Tag: โรคหัวใจ
-
การดูแลช่องปากเพื่อป้องกันโรคเหงือกอักเสบ
การดูแลช่องปากเพื่อป้องกันโรคเหงือกอักเสบ โรคเหงือกอักเสบ เป็นโรคที่คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยใส่ใจมากนัก แต่หารู้ไม่ว่าโรคนี้ทำให้เกิดปัญหาลุกลามจนสูญเสียฟันได้เลยทีเดียว โดยสาเหตุของโรคเหงือกอักเสบนั้นเกิดมาจากการขาดการดูแลรักษาความสะอาดภายในช่องปากอย่างถูกวิธี จึงเกิดคราบสะสมของจุลินทรีย์รวมทั้งหินปูนที่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่ทำให้เป็นโรคเหงือกอักเสบ เหงือกบวมแดง เลือดออกตามไรฟันโดยเฉพาะเวลาที่แปลกฟัน หากไม่รักษาอาจเป็นสาเหตุให้กระดูรอบรากฟันโดนทำลายจนฟันโยกคลอนและหลุดในที่สุด นอกจากนี้แล้วโรคเหงือกอักเสบยังเป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ ตามร่างกายได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด ทำให้คนไข้เบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ยาก อาจทำให้ผู้ที่ตั้งครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้อีก ฯลฯ การดูแลช่องปากให้ห่างไกลโรคเหงือกอักเสบนั้น ควรทำความสะอาดฟันอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ เลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเช้าเย็นโดยใช้ร่วมกับไหม่ขัดฟันด้วยก็ได้ ไม่ควรทานอาหารที่มีรสเปรี้ยวจัด เช่น ส้ม มะนาว หรือน้ำอัดลมที่มีกรดสูง ไม่ควรแปรงฟันหลังกินอาหารทันทีเพราะทำให้ฟันสึกได้ง่าย ระวังอย่าแปรงฟันนานเกินไปเพราะอาจทำให้เหงือกได้รับการเสียดสีจนอักเสบได้ แล้วอย่าลืมไปตรวจสุขภาพช่องปากปีละอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ขูดหินปูนด้วย ในส่วนของสุขภาพในช่องปากของเด็ก ๆ ควรดูแลการแปรงฟันให้ถูกวิธี หลีกเลี่ยงของหวาน ลูกอม ขนมต่าง ๆ เพื่อป้องกันการกินจุบจิบไปด้วย หันมาทานผักสดผลไม้สดที่ดีต่อสุขภาพ ฟันของคุณและลูก ๆ จะได้อยู่กับเราไปนาน ๆ จนแก่เฒ่าไม่ต้องพึ่งฟันปลอมยังไงล่ะคะ
-
บรรเทาอาการกรดไหลย้อนด้วยตัวคุณเอง
บรรเทาอาการกรดไหลย้อนด้วยตัวคุณเอง เคยเป็นบ้างหรือเปล่าคะ “แสบร้อนบริเวณหน้าอกหลังทานอาหารหรือกำลังนอนหลับ” อาหารเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหัวใจและหลอดเลือดแต่อย่างใด แต่เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาบริเวณคอหอยและหน้าอก และมักจะเป็นในเวลากลางคืน ส่วนสาเหตุนั้นก็เกิดจากการที่กล้ามเนื้อหูรูดบริเวณท้ายของหลอดอาหารทำงานผิดปกติ กรดจึงไหลย้อนจากกระเพาะขึ้นมาสู่หลอดอาหาร กล้ามเนื้อของกระเพาะอาหารบีบตัวช้ากว่าปกติ ทำให้อาหารเคลื่อนตัวได้ช้า กรดจึงไหลย้อนขึ้นมาจากกระเพาะมากกว่าปกติ แล้วยังมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น แสบร้อนกลางอก หรือ HeartBurn ไอแห้ง ๆ ตอนกลางคืน เรอเปรี้ยว กลืนลำบาก เสียงแหบ อาเจียน เจ็บคอ น้ำหนักลด ฯลฯ เมื่อได้พบแพทย์แล้วได้ถูกบ่งชี้ว่าคุณเป็นโรคกรดไหลย้อนอย่างชัดเจน จะทำการรักษาด้วยการใช้ยาลดกรด ช่วยลดอาการแสบร้อนกลางอก และบรรเทาอาการจากกรดไหลย้อนได้ ยาลดกรดจะลดปริมาณของกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มการเคลื่อนตัวของระบบทางเดินอาหาร วิธีนี้ได้ผลดีในผู้ที่มีอาการไม่รุนแรง หรือแสบร้อนกลางอกเป็นครั้งคราว ถ้าอาการของคุณบ่งชี้ว่าเป็นภาวะกรดไหลย้อนอย่างชัดเจนจะทำการรักษาโดยใช้ยาลดกรดซึ่งต้องมีคุณสมบัติในการรักษาอาการแสบร้อนกลางอก และเป็นยาที่มีประสิทธิภาพบรรเทาอาการจากกรดไหลย้อนได้ เพื่อลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มการเคลื่อนตัวของระบบทางเดินอาหาร ในการกำจัดกรดซึ่งจะช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหารใช้ได้ผลดีในผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงหรือมีอาการแสบร้อนหน้าอกเป็นครั้งคราว แล้วยาลดกรดยังช่วยดูดซับแก๊สในกระเพาะอาหาร ลดการเรอเปรี้ยวและความดันในท้อง และนอกจากนี้แล้ว เรายังควรดูแลตัวเองด้วยการปฏิบัติตามหลักดังต่อไปนี้ค่ะ ควรปรับพฤติกรรมการกินอาหารให้ทานเป็นมื้อเล็ก ๆ วันละ 4-6 มื้อ หัดเคี้ยวอาหารให้ละเอียด ๆ เพื่อลดภาระของกระเพาะอาหาร ไม่ควรทานอาหารทอด อาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน หรืออาหารที่มีไขมันสูง ไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่คับแน่นเพราะจะเป็นการเพิ่มแรงดันในช่องท้องกรดก็อาจจะไหลย้อนกลับขึ้นมาได้อีก…
-
ดูแลตัวเอง…ไม่ให้หน้ามืดวิงเวียนบ่อย ๆ
ดูแลตัวเอง…ไม่ให้หน้ามืดวิงเวียนบ่อย ๆ โดยทั่วไปแล้วความดันปกติของคนเราจะอยู่ที่ 90 – 130 (ตัวบน) / 60 – 90 (ตัวล่าง) มิลลิเมตรปรอท แต่ถ้ามีค่าความดันโลหิตต่ำกว่า 90 / 60 ก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีอาการความดันโลหิตต่ำค่ะ ซึ่งเกิดจากจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ การขาดสารน้ำจากการเสียเหงื่อมาก ท้องเสีย เสียเลือด หรือความอ่อนแอจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เลือดจาง ฯลฯ โดยบางรายอาจไม่จำเป็นต้องแสดงอาการออกมา แต่บางรายก็มักมีอาการอ่อนเพลียหน้ามืด มึนงง เวลาลุกนั่งหรือเวลายืน หรือเวลาเปลี่ยนท่าเร็ว พาลจะทำให้เป็นลมได้ หากมีอาการเรื้อรัง กับมีอาการดังต่อไปนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น เจ็บหน้าอกรุนแรง ท้องเสียหรือปวดท้องอย่างมาก อาเจียนมาก ถ่ายเป็นสีดำ ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว เหงื่อแตก ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน แต่หากไม่ได้มีอาการดังกล่าวเป็นแต่เพียงอาการหน้ามืด วิงเวียนบ่อย ๆ เท่านั้นก็ควรดูแลตัวเองด้วยการปฏิบัติดังต่อไปนี้ค่ะ – เวลาเปลี่ยนท่าให้ค่อย ๆ ลุก เช่น หากตื่นนอนควรค่อย ๆ นั่งก่อนสักครู่แล้วจึงค่อยลุกขึ้นยืน…
-
วิธีปฏิบัติเมื่อพบคนเป็นลม!
วิธีปฏิบัติเมื่อพบคนเป็นลม! แม้เราจะพบเห็นคนเป็นลมกันได้ไม่บ่อยนัก แต่การเรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลคนเป็นลมไว้ก่อนก็เป็นเรื่องดี เพราะวันหนึ่งคนที่เกิดเป็นลมขึ้นมาอาจเป็นญาติสนิท คนรักของคุณก็ได้นะคะ อาการเป็นลม เกิดจากเซลล์สมองมีเลือดไปหล่อเลี้ยงไม่พอชั่วขณะ จึงทำให้หมดสติอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วฟื้นได้เองในภายหลัง ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงเซลล์สมองน้อยลงนั้นก็เกิดได้หลายอย่าง ที่พบบ่อยที่สุด ก็มักจะพบในที่ที่มีคนแออัด อากาศร้อนหรืออยู่กลางแดดจ้า มักจะมีอาการใจหวิว มีเสียงดังก้องในหู มองเห็นภาพเป็นจุดหรือตามัว หน้าซีด เหงื่อออก คลื่นไส้ มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นช้าลง แขนขาอ่อนแรง ทรงตัวไม่อยู่ แล้วทรุดลงหมดสติไป แต่หลังจากผ่านไปเพียง 1-2 นาทีก็จะฟื้นขึ้นได้เอง เมื่อเราพบเห็นคนเป็นลมนั้น ควรปฐมพยาบาลดังนี้ค่ะ – จัดท่านอนให้ผู้ป่วยนอนศีรษะต่ำกว่าเท้า หรือยกเท้าขึ้น ในที่ที่มีอากาศปลอดโปร่ง อย่าให้คนมุง ปลดเสื้อผ้าที่รัดแน่น รวมทั้งเข็มขัดออก เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้เร็วขึ้นและพอเพียง – นำผ้าเช็ดเช็ดตามใบหน้า ลำตัว ลำคอ แขนขา – หากผู้ป่วยยังไม่ฟื้นยังไม่ควรให้น้ำหรืออาหารอื่น ๆทางปากเพราะอาจสำลักได้ – เมื่อผู้ป่วยรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาอย่าเพิ่งให้นั่งทันที ควรให้พักต่อประมาณ 15-20 นาทีเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงสมองได้เต็มที่ก่อน – เมื่อผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ลุกขึ้นนั่งได้แล้ว ให้ดื่มน้ำหวานหรือดื่มน้ำหากรู้สึกกระหาย – หากผู้ป่วยไม่ฟื้นใน…
-
ประมวลผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
—
by
ประมวลผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง จากสถิตินับถึงปีปัจจุบันพบว่าคนไทยนั้นเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และมีอัตราการตายจากโรคนี้เพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้โรคมะเร็งกลายเป็นสาเหตุการตายอันดับที่หนึ่ง แซงหน้าอุบัติเหตุ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหลอดเลือดสมอง รวมทั้งโรคปอดไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตคนไทยมากเป็นอันดับหนึ่งก็คือ มะเร็งตับ รองลงมาเป็นมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และก็มะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งได้แก่ – ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก นั่นคือการได้รับสารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนจากอาหาร, การได้รับรังสีเอกซ์, รังสียูวีจากแสงแดด, การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบทุกชนิด, การติดเชื้อไวรัสแพบพิลโลมา, พยาธิใบไม้ตับ รวมถึงการดื่มเหล้าสูบบุหรี่ด้วย ฯลฯ – ปัจจัยจากความผิดปกติภายใน เช่น พันธุกรรม, ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ภาวะทุพโภชนาการ ฯลฯ ซึ่งเราสามารถสรุปกลุ่มผู้ที่เสี่ยงต่อการมะเร็งได้ดังนี้ 1. กลุ่มที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ 2. กลุ่มที่สูบบุหรี่ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทางเดินหายใจ มะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง แล้วหากดื่มเหล้าด้วยก็อาจเป็นมะเร็งช่องปากในลำคอได้อีก 3. กลุ่มที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือทานอาหารที่ปนเปื้อนอะฟลาทอกซิล ที่เป็นเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหาร ทั้งพริกป่น ถั่วลิสงป่น ฯลฯ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ แล้วถ้าได้รับทั้งสองชนิดก็มีโอกาสในการเป็นมะเร็งตับเพิ่มมากขึ้น 4. กลุ่มที่ติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ และทานอาหารที่ใส่ดินประสิว…
-
เลือกกินน้ำมันอย่างไรให้ปลอดภัย
เลือกกินน้ำมันอย่างไรให้ปลอดภัย เพราะการโฆษณาทั้งสื่อทีวีและโทรทัศน์นั้นมีผลต่อการกินอยู่ของเราคนไทยมาก สินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหลายจึงได้นำเอาคอนเซปท์ในเรื่องของคำว่า “เพื่อสุขภาพ” เข้ามาเป็นดึงดูดใจ เช่น น้ำมันพืชที่ไม่มีคอเลสเตอรอล เป็นต้น อาจทำให้คนที่รับชมโฆษณเข้าใจว่าพอไม่มีคอเลสเตอรอลแล้ว สามารถทานเท่าไรก็ได้ ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ แต่ความจริงแล้วนี่เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะการเลือกใช้น้ำมันพืชในการประกอบอาหารรวมทั้งการเลือกทานอาหารนอกบ้าน ล้วนเป็นปัจจัยในการควบคุมคอเลสเตอรอลทั้งสิ้น จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกและองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติได้แนะนำให้คนเราควรกินไขมันที่ดีต่อสุขภาพ โดยได้พลังงานจากไขมันไม่เกินร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมดในแต่ละวัน โดยได้จากกรดไขมันอิ่มตัวไม่เกินร้อยละ 10 สำหรับผู้ที่มีร่างกายปกติ และไม่เกินร้อยละ 7 สำหรับคนที่มีภาวะเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หรือหากจะคิดให้ง่ายเข้าก็คือทานน้ำมันได้ไม่เกิน 4 ช้อนชาต่อวันนั่นเอง ดังนั้นการเลือกน้ำมันสำหรับปรุงอาหารควรเลือกใช้ดังนี้ – น้ำมันสำหรับการปรุงที่ใช้อุณหภูมิสูง เช่น การผัดไฟแรง การทอด ควรเลือกใช้น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันเมล็ดชา และน้ำมันดอกคำฝอย – น้ำมันสำหรับการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนไม่สูงนักแนะนำเป็น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันดอกทานตะวัน – และน้ำมันสำหรับการปรุงอาหารที่ผ่านความร้อน หรือผ่านความร้อนต่ำ ควรเลือกใช้น้ำมันมะกอก น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว และเนย แม้บนฉลาดของน้ำมันจะเขียนว่ามีคลอเลสเตอรอลต่ำ แต่ความจริงแล้วยังไม่ไขมันทรานส์ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายมากกว่าไขมันอิ่มตัวเสียอีก ซึ่งควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด้วยเพราะจะไปเพิ่มคอเลสเตอรอลตัวไม่ดี หรือ LDL ให้มากขึ้น…
-
ใช้ชีวิตอย่างไร…ห่างไกลมะเร็งร้าย
ใช้ชีวิตอย่างไร…ห่างไกลมะเร็งร้าย คุณทราบหรือไม่คะว่า หากเราบริหารจัดการวิถีการใช้ชีวิตให้ดีแล้ว จะสามารถป้องกันการเป็นโรคมะเร็งได้ถึงร้อยละ 30-40 เชียวนะคะ แล้วยังสามารถป้องกันโรคอื่น ๆ ที่ร้ายแรงได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ อาการไขมันในเส้นเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ตลอดจนโรคกระดูกพรุนได้ด้วย วันนี้มาดูคำแนะนำในการใช้ชีวิตเพื่อให้ห่างไกลจากมะเร็งกันนะคะ 1. คุณควรเลิกบุหรี่ เพราะคุณทราบหรือไม่คะว่าหากคุณสูบบุหรี่มากกว่า 1 ซอง หรือ 20 มวนต่อวันเป็นเวลา 10 ปีนั้น คุณจะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า! เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ และหากคุณสูบอยู่แล้วเกิดอยากเลิกขึ้นมาก็สามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ถึงร้อยละ 60 การสูบบุหรี่ไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอดอย่างเดียว แต่ยังเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ หรือโรคถุงลมโป่งพองได้อีกด้วย 2. คุณควรเลิกดื่มสุรา หรือหากจำเป็นต้องดื่มเพื่อเข้าสังคมก็จำกัดไว้แค่วันละไม่เกิน 1 แก้ว ผู้ที่ดื่มสุรามากกว่า 3 แก้วต่อวันจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นถึงเกือบสิบเท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่ม แต่ถ้าคุณยังไม่เลิกดื่มแล้วยังสูบบุหรี่มากกว่าวันละ 1 ซองอีก ก็จะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งมากขึ้นเป็น 50 เท่าเลยทีเดียว! น่ากลัวเอามาก ๆ ค่ะ 3. คุณควรปรับพฤติกรรมการกิน ดังต่อไปนี้…
-
กินเนื้อสัตว์แปรรูป เพิ่มโอกาสการเป็นโรคได้
กินเนื้อสัตว์แปรรูป เพิ่มโอกาสการเป็นโรคได้ มีการรวบรวมและการศึกษาจากฐานข้อมูลผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก ที่ทำให้สรุปได้ว่า การกินเนื้อสัตว์ที่ผ่านการแปรรูป และปรุงแต่งกลิ่นรสมากเกินไป เช่น ไส้กรอก หมูแฮม กุนเชียง หมูยอ ฯลฯ จะเพิ่มโอกาสการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ถึงร้อยละ 42 ทุก ๆ น้ำหนัก 50 กรัมที่กินในแต่ละวัน หรือมีขนาดเท่ากับเหรียญห้าบาท จำนวนหกเหรียญ แล้วยังพบด้วยการกินเนื้อสัตว์แปรรูปดังกล่าวที่มีปริมาณของเกลือ และสารไนไตรท์เป็นจำนวนมากนี้จะเพิ่มโอกาสการเป็นเบาหวานมากถึงร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้กิน อีกทั้งผู้ที่กินเบคอนวันละสองชิ้น หรือกินฮอทด๊อกวันละชิ้น ยังเพิ่มโอกาสการเป็นเบาหวานขึ้น 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้กินด้วย ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคเหล่านี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือด ควรทานอาหารที่ปรงุแต่งแต่น้อย หรือไม่ปรุงแต่งเลย ทานเนื้อสัตว์ที่ปราศจากสารเคมี ไม่มีการเติมเกลือ ดินประสิว หรือสารใด ๆ กินแต่อาหารจากธรรมชาติ ผักปลอดสารพิษ ถั่ว หรือธัญพืชต่าง ๆ รวมทั้งผู้ปรุงอาหารก็ควรมีอารมณ์และจิตใจที่ดี จะทำให้อาหารมื้อนั้นมีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน ปราศจากสารก่ออันตราย ทำให้สุขภาพของผู้ป่วยแข็งแรงขึ้น ช่วยเยียวยารักษาโรคได้ และทำให้สุขภาพดีขึ้นได้อีกด้วยค่ะ
-
อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่หลีกเลี่ยงโซเดียม (เกลือ)
อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่หลีกเลี่ยงโซเดียม (เกลือ) มีผู้ป่วยอยู่หลายโรคที่จำเป็นต้องจำกัดปริมาณของโซเดียม หรือเกลือในอาหาร ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้ป่วยโรคไต เพราะโซเดียมนี้จะทำให้เกิดอาการบวม ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ การเลือกทานอาหารจึงจำเป็นต้องระวังอาหารที่มีปริมาณของโซเดียมให้ดี โดยรายการอาหารด้านล่างนี้จะรายชื่อและปริมาณของโซเดียมต่อหน่วย มก. ในอาหารที่มีน้ำหนัก 100 กรัม 1. ผักทั่วไป (ส่วนใหญ่มีโซเดียม 1 – 20 มิลลิกรัมม) ถั่ว (1- 6) และผลไม้ (1 – 15) ดังนั้นหากเป็นผักต้มหรือข้าวโพดต้มจึงไม่ควรเติมเกลือเพิ่ม 2. อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว เผือก มัน ข้าวโพด (มีโซเดียม 2 – 7 มก. / 100 กรัม) แต่หากแปรรูปแล้วจะทำให้มีโซเดียมเพิ่มขึ้นได้ เช่น ซีเรียลคอร์นเฟลค (1,158) มันฝรั่งแผ่น (997) ขนมปังแครกเกอร์ (613) ขนมปังขาว ขนมปังโฮลวีต (541)…
-
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการนอนหลับของคนเรา
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการนอนหลับของคนเรา หากเป็นช่วงเวลาวันหยุดยาวหรือเทศกาลต่าง ๆ แล้ว บางคนอาจเอาแต่เที่ยวและฉลองกันยันเช้าจนมักลืมไปเลยว่าตัวเองต้องพักผ่อน แต่ไม่ว่าจะเป็นในช่วงเวลาใด การนอนก็สำคัญสำหรับร่างกายเราอยู่ดี (เค้าไม่มารู้กับเราด้วยหรอกค่ะว่า วันหยุดยาวฉันจะฉลองฉันจะไม่นอน) ยิ่งโดยเฉพาะในกลุ่มสาว ๆ ด้วยแล้ว การอดนอนทำร้ายคุณทั้งทางสุขภาพและรูปร่างหน้าตาภายนอกชนิดปกปิดไม่อยู่เลยเชียวล่ะ ดังนั้นเพื่อการดูแลสุขภาวะที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ เราลองมาอ่านเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการนอนหลับของคนเรากันนะคะ – ในช่วงเวลานอนเป็นเวลาที่ร่างกายเราผลิตโปรตีนขึ้นมา จึงก่อให้เกิดกระบวนการสร้างเซลล์ผิวและฟื้นฟูสภาพเนื้อเยื่อและเซลล์ผิวในระหว่างการนอนหลับด้วย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการอดนอนจึงทำให้ผิวดูทรุดโทรมไม่สดใส – การนอนมีผลต่อกระบวนการจำ สมาธิในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ หากอดนอนก็จะทำให้เบลอๆ งงๆ – การอดนอนยังทำให้เกิดความเสี่ยงและเกิดการกำเริบของโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคติดเชื้อต่าง ๆ ได้มากมาย – การที่ผิวแลดูเหี่ยวย่น หรือแก่ก่อนวัยนั่นเป็นเพราะหากคุณนอนไม่พอ จะทำให้ฮอร์โมนความเครียดที่หลั่งออกมามากเกินไปส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตคอลลาเจนของผิวที่จะทำงานได้ช้าลง แล้วยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการต่อสร้างอนุมูลอิสระในร่างกายทำให้ผิวร่วงโรยก่อนวัย – รวมไปถึงหากคุณยังคงอดนอนอย่างต่อเนื่อง กระบวนการฟื้นฟูผิวที่ถูกทำร้ายจากพฤติกรรมแย่ ๆ ต่อตัวเอง และการทำร้ายจากรังสียูสี ยังไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ผิวจึงยิ่งดูแย่ลงไปกว่าเดิม – การอดนอนหรือนอนไม่พอ ยังส่งผลต่อการไหลเวียนของโลหิต ที่จะเห็นได้ชัดก็คืออาการถุงใต้ตาหรือตาบวมนั่นล่ะค่ะ – การได้นอนหลับในช่วงเวลาที่เหมาะสมจะทำให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งช่วงเวลาที่ร่างกายจะมีอุณหภูมิลดลงต่ำที่สุดก็คือช่วงตีสี่ ถึงตีห้า อีกทั้งฮอร์โมนเมลาโทนินก็จะถูกหลั่งออกมาในช่วงเวลานั้นทั้งจาก เมื่อทั้งอุณหภูมิร่างกายลดลงและระดับเมลาโทนินเพิ่มขึ้นมาเจอกัน ก็จะทำให้นอนหลับได้ง่าย…