Tag: เบาหวาน

  • อาหารต้องห้ามของ 10 โรค

    อาหารต้องห้ามของ 10 โรค

    อาหารต้องห้ามของ 10 โรค อาหารต้องห้ามหรือของแสลง ก็คืออาหารท่านเข้าไปแล้วทำให้อาการกำเริบหรือโรคที่เป็นอยู่หายช้าลง มีพื้นฐานมาจากภูมิปัญญาทางการแพทย์พื้นบ้าน รู้ไว้จะดีกว่านะคะ ..หากเป็นโรคกระเพาะ หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกกาแฟ ชาแก่ ๆ ของทอด อาหารรสเผ็ด หรือมีไขมันสูง อาจทำให้โรคหายยากขึ้น ควรทานอาหารให้ตรงเวลาและเลือกอาหารที่ย่อยง่ายดีกว่า .. หากเป็นไข้ หรือเป็นไข้หวัด เลี่ยงอาหารที่มีความเย็น ของทอด ของมัน ที่ย่อยยาก จะยิ่งทำให้ตัวร้อนขึ้น .. หากเป็นโรคความดันโลหิตสูง หลีกเลี่ยงอาหารที่ไขมัน และคอเลสเตอรอลสูง เช่น โกโก้ ไข่ปลา ไขกระดูก หมูสามชั้น สุรา แอลกอฮอล์ต่าง ๆ รวมทั้งหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัดและผลไม้ที่มีความหวานอย่างขนุน ทุเรียน ลำไย ด้วย .. หากเป็นโรคตับหรือถุงน้ำดี เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอลด์ อาหารติดมัน เนื้อสัตว์ติดมัน เครื่องใน ของทอด ของหวานจั เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของการย่อยอาหารลดลง เพิ่มภาระให้กับตับและถุงน้ำดี ..หากเป็นโรคหัวใจและโรคไต เลี่ยงอาหารที่มีความเค็ม เพราะจะทำให้การไหลเวียนของเลือดช้าลง หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตเองก็ต้องขับเกลือมากขึ้น…

  • ฉลาดทานไอศกรีม..ไม่เสียสุขภาพ

    ฉลาดทานไอศกรีม..ไม่เสียสุขภาพ

    ฉลาดทานไอศกรีม..ไม่เสียสุขภาพ ฤดูร้อนแบบนี้ หากได้ไอศกรีมสักลูกคงชื่นใจไม่น้อยเลยทีเดียวนะคะ แต่การทานมากเกินไปก็ทำให้มีปัญหาได้เหมือนกัน นั่นเพราะในไอศกรีมประกอบไปด้วยนม น้ำตาล กะทิ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีไขมัน น้ำตาลและคอเลสเตอรอลสูงทั้งสิ้น แต่ก็ไม่จำเป็นต้องอดไปเลย เพราะหากทำตามคำแนะนำของโภชนากรดังต่อไปนี้แล้ว คุณสามารถทานไอศกรีมได้แล้วล่ะ – คนที่มีคอเลสเตอรอลสูง ให้ทานไอศกรีมที่มีไขมันน้อยหรือปราศจากไขมัน อย่างเช่น ไอศกรีมหวานเย็น หรือ ไอศกรีมซอร์เบ ฯลฯ – ผู้ที่มีไตรกลีเซอร์ไรด์สูง ทานได้เป็นครั้งคราว และครั้งละนิดหน่อยพอหอมปากหอมคอเท่านั้น เพราะในไอศกรีมมีไขมันและน้ำตาลอยู่มาก อาจทำให้ไตรกรีเซอร์ไรด์พุ่งได้นะคะ ขอเตือน – สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน ควรระมัดระวังในการทาน เพราะหากทานไอศกรีที่มีขนาดเท่าลูกปิงปองแล้ว ก็จะทำให้ร่างกายคุณได้รับพลังงานเทียบเท่าข้าวครึ่งทัพพี หรือไขมันและน้ำมัน 1 ช้อนชาเลยทีเดียว หากจะทานไอศกรีมต้องลดอาหารอื่น ๆ ลงด้วยนะคะ – สำหรับคนที่กำลังลดความอ้วน ควรเลี่ยงไอศกรีมที่มีไขมันสูง สามารถทานไอศกรีมซอร์เบ หรือหวานเย็นได้ แต่นาน ๆ ค่อยทานก็น่าจะดีกว่า อย่าทานบ่อย ๆ ค่ะ

  • กินของหวาน ๆ ทำเด็กสมาธิสั้นจริงหรือ?

    กินของหวาน ๆ ทำเด็กสมาธิสั้นจริงหรือ?

    กินของหวาน ๆ  ทำเด็กสมาธิสั้นจริงหรือ? เป็นเวลานานมาแล้วที่คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายมักจะเชื่อว่าถ้าให้ลูก ๆ ได้กินของหวาน ๆ หรือลูกกวาดต่าง ๆ มาก ๆ เด็ก ๆ จะเริ่มทำตัวไฮเปอร์ จนเหมือนเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น  หรือเข้าใจว่าจะทำให้ลูกตัวเองเป็นเด็กสมาธิสั้นด้วยซ้ำไป  ซึ่งความจริงแล้วเด็กทุกคนมีความซุกซนและกระตือรือร้นเป็นธรรมชาติของเราดยู่แล้ว  การกระโดดโลดเต้นเล่นซนจึงเป็นเรื่องแสนธรรมดาสำหรับเด็กทุกคนนั่นเอง                                                                           แต่สำหรับผู้ที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น…

  • หลากหลายเรื่องราวเกี่ยวกับ “น้ำอัดลม”

    หลากหลายเรื่องราวเกี่ยวกับ “น้ำอัดลม”

    หลากหลายเรื่องราวเกี่ยวกับ “น้ำอัดลม” แม้น้ำอัดลมจะเป็นเครื่องดื่มที่เราเห็นกันจนเจนตา และดื่มกันมากจนเจนปากก็ตาม แต่จะมีใครรู้บ้างว่าในน้ำอัดลมนั้น ให้โทษให้ประโยชน์และก่อผลกระทบอย่างไรต่อร่างกายบ้าง วันนี้มาดูกันชัด ๆ เลยค่ะ 8 ข้อ 1. แน่นอนล่ะว่าน้ำอัดลมต้องมีน้ำตาลอยู่สูงมาก เพราะเป็นสารที่ทำให้เครื่องดื่มมีความหวาน ดื่มแล้วสดชื่น แต่หารู้ไม่ว่าหากคุณดื่มทุกวัน คุณก็อาจมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วนเพราะได้รับน้ำตาลมากเกินความจำเป็น 2. ในน้ำอัดลมมีการอัดก๊าซเอาไว้ ดังนั้นการดื่มน้ำอัดลมก็จะทำให้ท้องอืด ปวดท้องแน่นท้องได้ เพราะเกิดก๊าซในกระเพาะอาหาร 3. น้ำอัดลมมีความเป็นกรดสูง ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร จะยิ่งกระตุ้นแผลและทำให้อาการแย่ลง 4. อีกทั้งกรดในน้ำอัดลมยังทำให้เคลือบฟันเสื่อม เป็นสาเหตุของฟันผุอีกด้วย 5. สำหรับผู้ที่จัดฟัน การดื่มน้ำอัดลมจะทำให้เกิดคราบบริเวณรอยต่อระหว่างเหล็กและฟัน 6. นอกจากจะทำให้อ้วน น้ำหนักเกินแล้ว การดื่มน้ำอัดลมมากเกินไปจะทำให้โพแทสเซียมในเลือดต่ำลง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ 7. ในน้ำอัดลมมีคาเฟอีน จึงทำให้ตื่นตัว แต่ก็อาจทำให้นอนไม่หลับ มีอาการใจสั่น กระทั่งปวดศีรษะได้ด้วย 8. การดื่มน้ำอัดลมทำให้กระดูกสูญเสียแคลเซียม ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนได้

  • ระวัง! 6 โรคยอดฮิตมนุษย์ออฟฟิศบ้าพลัง

    ระวัง! 6 โรคยอดฮิตมนุษย์ออฟฟิศบ้าพลัง

    ระวัง! 6 โรคยอดฮิตมนุษย์ออฟฟิศบ้าพลัง สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศที่ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ แม้ตอนนี้จะยังมีร่างกายแข็งแรงอยู่ แต่ก็ใช่ว่าการทำงานใช้ร่างกายอย่างหนักหน่วงนั้นจะไม่สร้างปัญหาให้กับร่างกายนะคะ เพราะจากการวิจัยและสำรวจมาหลายสิบปีในวงการแพทย์ พบว่าเหล่ามนุษย์ออฟฟิศทั้งหลายนั้นมีอัตราความเจ็บป่วยจากการทำงานในปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปีอย่างน่ากลัว นั่นเป็นเพราะชาวออฟฟิศทั้งหลายมักปล่อยให้ปีศาจร้ายทำลายสุขภาพอย่าง โรคเครียด, การทำงานนานเกินไป, พฤติกรรมกินอาหารไม่ตรงเวลา และไม่ยอมออกกำลังกาย เหล่านี้มาเป็นตัวการร้ายทำลายสุขภาพ ซึ่งโรคร้ายที่ทำลายสุขภาพชาวออฟฟิศมากที่สุด 6 โรค ก็คือ 1. ต้อหิน และตาพร่า ทำให้มองภาพได้ไม่ชัด ตาสู้แสงไม่ได้ และอาจลุกลามทำให้ตาบอดไ 2. ไมเกรน ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ คลื่นไส้อ่อนเพลีย และเสียสมรรถภาพในการทำงาน 3. อาการนิ้วล็อค ทำให้นิ้วกระดิกไม่ได้ ตึง และรู้สึกเจ็บ กล้ามเนื้ออักเสบ 4. ปวดหลังเรื้อรัง รวมไปถึงอาการปวดไหล่ ต้นคอ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เป็นอัมพาตได้ 5. โรคอ้วน มีความเสี่ยงทำให้เป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ ตลอดจนความดันโลหิตสูง 6. โรคกรดไหลย้อน เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งหลอดอาหาร สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศทั้งหลายที่เริ่มมีอาการนี้แล้ว หรือยังไม่มีก็ควรหันมาดูแลสุขภาพของตัวเองด้วยเคล็ดลับดังต่อไปนี้ – อย่าเพ่งจ้องจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป ควรพักผ่อนสายตาบ้าง…

  • หัวไชเท้า..กินก็อร่อย แถมเป็นยาได้อีกด้วยนะ

    หัวไชเท้า..กินก็อร่อย แถมเป็นยาได้อีกด้วยนะ

    หัวไชเท้า..กินก็อร่อย แถมเป็นยาได้อีกด้วยนะ พืชผักผลไม้ หรืออาหารที่เราทานกันเป็นประจำ หลายชนิดเลยทีเดียวที่นอกจากมีสารอาหารบำรุงร่างกายให้แข็งแรงแล้ว ก็ยังมีฤทธิ์ทางยาอีกด้วย ซึ่งโดยมากมักเป็นภูมิปัญญาโบราณที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ วันนี้ลองมาดูสรรพคุณทางยาของหัวไชเท้า หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง แล้วยังปลอดภัยอีกด้วยค่ะ 1. ตามตำราของอินเดียการทานหัวไชเท้า ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นแล้วระงับอาการทางประสาทแบบอ่อน ๆ ได้ดี 2. ตามตำราของเกาหลี ส่วนของหัวไชเท้าที่เหมาะนำมาทานเป็นยาก็คือส่วนของหัว ที่มีรสหวานเผ็ด และมีฤทธิ์เย็นเล็กน้อยนั่นเอง ดีต่อปอดและกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหารได้ ลดความดันโลหิต แล้วยังถอนพิษไข้ ละลายเสมหะได้ดี 3. สำหรับผู้สูงอายุที่มีอาการทางหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ไอ แน่นหน้าอก และมีเสมหะมาก หากได้ทานหัวไชเท้าบ่อย ๆ จะช่วยบรรเทาอาการได้ ทั้งยังช่วยบรรเทาโรคเบาหวานในผู้สูงอายุ รวมทั้งลดความอยากอาหารที่มากเกินควรด้วย 4. หัวไชเท้าที่นำมาสกัด ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย รักษาโรคบิด เลือดกำเดาไหล ปวดศีรษะ ไอมีเสมหะ อาหารไม่ย่อยได้ดี เพียงดื่มหัวไชเท้าสกัดสด ๆ วันละ 30-90 มิลลิกรัม หรือจะนำเอาหัวไชเท้าตากแห้งมาต้มดื่มวันละ 10-30 กรัมก็ได้ผลเช่นเดียวกัน หลังจากนี้ไปเวลาทางหัวไชเท้า เราคงไม่ได้มองเป็นแค่อาหารอร่อย ๆ…

  • การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบญี่ปุ่น

    การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบญี่ปุ่น

    การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบญี่ปุ่น สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานหรือผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงจนอาจจะเสี่ยงเป็นเบาหวานได้นั้น วันนี้ผู้เขียนขอนำเอาคลิปเทคนิคการลดระดับน้ำตาลในเลือดของแพทย์ชาวญี่ปุ่นมาฝากกันค่ะ ซึ่งหลักการลดระดับน้ำตาลในเลือดของแพทย์ชาวญี่ปุ่นนั้น สรุปได้ว่า 1. ให้กินผักใบเขียวก่อนอาหารหลัก 2. อาหารแต่ละคำให้เคี้ยว 30 ครั้งหรือมากกว่านั้นแล้วจึงค่อยกลืน 3. หลังทานอาหารอิ่มแล้ว 1 ชั่วโมง อย่าเพิ่งเข้านอนหรือนั่งเอื่อยเฉื่อยให้ทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเผาผลาญน้ำตาลในเลือด เช่น การเดินเล่นหรือรดน้ำต้นไม้ เป็นต้น

  • มะระ หวานเป็นลม  ขมมีประโยชน์นะ

    มะระ หวานเป็นลม ขมมีประโยชน์นะ

    มะระ หวานเป็นลม  ขมมีประโยชน์นะ ผักที่มีรสชาติขมปร่าอย่างมะระเนี่ยเป็นผักที่นำเอามาทำอาหารหลายชนิดได้อร่อยเลิศ แล้วยังมีประโยชน์มากมายไม่ว่าจะเป็นในฐานะของอาหารหรือสรรพคุณทางยาก็มากจนเรานึไม่ถึงเลยนะคะ สำหรับมะระพันธุ์ที่เป็นที่นิยมทานในเมืองไทยก็ได้แก่ มะระขี้นก และมะระจีน ที่เป็นสายพันธ์ที่ชาวจีนนำเข้ามาในประเทศไทยนั่นเองค่ะ ผลมะระจะมีขนาดใหญ่กว่ามะระขี้นก น้ำหนักมากกว่า และมีความขมน้อยกว่าไปด้วย สาเหตุที่มะระมีความขมก็เป็นเพราะว่าในมะระมีสารที่ชื่อว่า Momodicine ซึ่งช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร และก็ช่วยให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำงานได้มี่ประสิทธิภาพขึ้น รสขมของมะระยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่น ๆ ได้อีก เหมาะสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นท้องผูก มะระทั้งสองพันธ์นั้นสามารถนำมาประกอบอาหารได้มากมาย ราคาก็ไม่แพง ในส่วนของผู้ที่ต้องการลดความขมของมะระลงนั้นก็มีเคล็ดลับว่าให้นำมะระที่หั่นหรือซอยแล้ว ไปคลุกเกลือทิ้งไว้สักครู่แล้วล้างออก หรือเวลาต้มมะระยัดไส้ให้เปิดฝาหม้อไว้จนเดือดจะช่วยลดความขมของมะระได้ คุณค่าทางโภชนาการของมะระนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียมที่ช่วยการทำงานของกระดูกและฟัน ช่วยให้เลือดแข็งตัว ฟอสฟอรัสที่ช่วยประสานการทำงานกับแคลเซียม บำรุงฟัน กระดูกและสมอง กล้ามเนื้อ มีวิตามินซี ช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส มีเบต้าคาโรทีนสูง ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและปกป้องเซลล์จากการทำลายของสารก่อมะเร็งได้ด้วย ในส่วนของสรรพคุณทางยานั้นก็มีมากมายดังนี้ 1. นำใบสดมาต้มดื่มบรรเทาอาการหวัด รักษาแผลในกระเพาะอาหาร แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ลดอาการบวมหรือฟกช้ำของร่างกาย และใช้ทาแก้อาการผื่นคันได้ 2. นำเอาผลมะระสุกคั้นแต่น้ำ มาทาหน้าเพื่อแก้อาการสิวอักเสบ 3. นำผลดิบมาลวกกินกับน้ำพริก รักษาอาการปวดเข่าในผู้สูงอายุ 4. เมล็ดมะระ มีคุณสมบัติในการปรับธาตุในร่างกายให้เกิดความสมดุล 5. รากของมะระใช้ต้มน้ำดื่มแก้ไข้…

  • ชนะเบาหวานใน 6 เดือนด้วยการล้างพิษตับอ่อน สูตรที่ได้ผลจริง

    ชนะเบาหวานใน 6 เดือนด้วยการล้างพิษตับอ่อน สูตรที่ได้ผลจริง

    ชนะเบาหวานใน 6 เดือนด้วยการล้างพิษตับอ่อน สูตรที่ได้ผลจริง ต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่อาจต้องใส่นามสมมุติไว้เพื่อความเป็นส่วนตัวของคนไข้นะคะ  เป็นเรื่องจริงที่เกิดผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงได้จนสามารถเอาชนะโรคเบาหวานได้ในเวลาเพียงแค่ 6 เดือน ที่เพียงแค่ควบคุมอาหารและกินให้ถูกต้องเท่านั้นเอง ชายหนุ่มคนนี้มีนามสมมุติว่า พิรุณ  อายุ 38 ปี ชอบเล่นฟุตบอล พอหลังแล่นเหนื่อย ๆก็ชอบดื่มน้ำอัดลมขวดใหญ่  ในเวลาหนึ่งปี น้ำหนักเขาทะยานขึ้นจาก 65 กก. เป็น  75 ก.ก. แต่จะมีคนเตือนว่าเขาไม่ควรกินน้ำอัดลม และควรดูแลสุขภาพให้มากกว่านี้ ไม่ใช่แค่ออกกำลังกายแล้วกินไม่เลือกเลย  เขาจึงหันมาสนใจสุขภาพมากขึ้น  เขารู้ว่าการกินผักผลไม้ต้องดีกว่ากินน้ำหวานหรือน้ำอัดนมแน่ ๆ   แต่ครั้นจะกินแต่ผักอย่างเดียวก็ไม่อร่อย  เขาเลยเลือกหันมากินแตงโมแทนการน้ำอัดลมหลังการเล่นฟุตบอล  เขากินได้ถึง 2 ลูกในบางวัน กินแทนอาหารเย็นด้วยซ้ำ  ผลก็คือน้ำหนักตัวของเขาลดลงจาก 75 เหลือ 65 กก. ภายในระยะเวลา 6 เดือนเท่านั้น เขาหลงเข้าใจว่าตัวเองสุขภาพแข็งแรงขึ้นแล้ว  แต่กลับกลายเป็นว่าเขารู้สึกอ่อนเพลียอย่าไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วยังปัสสาวะบ่อยมาก กลางคืนต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะถึง 2-3 หน  ซึ่งสุดท้ายทำให้เขาเล่นฟุตบอลกับเพื่อน ๆ ไม่ไหวอีกต่อไป ภรรยาจึงพาไปพบแพทย์  ผลการตรวจเลือดทำให้เขาแทบล้มทั้งยืนพบว่า…

  • ปรับพฤติกรรมเปลี่ยนนิสัย ห่างไกลโรคกรดไหลย้อน!!!

    ปรับพฤติกรรมเปลี่ยนนิสัย ห่างไกลโรคกรดไหลย้อน!!!

    ปรับพฤติกรรมเปลี่ยนนิสัย ห่างไกลโรคกรดไหลย้อน!!! เดี๋ยวนี้การใช้ชีวิตในปัจจุบันต่างก็สร้างปัญหาความเครียดขึ้นได้ง่าย ๆ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ กับร่างกายอย่างไม่อาจหาที่มาได้  และหนึ่งในโรคนั้นก็คือโรคกรดไหลย้อนด้วย  โดยโรคนี้นั้นคือภาวะที่เกิดน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร  ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกรดจากในกระเพาะอาหาร  แต่มีบ้างอยู่เหมือนกันที่เป็นด่างจำลำไส้เล็ก  เมื่อกรดไหลย้อนขึ้นมาอาจทำให้เกิดอาการหลอดอาหารอักเสบหรือไม่ก็ได้  ซึ่งสาเหตุของโรคนี้มีได้หลายแบบ เช่น  หลอดอาหารเกิดการคลายโดยโดยไม่ยังไม่กลิน  หรือ ความดันจากหูรูดของหลอดอาหารส่วนปลายลดต่ำลงกว่าปกติ  หรือแม้กระทั่งเกิดการเลื่อนของกระเพาะอาหารเข้าในหลอดอาหารก็ได้  กรดจึงไหลย้อนจากกระเพาะอาหารมากขึ้น  ทำให้กระเพาะอาหารหรือหลอดอาหารบีบตัวผิดปกติ  แล้วยังอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดและมีความสัมพันธ์กับพันธุกรรมด้วย โรคนี้พบได้ในทุกช่วงอายุ  โดยเฉพาะผู้ที่พฤติกรรม เช่น อ้วน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ กำลังตั้งท้อง เป็นเบาหวาน  เป็นโรคผิวหนังแข็ง ฯลฯ  แล้วยังเกิดจากผู้ที่ใช้ยาลดความดันโลหิตหรือยาต้านโรคซึมเศร้าได้อีกด้วยเช่นกัน  สำหรับเด็กนั้นพบได้ทุกวัน  โดยจะสังเกตเห็นอาการได้คือ มักจะมีการอาเจียนหลังดูดนม โลหิตจาง น้ำหนักและการเจริญเติบโตไม่สมวัย  หอบหืด ไอเรื้อรัง ปอดอักเสบเรื้อรัง  และอาจมีอาการหยุดหายใจขณะหลับได้อีกด้วย อาการของโรคกรดไหลย้อนนี้ จะมีอาการแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ไล่ขึ้นมาถึงหน้าอก และถึงคอ  มักกำเริบขึ้นมาในช่วงหลังอาหารมื้อหนัก  การยกของหนัก การนอนหงาน การโน้มตัวไปข้างหน้า  รวมทั้งมีอการเรอเปรี้ยวด้วย  ซึ่งผู้ป่วยอาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือสองอย่างก็ได้  ซึ่งการรักษานั้นจะทำให้ผู้ป่วยดีขึ้นด้วยการรักษาแผลในหลอดอาหารและป้องกันผลแทรกซ้อน  ให้คำปรึกษาในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม  การให้ยา การส่องกล้อง การรักษาและผ่าตัด …