตรายจากโรคต้อลม ต้อเนื้อ ชนิดต่าง ๆ และการป้องกันโรค โรคต้อที่ดวงตานั้นแบ่งออกเป็น 3 ชนิดได้แก่ ต้อกระจก ต้อหิน ต้อลม (ต้อเนื้อ) ซึ่งแต่ละโรคก็มีสาเหตุและอาการรวมไปถึงการรักษาที่แตกต่างกันไป แต่วันนี้จะนำเอาโรคต้อลม และต้อเนื้อที่มีคนเป็นกันมากในประเทศไทยมาอธิบาย และสาธยายถึงวิธีปฏิบัติตัวให้ฟังกันค่ะ ทั้งต้อลมและต้อเนื้อนี้คือความเสื่อมของเยื่อบุตาที่ได้รับความระคายเคืองเป็นประจำ ได้แก่ แสงแดด ลม ฝุ่น ความร้อน จะทำให้เยื่อบุตานูนขึ้น มักเกิดบริเวณที่หัวตาติดกับกระจกตาดำ มักเห็นเป็นเนื้อสีเหลืองเล็กน้อยถึงชมพูแดง หากเยื่อที่นูนขึ้นนี้อยู่ในบริเวณตาขาวเรียกว่า ต้อลม แต่ถ้าลามเข้าไปในส่วนของกระจกตาดำ เรียกว่า ต้อเนื้อ ต้อลมนั้นไม่ทำอันตรายต่อสายตาแต่อย่างใด อาการจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่เป็น แต่หากเป็นแล้วไม่ยอมดูแลรักษา ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ต้อลมก็อาจลุกลามกลายเป็นต้อเนื้อและอักเสบขึ้นได้ ซึ่งอาจมีอาการตาแดง สู้แสงไม่ได้ แสบตา เคืองตา น้ำตาลไหล เหมือนมีผงเข้าตาตลอดเวลา สายตาอาจเอียงเพิ่มขึ้น เห็นภาพซ้อนและมองไปในทิศต่าง ๆ ได้ไม่คล่องนัก และหากต้อเนื้อลุกลามเข้าไปในกระจกตาดำจะบังรูม่านตาจนทำให้ตามัวได้ หากอาการเป็นอังนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน สิ่งแวดล้อมรอบตัวที่ทำให้เกิดโรคต้อลม ต้อเนื้อนั้นได้แก่ ดวงตาสัมผัสกับสิ่งระคายประจำ ทั้งความร้อน ความแห้ง ฝุ่นละออง แสงแดดมีไอร้อนและมียูวีสูง…
-
แพทย์ผ่าตัดต้อกระจก ร่วมมือในโครงการช่วยคนยากจนให้กลับมามองเห็นอีกครั้ง
แพทย์ผ่าตัดต้อกระจก ร่วมมือในโครงการช่วยคนยากจนให้กลับมามองเห็นอีกครั้ง แพทย์ผ่าตัดตาชาวอเมริกันกับชาวเนปาลสองคนร่วมมือในโครงการผ่าตัดต้อกระจกตาแก่คนยากจนในประเทศกำลังพัฒนา ในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา โครงการของพวกเขาได้ช่วยคนยากจนราวสองล้านคนในอาฟริกาและในเอเชียกลับไปมองเห็นได้อีกครั้ง ผู้ป่วยในอาฟริกาและเอเชียสามารถมองเห็นได้อีกครั้งภายในหนึ่งวันหลังจากได้รับการผ่าตัดขูดต้อกระจกที่ใช้เวลาเพียงสิบนาที ต้อกระจกมีผลทำให้เลนส์ตาขุ่นมัวและเป็นสาเหตุหลักของอาการตาบอดในคนส่วนใหญ่ทั่วโลก การผ่าตัดขูดต้อกระจกนี้ไม่มีแผลและผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดเกือบทุกคนสามารถกลับไปมองเห็นได้อย่างชัดเจนภายในวันรุ่งขึ้น นั่นเป็นเพราะว่าเเพทย์ทำการสอดเลนต์ตาเทียมเข้าไปในระหว่างการผ่าตัด โครงการ Himalayan Cataract Project ฝึกอบรมแพทย์ท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่การแพทย์ให้เชี่ยวชาญในการผ่าตัดต้อกระจกตาด้วยเทคนิคที่โครงการใช้นี้ และยังได้จัดตั้งหน่วยผลิตอุปกรณ์ผ่าตัดและเลนส์ตาเทียมขึ้นใช้เองในโครงการ ในหลายๆประเทศรวมทั้งในเนปาล ภูฐาน อินเดียทางเหนือ กาน่าและเอธิโอเปียด็อกเตอร์ทาบินประมาณว่าตั้งเเต่ตั้งโครงการมา มีคนยากจนราวสองล้านคนได้รับการผ่าตัดและสามารถกลับไปมองเห็นได้อีก เขากล่าวปิดท้ายรายงานจากผู้สื่อข่าววีโอเอว่าเป้าหมายเเน่ชัดของโครงการมุ่งกำจัดโรคตาบอดจากสาเหตุที่ป้องกันได้นี้ในทุกพื้นที่ทั่วโลก