Tag: ความจำเสื่อม

  • ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน

    ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน

    ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่มักเป็นตลอดชีวิต หากปล่อยปละละเลยหรือขาดการดูแล ก็อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงจนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ รวมไปถึงอาจเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่จะค่อย ๆ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายเสื่อมสภาพลงจนเกิดโรคแทรกซ้อนได้ทุกระบบ ซึ่งได้แก่ – หลอดเลือดแดงทั้งเล็กและใหญ่ทั่วร่างกายแข็งและตีบ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ เกิดความเสื่อมได้ เช่น จอประสาทตาเสื่อม ตามัว ตาบอด ไตวายเรื้อรัง ประสาทเสื้อ ทำให้มีอาการชาปลายมือปลายเท้า ท้องเดินหรือท้องผูก – โรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง – หน้าซีดเป็นลมเวลาลุกขึ้นยืน – องคชาตไม่แข็งตัว – หลอดเลือดหัวใจตีบ ทำให้หัวใจวายเสียชีวิตได้ – อัมพาต – ความจำเสื่อม – ติดเชื้อได้ง่าย เพราะเบาหวานทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง และอาจติดเชื้อซ้ำซาก เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ โรคเชื้อราที่ผิวหนัง ฝี พุพอง – การติดเชื้อรุนแรง เช่น กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ปอดอักเสบ วัณโรค –…

  • แดนซ์กังนัมสไตล์ บริหารร่างกายได้ยอดเยี่ยม

    แดนซ์กังนัมสไตล์ บริหารร่างกายได้ยอดเยี่ยม

    แดนซ์กังนัมสไตล์ บริหารร่างกายได้ยอดเยี่ยม การออกกำลังกายสำหรับบางคนก็เป็นเรื่องที่ไม่ชอบเอาเสียเลย แต่ตรงกันข้ามสำหรับบางคนการออกกำลังกายเป็นสิ่งเสพติดที่ถ้าไม่ได้ทำวันไหนแล้วรู้สึกขาดอะไร ๆ ไป การออกกำลังกายเป็นการสร้างเสริมสุขภาวะวิธีหนึ่ง ยิ่งทำก็ยิ่งแข็งแรงและห่างไกลโรค โดยรูปแบบการออกกำลังนั้น ควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับร่างกายของตนเอง มีความสุขและทำได้ง่ายไม่ลำบาก ซึ่งตอนนี้การออกกำลังกายด้วยการเต้นกังนัมสไตล์ก็เป็นอีกรูปแบบที่น่าสนใจเช่นกัน ทำไมการเต้นจึงมีประโยชน์? มีผลการศึกษาการเต้นโดยวิทยาลัยการแพทย์ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ สหรัฐอเมริกา ศึกษาเกี่ยวกับการเต้นที่ไม่เป็นเพียงแค่การออกกำลังกาย แต่ยังช่วยบำบัดสมองส่วนการรับรู้ การตัดสินใจ ช่วยบำบัดรักษาผู้ป่วยซึมเศร้า และผู้ป่วยความจำเสื่อมได้ อีกทั้งการได้ลองทำในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย อย่างการเต้นรำเป็นหมู่คณะยังช่วยให้จิตใจมีความสดใส มีชีวิตชีวามากขึ้น ช่วยให้ประสาทตื่นตัว พัฒนาทักษะการเข้าสังคม กระตุ้นสมองส่วนควบคุมการตัดสินใจ กระตุ้นการคิดวิเคราะห์และความฉลาดให้มากขึ้นได้ด้วย อีกทั้งเมื่อออกกำลังกายจนชีพจรเต้นเร็วถึง 120 ครั้งต่อนาที โกรธฮอร์โมนจะหลั่งและเหงื่อออกจะเกิดการเผาผลาญพลังงาน สุขภาพแข็งแรง ขับของเสียต่าง ๆ ออกมาจากร่างากย ล่าสุดนี้การเต้นกังนัมสไตล์กำลังโด่งดังไปทั่วโลก เพราะท่วงท่าต่าง ๆ นั้นเหมาะสำหรับการเต้นประกอบเพลงเพื่อออกกำลังกาย ช่วยอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายหนัก เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ใช้เต้นเพื่อลดน้ำหนักได้ สนุกและได้พละกำลังเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งท่าที่โด่งดังจากเพลงนี้มากก็ได้แก่ท่าขี่ม้าและท่าโยนห่วงคล้องม้า ช่วยกระชับต้นขา ยกสะโพก ลดหน้าท้อง ลดไขมันตามส่วนต่าง ๆ ได้ ว่าแล้วเย็นนี้ชวนเพื่อร่วมงาน ชวนพี่น้องลูกหลานมาเปิดเพลงนี้แล้วเต้นออกกำลังกายกันดีกว่า ถ้าเต้นไม่เป็นก็ให้เด็ก…

  • ไม่อยากไอคิวหล่น…ต้องกินอาหารเช้า

    ไม่อยากไอคิวหล่น…ต้องกินอาหารเช้า

    ไม่อยากไอคิวหล่น…ต้องกินอาหารเช้า นับเป็นความเข้าใจผิดของพ่อแม่จำนวนมากที่ไม่เห็นความสำคัญของอาหารเช้าเลย นอกจากตัวเองจะไม่ทานแล้ว ยังไม่ยอมจัดหาให้ลูก ๆ ได้ทานเต็มมื้อด้วย ผลเสียของการไม่ทานอาหารเช้านั่นคือทำให้ร่างกายขาดพลังงาน และสมองจะตื้อ ไม่ปลอดโปร่ง การเรียนรู้และความจำก็ไม่ดี  เพราะสมองของคนเรานั้นต้องการใช้กลูโคสเป็นพลังงาน ซึ่งได้ถูกเผาผลาญไปจนเกือบหมดแล้วในระหว่างการนอนหลับ  หากตื่นเช้ามาไม่ทานข้าวเช้า ก็จะทำให้สมองไม่สดใสดังกล่าวมาแล้ว สารอาหารที่จำเป็นสำหรับมื้อเช้าก็คือคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ ข้าว แป้ง น้ำตาล เพราะจะเป็นการส่งกลูโคสกลับเข้าสู่สมอง ทำให้สมองตื่นตัวทำงานได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังให้พลังงานกับร่างกายในการเริ่มเช้าวันใหม่ได้  และหากคุณไม่ยอมทานมื้อเช้าแต่ไปรวบยอดเอาในมื้อเที่ยงก็ไม่ทันอยู่ดี เพราะเวลาที่ร่างกายต้องการพลังงานส่วนนั้นได้ผ่านไปแล้ว   หากติดนิสัยไม่เคยทานอาหารเช้าหรือไม่ทานอาหารเช้าไปนาน ๆ จะสังเกตได้ว่าความจำจะเริ่มเสื่อม สมองไม่ค่อยสดใสเท่าไรนัก และอาหารของสมองที่สำคัญมากก็ได้แก่ กรดโฟลิค วิตามินบีหก วิตามินบีสิบสอง  ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งดูดซึมวิตามินบีสิบสองได้น้อยลง  ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป ทานอาหารที่มีกรดโฟลิคให้มากแทน ซึ่งพบได้มากในธัญพืชไม่ขัดสี ผักใบสีเขียวเข้ม น้ำส้มค้น และถั่ว ดังนั้นหากไม่อยากสมองเสื่อมหรือไอคิวหล่นร่วงตั้งแต่อายุน้อย ๆ ควรทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์ทุกวันนะคะ จะได้มีสมาธิเรียนหนังสือและมีแรงทำงาน ไม่ผิดพลาดและไม่หิวโซจนถึงมื้อเที่ยงอีกด้วยค่ะ

  • มาทำความเข้าใจ….กับโรคซึมเศร้า กันเถอะ!!!

    มาทำความเข้าใจ….กับโรคซึมเศร้า กันเถอะ!!!

    มาทำความเข้าใจ….กับโรคซึมเศร้า กันเถอะ!!! มีหลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าอยู่มาก วันนี้ลองมาทำความรู้จักกับโรคนี้กันค่ะ โรคซึมเศร้านี้เป็นโรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่ง มีอาการซึมเศร้าในระดับที่แตกต่างกันไปตั้งแต่น้อยไปหามาก อาการก็คือจะมีอารมณ์ที่ไม่แจ่มใส เศร้าหมอง หดหู่ เป็นทุกข์ จนถึงท้อแท้ เบื่อชีวิต คิดว่าตนเองไม่มีค่า อยากตายและอาจฆ่าตัวตายได้ โดยสาเหตุของโรคนี้มาจากปัจจัยหลายด้านของจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นสังคม สิ่งแวดล้อมและชีวภาพ โดยมักเกิดอาการหลังจากความสูญเสียหรือพลัดพรากที่กระทบกระเทือนใจอย่างแรง เช่น บุคคลที่รักตายจาก คนรักตีจาก ความกดดันด้านการเงิน การงาน การเรียน ความว้าเหว่ โดดเดี่ยว ขาดความรักความอบอุ่น เป็นต้น และผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยเช่น เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ น้ำหนักลด ผอม ขาดสมาธิ ความจำเสื่อม อ่อนเพลีย เบื่อหน่ายกิจกรรมและการงานที่เคยชอบทำ ความรู้สึกทางเพศหมดไป อาจเก็บตัว ไม่เข้าสังคม ขาดความมั่นใจในตนเอง เครียดและวิตกกังวลง่าย เห็นแต่แง่ร้าย ไม่เห็นทางแก้ปัญหา โดยโรคนี้ที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการทางจิตร่วมด้วย เช่น หลงผิด หูแว่ว มักเกิดกับผู้ใหญ่วัยต้นจนถึงวันกลางคน เกิดได้ง่ายไม่จำเป็นต้องมีความเครียดเป็นสาเหตุ เป็นอันตรายตรงที่อาจฆ่าตัวตายได้ทุกเมื่อ แต่โรคนี้สามารถตอบสนองการรักษาได้ดี ด้วยการใช้ยาและจิตบำบัดก็จะทำให้หายป่วยได้…

  • ดูแลพ่อแม่ ผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านให้ดีก่อนเกิดอันตราย

    ดูแลพ่อแม่ ผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านให้ดีก่อนเกิดอันตราย

    ดูแลพ่อแม่ ผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านให้ดีก่อนเกิดอันตราย เวลาผ่านไปเร็วนะคะ แป๊บ ๆ เราก็โตกันเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว และในทางเดียวกันพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ของเราก็แก่ลงไปด้วยเช่นกัน หันไปดูแลท่านกันหน่อยนะคะว่าสุขภาพท่านเป็นอย่างไรบ้าง แม้จะไม่มีโรคร้ายปรากฎออกมาให้เห็นแต่การที่ท่านอายุมากขึ้นแล้ว ก็อาจต้องการความเชื่อเหลือดูแลอยู่บ้างแล้วล่ะค่ะ ลองสังเกตดูว่า… 1. ท่านมีน้ำหนักลดลงบ้างหรือไม่ หากจู่ ๆ ก็น้ำหนักลดลงโดยไม่มีสาเหตุ แสดงว่าอาจมีบางอย่างผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคขาดสารอาหาร ซึมเศร้า ความจำเสื่อม โรคมะเร็งหรือหัวใจล้มเหลว ควรพาไปพบแพทย์ตรวจสุขภาพให้เป็นประจำนะคะ 2. ดูว่าชีวิตประจำวันท่านเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เช่น ยังมีแรงอาบน้ำแปรงฟันเองหรือเปล่า มีแรงทำกับข้าว หรือแต่งเนื้อแต่งตัวอยู่หรือเปล่า หรือยังทำงานบ้านอยู่เหมือนเดิมได้หรือเปล่า 3. ลองสังเกตการณ์เดินของท่านดูว่ายังเดินเป็นปกติหรือเปล่า สามารถเดินไกล ๆ ไหวหรือเปล่า หรือต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง 4. อีกทั้งยังควรสังเกตในบ้านด้วยว่ายังเรียบร้อยอยู่หรือไม่ เช่น หลอดไฟขาดเปลี่ยนหรือเปล่า หญ้าตัดหรือไม่ หนังสือพิมพ์หน้าบ้านเก็บหรือเปล่า จานไม่ได้ล้างหลาย ๆ วันเพราะอะไร เครื่องใช้ไฟฟ้าเปิดทิ้งไว้บ่อย ๆ หรือเปล่า เป็นต้น เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติก็ได้ 5. ท่านยังสามารถเดินขึ้นลงบันไดชันๆ…

  • ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ที่มีต่อสุขภาพของเรา

    ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ที่มีต่อสุขภาพของเรา

    ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ที่มีต่อสุขภาพของเรา สุราหรือแอลกอฮอล์นั้นเป็นพิษภัยต่อสุขภาพร่างกาย ทำให้เกิดโรคได้ถึงกว่าหกสิบชนิด  เมื่อดื่มสุราลงไป  แล้วร่างกายดูซึมเข้าสู่กระแสเลือด  แอลกอฮอล์จะกระจายตัวไปทั่วร่างกาย ทำให้หัวใจเต้นเร็วและถี่ขึ้น  ความดันเลือดจึงเพิ่มขึ้น  แล้วยังมีฤทธิ์ต่อสมองส่วนกลางด้วยการไปกดสมองทำให้เซลล์สมองเสื่อม มีปัญหาความจำเสื่อม และสมองลีบฝ่อ  หากเป็นมากเข้าก็จะอาจเกิดอาการประสาทหลอนได้  อีกทั้งสุราเข้าออกฤทธิ์เข้ากดศูนย์กลายใจและศูนย์ควบคุมการไหลเวียนของโลหิตในสมองจะทำให้เสียชีวิตได้ การดื่มสุรายังทำให้เกิดการระคายเคืองเฉพาะที่  สังเกตง่าย ๆ เลยก็คือเมื่อดื่มลงคอไปก็จะรู้สึกบาดคอแล้ว  แล้วลามลงไปสร้างความระคายเคืองที่หลอดอาหาร  จนทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุชั้นในสุดของผนังหรือกระเพาะอาหาร แล้วยังทำให้ลำไส้เล็กเกิดทะลุได้อีก   นอกจากนั้นแอลกอฮอล์ยังเข้าขัดขวางการดูดซึมของอาหารบางชนิด ไม่ว่าจะเป็น ไขมัน กรดอะมิโน กรดโฟลิก วิตามินบี 1 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12  ที่อาจทำให้เซลล์ของตับได้รับการระคายเคือง และทำให้ตับโตขึ้น  แอลกอฮอล์ยังทำให้การน้ำย่อยจากตับอ่อนไม่สามารถไหลเข้าไปในลำไส้เล็กได้  น้ำย่อยจึงย่อยตับอ่อนเอง ทำให้ตับอ่อนเลือดออกอย่างฉับพลันและทำให้อักเสบได้  มักพบว่าผู้ที่มีอาการเช่นนี้ 20% ของจะเสียชีวิตตั้งแต่ครั้งแรกที่มีปัญหากับตับอ่อน  ทำให้การสร้างอินซูลินบกพร่อง จนกลายเป็นโรคเบาหวานได้ในที่สุด  และทำให้เกิดอาการตับแข็งขึ้นทุกครั้งที่ดื่มด้วย แต่กลับมีนักวิจัยบางกลุ่มที่บอกว่าแอลกอฮอล์มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจของทั้งเพศชายและหญิง  โดยได้กล่าวว่า หากได้ดื่มแอลกอฮอล์อย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มระดับของคอเลสเตอรอลตัวดี ๆ ที่จะช่วยป้องกันระบบภายในหลอดเลือดได้  หากยิ่งเป็นคนที่ไม่ทานอาหารทอด ๆ มัน ๆ แล้วยังออกกำลังกายอยู่เสมอแล้ว  การดื่มแอลกอฮอล์วันละเล็กน้อยแบบนี้จะสร้างคอเลสเตอรอลตัวดี ๆ…

  • พิษร้ายจากแอลกอฮอล์ ลดได้ทั้งอีคิว และไอคิว

    พิษร้ายจากแอลกอฮอล์ ลดได้ทั้งอีคิว และไอคิว

    พิษร้ายจากแอลกอฮอล์ ลดได้ทั้งอีคิว และไอคิว แม้สารเคมีและแอลกอฮอล์ในเหล้า หรือเครื่องดื่มมึนเมาทั้งหลายจะทำให้ผู้ดื่มรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ และผ่อนคลาย รวมทั้งอารมณ์ดีสนุกสนานขึ้นเมื่อดื่มก็ตาม แต่หากดื่มเป็นระยะเวลานาน ๆ ในปริมาณมากแล้ว แอลกอฮอล์จะกลายเป็นพิษร้ายที่ทำลายสุขภาพได้อย่างชะงัด ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมลงทั้งร่างกายและจิตใจไปด้วย ลุกลามไปถึงสร้างปัญหาในทางบุคลิกภาพและทางสังคมในระยะยาวอีกด้วยค่ะ – การดื่มสุราทำให้ผู้ดื่มมีระดับเชาวน์ปัญญาลดลง โดยพบว่ากลุ่มที่เพิ่งเริ่มดื่มในช่วงอายุ 20-29 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มวัยเรียนและวันทำงานนั้น มีระดับของสติปัญญาที่ลดลงมากกว่าผู้ที่เริ่มดื่มสุราในช่วงอายุอื่น ๆ – จากการศึกษาขององค์การอนามัยโลกพบว่ากว่าร้อยละ 30 หรือ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยที่มีปัญหาทางจิตมีสาเหตุมาจากการดื่มสุรา โดยสารพิษที่เกิดจากการเผาผลาญแอลกอฮอล์ในร่างกายจะเข้าทำลายสารเคมีในสมอง ส่วนที่ทำให้คนเรารู้สึกสงบและเป็นปกติสุข คนที่ดื่มสุราจนติดจึงมีจิตใจที่อ่อนไหวและอารมณ์ที่ไม่มั่นคง มีความอดทนต่อความเครียดและความกดดันลดน้อยลง ขาดสมาธิ และมีปัญหาบุคลิกภาพได้ในที่สุด ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน หวาดระแวง ความจำเสื่อม โรคซึมเศร้า โรคหวาดกลัวผิดปกติ ฯลฯ ซึ่งอาการทางจิตจากการดื่มสุรานี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งเพศชายและเพศหญิง – ผู้ที่ดื่มสุรามักมีแนวโน้มเป็นคนที่รุนแรง เพราะการดื่มแอลกอฮอล์จะเข้าไปกดการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมความรู้สึกผิดชอบชั่วดี สมองส่วนอื่น ๆ จึงมีอิทธิพลต่อความคิดมากขึ้น ผู้ดื่มจึงขาดความยับยั้งชั่งใจจากที่เคยมีในเวลาปกติ เป็นสาเหตุให้ต่อความรุนแรง และมีพฤติกรรมที่เดือดร้อน เป็นอันตรายต่อตัวเองและผู้อื่น รวมทั้งเด็กที่เติบโตในครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงนี้ จะมีปัญหาบุคลิกภาพตามไปด้วย และมีโอกาสที่จะเติบโตไปมีบุคลิกภาคและพฤติกรรมที่ชอบดื่มเหมือนคนในครอบครัวที่เคยเห็นในวัยเด็กได้อีก…

  • ยอมรับความเสื่อมของร่างกายตามกาลเวลา

    ยอมรับความเสื่อมของร่างกายตามกาลเวลา

    ยอมรับความเสื่อมของร่างกายตามกาลเวลา เมื่ออายุยิ่งมากขึ้นเท่าไร การดูแลสุขภาพก็ยิ่งเป็นเรื่องจำเป็นมากขึ้นเท่านั้น หากจะเปรียบไปแล้วร่างกายของคนก็เหมือนกับรถที่เก่าลงทุกปี จำเป็นต้องเข้าอู่เพื่อตรวจเช็คสภาพ บำรุงรักษาอยู่เนือง ๆ ร่างกายเราเมื่ออายุมากขึ้นก็ย่อมมีความเสื่อมโทรมลงเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะส่วนใดก็หลีกเลี่ยงความจริงข้อนี้ไปไม่ได้ ซึ่งอาการหรือโรคที่บ่งบอกว่าร่างกายเรากำลังเสื่อมโทรมเอาที่เห็นกันได้ชัด ๆ นั้นก็คือ ตาฝ้าฟาง หูตึง ปวดกล้ามเนื้อ และปวดกระดูก อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ รวมไปถึงโรคเรื้อรังไม่ติดต่อจำพวก เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือด โรคอ้วน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดในผู้สูงอายุเท่านั้น แต่พบได้แม้ในคนที่อายุยังน้อยอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เกิดจากวิธีการใช้ชีวิตนั่นเอง แต่คนเราก็ไม่เหมือนรถไปซะหมดทุกอย่าง เพราะคนเราก็ยังมีจิตใจ และจิตวิญญาณ ซึ่งสุขภาพของคนจะดีได้นั้นผู้ที่เป็นเจ้าของร่างกายก็จำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่ทุกสัดส่วน ร่างกายจึงจะอยู่กับเรานาน ๆ ไม่เสื่อมโทรมไว หรือเสียบ่อย ๆ แล้วก็ยังใช้การได้ดีจนสิ้นอายุขัย พึงตระหนักไว้ว่าสุขภาพของผู้ที่เข้าวัยชรานั้นเปรียบเหมือนรถเก่าก็ตรงที่ มักจะเสียง่าย ใช้งานหนักมากไม่ไหว แล้วก็ต้องเข้าอู่บ่อย สุดท้ายก็ต้องพัง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดูแลอย่างเหมาะสม เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นก็ซ่อมแซมตามจำเป็น แต่หากมีปัญหาซับซ้อนก็ควรแยกแยะให้ออกว่าจะปล่อยไปหรือนำไปซ่อม ควรมีสติ มีความรู้ และอย่างกังวลมากเกินไป นอกจากนี้แล้วยังควรหากช่างซ่อม หรือหมอ พร้อมอู่ หรือโรงพยาบาลที่ไว้ใจได้มาดูแลด้วย ผู้สูงวัยทุกท่านจำเป็นต้องแยกแยะให้ได้ว่า อาการชนิดไหนเป็นโรคที่ไม่ต้องรักษา…

  • สังเกตดู.. ตัวคุณเริ่มสมองเสื่อมหรือยัง?

    สังเกตดู.. ตัวคุณเริ่มสมองเสื่อมหรือยัง?

    สังเกตดู.. ตัวคุณเริ่มสมองเสื่อมหรือยัง? อาการสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่วัยทำงานด้วย วันนี้ลองมาสังเกตอาการของตัวเองกันว่าเริ่มเข้าข่ายสมองเสื่อมหรือยังจาก 10 สัญญาณเตือนต่อไปนี้ 1. ความจำเสื่อม 2. ไม่สามารถทำกิจกรรมที่คุ้นเคยได้ 3. มีปัญหาเรื่องการใช้ภาษาทั้งการพูดและการเขียน 4. หลงลืมเวลา 5. อารมณ์แปรปรวน 6. คิดเรื่องซับซ้อนไม่ได้ 7. วิจารณญาณไม่ดี เกิดการกระทำที่บกพร่อง 8. คิดสิ่งใหม่ ๆ ไม่ได้ 9. บุคลิกเปลี่ยนไปในทางตรงข้าม (จากที่เคยเป็น) 10. วางของไม่ถูกที่ถูกทาง

  • แพทย์ชี้ การสูบบุหรี่มาก อาจทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์

    แพทย์ชี้ การสูบบุหรี่มาก อาจทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์

    แพทย์ชี้ การสูบบุหรี่มาก อาจทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ รายงานวิจัยชิ้นล่าสุดของศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยการแพทย์ Houston ที่ University of Texas ชี้ว่าการสูบบุหรี่อาจมีผลกระทบต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ของผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อโรคดังกล่าว หรืออาจทำให้อาการของโรคอัลไซเมอร์แย่ลง การศึกษาที่ว่านี้ทำกับหนูทดลอง แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าผลที่ได้สามารถนำมาปรับใช้กับมนุษย์ได้ โดยเฉพาะการรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากโรคอัลไซเมอร์คือรูปแบบหนึ่งของอาการความจำเสื่อมซึ่งมักจะเกิดกับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะคนที่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไป อาการของโรคนอกจากจะเกิดอาการสูญเสียความทรงจำแล้วยังสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ปัจจุบันโรคอัลไซเมอร์ยังไม่มีทางรักษา ศาสตราจารย์ Claudio Soto แห่งภาควิชาประสาทวิทยา University of Texas อธิบายว่าคณะนักวิจัยได้แยกหนูทดลองที่มีโรคอัลไซเมอร์แบบเดียวกับมนุษย์เป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกให้สูดดมควันแบบเดียวกับที่ผู้สูบบุหรี่ปล่อยออกมาลักษณะเดียวกับ Second-hand Smoker ส่วนกลุ่มที่ 2 ปล่อยให้ได้รับควันบุหรี่โดยตรงในปริมาณเท่ากับคนสูบบุหรี่ 1-2 มวนต่อวัน แล้วนำผลการวิจัยที่ได้ไปเปรียบเทียบกับหนูทดลองที่ไม่ได้สูดดมควันบุหรี่เลย หนูที่สูดดมควันบุหรี่มีสัญญาณของโรคอัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้น เห็นได้จากสมองบางส่วนเริ่มถูกทำลายและยังพบคราบแบคทีเรียในสองของหนูทดลองซึ่งมีลักษณะคล้ายกับที่พบในสมองของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ด้วย   ศาสตราจารย์ Soto ชี้ว่าโรคอัลไซเมอร์ส่วนใหญ่ที่เกิดกับผู้สูงอายุนั้นมักจะเกิดขึ้นอย่างกระจัดกระจาย หมายความว่าไม่มีปัจจัยเรื่องของพันธุกรรมมาเกี่ยวข้อง ดังนั้นสิ่งที่พอจะบ่งบอกได้ว่าเป็นสาเหตุของโรคคือวัยที่เพิ่มขึ้นและปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเช่นควันบุหรี่ ดังนั้นคำแนะนำของนักวิจัยเรื่องนี้ก็คือควรเลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด ซึ่งเชื่อว่าน่าจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้