Tag: เบาหวาน
-
ปัญหาท้องผูกในคนไทย
ปัญหาท้องผูกในคนไทย ภาวะท้องผูกเป็นภาวะที่พบได้มากถึงราวร้อยละ 15 ของประชากรในประเทศไทยเลยทีเดียว ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ทำให้ปวดแน่นท้อง หงุดหงิดไม่สบายตัว นอนไม่หลับ เสียสมาธิการทำงาน ในผู้ใหญ่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตทั้งทางด้านกาย ใจ และสังคมอย่างชัดเจน ทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิด โกรธง่าย ผู้ที่ท้องผูกเรื้อรังนาน ๆ ยังทำให้คุณภาพชีวิตลดลงไปเรื่อย ๆ พอๆ กับโรคร้ายอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น เบาหวาน เข่าเสื่อมเรื้อรัง โรคข้อรูมาตอยด์ ฯลฯ โรคท้องผูกจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรได้รับการแก้ไขทั้งในเด็กและผู้ใหญ่เลยทีเดียว จากการศึกษาพบว่าท้องผูกนั้นมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ โรคอ้วน ร่างกายขาดความกระฉับกระเฉงเพราะไม่ได้ออกกำลังกายอีกด้วย และในตลาดยานั้นพบว่ายาแก้อาการท้องผูกเป็นยาอีกชนิดที่ขายดีติดอันดับ อาการท้องผูกจึงเป็นอาการที่พบได้มากในคนไทยโรคหนึ่งเลยทีเดียวค่ะ อาการท้องผูกนี้ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีโอกาสท้องผูกมากขึ้น และตามมาด้วยอาการเบาหวาน คอเลสเตอรอลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน ภาวะซึมเศร้า ฯลฯ แล้วจะทำอย่างไรดีหากมีอาการท้องผูกเรื้อรัง – หากเป็นคนที่ทานอาหารที่มีกากใยน้อย ควรทานผักสดอย่างน้อยประมาณสองฝ่ามือต่อวัน – ทานผลไม้ 15 คำต่อวัน และควรหาธัญพืชชนิดต่าง ๆ มาทานด้วย ไม่ว่าจะเป็น ลูกเดือย ถั่วชนิดต่าง ๆ ข้าวกล้อง…
-
โรคสะเก็ดเงิน สาเหตุและการรักษา
โรคสะเก็ดเงิน สาเหตุและการรักษา หากคำนวณตามจำนวนประชากรโลกใบนี้แล้ว โรคสะเก็ดเงินสามารถพบได้ประมาณร้อยละ 2 เท่านั้น พบได้ทั้งเพศชายและเพศหญิงพอ ๆ กัน ซึ่งพบได้หลายรูปแบบดังนี้ – ผิวหนังเป็นปื้นนูนหนาขนาดใหญ่ และเป็นเรื้อรัง ปื้นมีขอบเขตชัดเจน สีชมพูถึงแดง มีสะเก็ดสีเงินปกคลุม พบได้มากบริเวณ ข้อต่อ ข้อศอก ข้อเข่า แขนขา และหลังส่วนล่าง – ปื้นรูปหยดน้ำ พบได้มากในเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ตอนต้น เป็นปื้นนูนขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร ขึ้นเป็นจำนวนมาก บริเวณลำตัว แขนขา และมีอาการหลังจากการเจ็บคอ – เป็นผื่นบริเวณข้อพับ ขาหนีบ รักแร้ ราวนม – ผื่นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เป็นผื่นหนา ๆ ที่ทำให้ฝ่ามือ ฝ่าเท้าแตกและเจ็บ – เป็นตุ่มหนองทั่วร่างกาย มีไข้ ไม่สบายเจ็บผิวหนัง – เป็นผื่นแดงทั่วตัว มีผิวหนังอักเสบทั่วร่างกายกว่าร้อยละ 90 ขึ้นไป…
-
ขยับเนื้อตัวเสียบ้าง ป้องกันโรคร้ายทั้งเจ็ด
—
by
ขยับเนื้อตัวเสียบ้าง ป้องกันโรคร้ายทั้งเจ็ด การขยับเขยื้อนร่างกายเพื่อให้สุขภาพดีขึ้นนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายที่ต้องมีกฎ กติกา พื้นที่ อุปกรณ์อะไรเหล่านั้นหรอกค่ะ การขยับร่างกายซ้ำ ๆ หรือกายบริหารเบาๆ ที่สามารถทำให้ร่างกายได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ ก็ช่วยฟิตหรือเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายได้แล้ว สำหรับผู้ที่ทำงานนั่งโต๊ะทั้งวันหรือนั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวันไม่ได้ทำอะไร อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ดังต่อไปนี้ – เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดตีบและโรคหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจตาย 1.5-2 เท่า – อัมพฤกษ์ อัมพาต 1.5-2 เท่า – ความดันโลหิตสูง 1.3-1.5 เท่า – เบาหวาน 1.3-1.5 เท่า – มะเร็งลำไส้ใหญ่ 1.3-2 เท่า – มะเร็งเต้านม 1.1-1.3 เท่า – กระดูกพรุน 1.5-2 เท่า รวมไปถึงโรคอ้วน น้ำหนักเกิน และโรคอื่น ๆ อีกกว่า 20 โรคด้วย ดังนั้นในแต่ละวันเราควรหากิจกรรมทำเพื่อขยับเขยื้อนร่างกายบ้าง…
-
ไม่ต้องตกใจ.. เลือดกำไหลหยุดได้ง่าย ๆ
ไม่ต้องตกใจ.. เลือดกำไหลหยุดได้ง่าย ๆ ยิ่งในหน้าร้อนด้วยแล้ว ภาวะเลือดกำเดาไหลพบได้บ่อยยิ่งขึ้นและพบได้ทุกเพศทุกวัย ทั้งในเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่และวัยชรา มักทำให้ตนเองและคนรอบข้างตกใจได้ง่าย ๆ สาเหตุของเลือดกำเดาไหลอาจเกิดจากหลอดเลือดที่เลี้ยงเยื่อบุจมูก ซึ่งในเด็กอายุน้อยมากเกิดจากส่วนหน้าของจมูก ส่วนผู้สูงอายุมักเกิดจากส่วนหลังของจมูก แบ่งสาเหตุออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ได้แก่ 1. มาจากบริเวณจมูก เช่น ได้รับการกระแทกซึ่งพบได้บ่อยมากที่สุด หรือเกิดจากการถูก แคะ, สั่งน้ำมูกแรง ๆ, ความกดดันอาการเปลี่ยนแรงอย่างกระทันหัน เช่น การขึ้นเครื่องบิน การอักเสบในจมูก เนื้องอกในจมูกบริเวณไซนัสและโพรงหลังจมูก รวมไปถึงการได้รับอุบัติเหตุบริเวณหัวและกระดูกใบหน้าด้วย ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีเลือดกำเดาไหลปริมาณมากและเป็นซ้ำ ๆ รวมไปถึงอาจเกิดจากการผิดรูปของผนังกั้นช่องจมูกและภาวะอากาศเย็น ความชื้นต่ำได้ด้วย เยื่อบุจมูกจึงแห้งมีเลือดไหลออกมาได้ง่าย 2. เกิดจากโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, โรคไต ไตวายเรื้อรังทำให้เกร็ดเลือดทำงานผิดปกติ , ผู้ป่วยที่กินยาบางประเภท เช่น ยาสลายลิ่มเลือด แอสไพริน ซึ่งยาเหล่านี้จะทำให้เลือดไหลได้ง่ายกว่าปกติ รวมไปถึงผู้ป่วยด้วยโรคตับแข็งและโรคเลือดต่าง ๆ ที่มีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติได้อีกด้วย การบรรเทาอาการเลือดกำเดาไหลและการดูแล – ให้ผู้เงยหน้าขึ้น บีบจมูกด้วยนิ้วชี้และนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้แน่นประมาณ 5-10 นาทีจนกว่าเลือดจะหยุดไหล…
-
เทคนิคการผ่อนคลายความเครียดแบบง่าย ๆ
เทคนิคการผ่อนคลายความเครียดแบบง่าย ๆ เดี๋ยวนี้การใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันสร้างความเครียดและความวิตกกังวลให้เราแทบจะทุกช่วงเวลาของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่วัยเด็ก วัยเรียน วัยรุ่น วัยทำงาน มีครอบครัว จนถึงวัยชรา เรามีความเครียดกันตั้งแต่ระดับเล็ก ๆ จนถึงระดับใหญ่ ๆ ที่สร้างผลกระทบต่อร่างกาย ความเครียดไม่ได้สร้างปัญหาทางจิตใจเท่านั้นแต่ยังสร้างปัญหาต่อสุขภาพอีกด้วย เพราะเมื่อเครียดก็มักนอนไม่หลับ พาลทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ ป่วยง่ายหายยาก ขาดสมาธิ และพัฒนาไปสู่โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ จนทำให้เสียชีวิตได้ ความเครียดจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว หากรู้ตัวว่าเริ่มเครียดขึ้นมาแล้ว ซึ่งจะสามารถเห็นได้จากอาการดังนี้ ไม่ว่าจะเป็น อาการวิงเวียนศีรษะ มึนงง เบื่ออาหาร หายใจถี่ แรง เร็ว เหงื่อออก กล้ามเนื้อเกร็ง นอนไม่หลับ มือเท้าเย็น หน้าซีด อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ฯลฯ หากมิได้เกิดจากโรคอื่น ๆ แล้วก็ให้ลองเทคนิคการผ่อนคลายความเครียดดังต่อไปนี้ดูนะคะ เทคนิคแรก วิธีผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว โดยการนอนราบลงบนพื้นหรือบนที่นอน นอนเหยียดตัวตรง เท้าทั้งสองข้างวางห่างกันเล็กน้อย แขนแนบข้างลำตัว กำมือให้แน่น เกร็งไหล่ ยกไหล่ขึ้น เกร็งไว้ 1…
-
มาวิ่งจ๊อกกิ้งกันเถอะค่ะ !!!
มาวิ่งจ๊อกกิ้งกันเถอะค่ะ !!! ช่วงเวลาที่อากาศดี ๆ ฝนไม่ตกเท่าไรอย่างระยะปลายหน้าฝนเข้าสู่หน้าหนาวนี้ ตามสนามกีฬากลางแจ้งมักจะพบนักวิ่งที่พากันวิ่งออกกำลังกาย หลังจากอัดอั้นกันมากในฤดูฝนที่ฝนตกเฉอะแฉะจนไม่ได้ออกกำลังกายกันเลย การวิ่งจ๊อกกิ้งนั้นเป็นกีฬาที่แทบไม่ต้องมีต้นทุนอะไรเลย นอกจากรองเท้าดี ๆ สักคู่หนึ่งแล้ว แต่กลับเป็นกีฬาที่ให้ประโยชน์มากมาย ช่วยป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคไต อัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน โรคอ้วน ฯลฯ ดังนั้นแล้วก่อนที่สุขภาพจะแย่เพราะไปรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงมากเกินไป จึงควรหันมาออกกำลังกายกันดีกว่าค่ะ แม้ในระยะแรก ๆ จะเหนื่อยมากกับการวิ่ง อาจต้องวิ่งไปเดินไปอยู่บ้าง แต่เมื่อหัดวิ่งไปมาก ๆ เข้าก็จะเริ่มวิ่งได้นานขึ้นจนกลายเป็นวิ่งเป็นชั่วโมงได้สบาย ๆ เลยทีเดียว คู่มือสำหรับนักวิ่งหน้าใหม่นั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมาก เพียงเลือกซื้อรองเท้าสำหรับวิ่ง หรือรองเท้าที่สามารถรองรับแรงกระแทกได้ดี สวมเสื้อผ้าที่สบายและระบายเหงื่อได้ง่าย และควรเลือกสถานที่วิ่งเป็นพื้นที่เรียบ ไม่ว่าจะเป็นบนฟุตบาทที่ปลอดภัยและมีพื้นผิวราบเรียบ บนพื้นถนนที่ราดยางหรือคอนกรีตป้องกันเท้าพลิกหรือสะดุด ขณะที่ไปวิ่งไม่ควรทานอาหารจนอิ่มมากเกินไป ควรทานอาหารเบา ๆ ก่อนวิ่งสักครึ่งชั่วโมงเพื่อให้อาหารได้ย่อยก่อน ดื่มน้ำล่วงหน้าแต่ไม่ต้องมากนัก และหลังการวิ่งทุกครั้งให้ดื่มน้ำเข้าไปทดแทนเหงื่อที่ไหลออกไป ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้นด้วย การวิ่งจ๊อกกิ้งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้หัวใจบีบส่งเลือดได้ดีขึ้น เลือดจึงไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อและอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ หลอดเลือดขยายตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น…
-
การออกกำลังกายที่พอเหมาะ…สำหรับคนเป็นเบาหวาน
การออกกำลังกายที่พอเหมาะ…สำหรับคนเป็นเบาหวาน การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นเรื่องที่สำคัญในการควบคุมโรคด้วยเช่นกัน ทำให้ระดับของน้ำตาลในกระแสเลือดลดลง แต่จะลดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาที่ออกกำลังกาย ความหนัก และระดับน้ำตาลก่อนการออกกำลังกาย รวมทั้งการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอด้วย ซึ่งการออกกำลังกายของผู้ป่วยเบาหวานทั้งสองชนิด นั้นมีวิธีการที่แตกต่างกัน เพราะเป็นผลมาจากการนำพลังงานไปใช้และเผาผลาญพลังงานที่แตกต่างกันนั่นเอง การออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 หรือชนิดที่พึ่งอินซูลิน หากมีสุขภาพทั่วไปดีอยู่ ให้ออกกำลังกายวันละ 20 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมง แต่ต้องควบคุมโรคและใช้ยาอินซูลินให้ดีก่อนออกกำลังกาย ผู้ป่วยควรสามารถวัดระดับน้ำตาลในเลือดของตนเองได้หากต้องการออกกำลังกายหนัก ๆ และเข้าใจการปรับเปลี่ยนการใช้หรืออินซูลินของตนเองด้วย ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ควรออกกำลังกายในช่วงเวลา บ่ายสามถึงห้าโมงเย็น หลังทานอาหารว่างแล้วประมาณครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง วันเว้นวัน และไม่ควรออกกำลังกายขณะที่อินซูลินออกฤทธิ์สูงสุด หากออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องแล้วแพทย์อาจแนะนำให้ลดการการใช้อินซูลินลง ส่วนการออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ชนิดที่ยังต้องพึ่งอินซูลิน ควรออกกำลังกายแบบเหนื่อยปานกลางอย่างต่อเนื่องประมาณครึ่งชั่วโมงต่อวัน เช่น การเดินเร็ว การว่ายน้ำ การเดินในน้ำ โยคะ รำมวยจีน หรือปั่นจักรยานอยู่กับที่ เพื่อให้ชีพจรเร็วขึ้น ควรอบอุ่นร่างกายก่อนเสมออย่างน้อย 5-10 นาที แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มการออกกำลังกายขึ้นแต่ไม่ควรหักโหมเกินไป เมื่อต้องการหยุดออกกำลังกายให้ค่อย ๆ ผ่อนลงเรื่อย ๆ เรียกว่าคูลดาวน์ ประมาณ 5-10…
-
แม้แต่เด็กเล็ก…ก็ควรระวังโรคเบาหวานด้วยนะ
แม้แต่เด็กเล็ก…ก็ควรระวังโรคเบาหวานด้วยนะ โรคเบาหวานนี้ องค์การอนามัยโลกได้ระบุว่าเป็นภัยร้ายที่กำลังคุกคามมนุษย์ไปทั่วทุกมุมโลกมากที่สุด อันตรายมากกว่าโรคเอดส์ เพราะปี ๆ หนึ่งมีผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานถึงปีละสามล้านกว่าคนทั่วโลก และถือเป็นประวัติศาสตร์โลกเลยว่านี่คือโรคไม่ติดเชื้อที่คร่าชีวิตผู้คนได้มากกว่าโรคติดเชื้อหรือโรคระบาดในอดีตที่โลกเคยมีมากเสียอีก ทั่วโลกมีผู้ป่วยด้วยโรคเบาหวานมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะโรคเบาหวานจากสภาวะอ้วนทำให้การทำงานของอินซูลินมีปัญหา ซึ่งมีสาเหตุมาจากการกินอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตมากเกินสัดส่วน รวมไปถึงการขาดการออกกำลังกายด้วย ในประเทศไทยเองโรคเบาหวานนี้ก็เริ่มจู่โจมเข้าในวัยเด็กแล้ว และตามโรงพยาบาลก็พบผู้ป่วยโรคเบาหวานในเด็กที่มีอายุน้อยลงไปเรื่อย ๆ ทุกที ล่าสุดพบเด็กป่วยเป็นโรคเบาหวานมีอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น แต่มีน้ำหนักตัวมากถึง 60 กิโลกรัม น้ำหนักตัวขนาดนี้ถือว่าอ้วนเกินมาตรฐานไปมาก อาจต้องกินยาตลอดชีวิต และบางรายมีภาวะแทรกซ้อนที่ไต ตา ประสาทส่วนปลายบริเวณขาและเท้าเกิดความยากลำบากและทุกข์ทรมานในการใช้ชีวิต ตายเร็วขึ้นด้วย วิธีการสังเกตว่าบุตรหลานของท่านเป็นเบาหวานแล้วหรือยังก็คือ ให้สังเกตว่าผิวหนังบริเวณรอบคอและรักแร้ดำเป็นปื้น ฉี่บ่อย หิวบ่อย กินจุ ชาบริเวณปลายมือปลายเท้า หรือในครอบครัวมีผู้ป่วยเป็นเบาหวาน นับตั้งแต่ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ฯลฯ หากรักลูกหลาน อยากให้มีสุขภาพแข็งแรง ควรดูแลสุขภาพให้ดีแต่เด็ก ๆ ด้วยการให้ทานอาหารให้ครบทุกหมู่และหลากหลายตามที่ร่างกายต้องการ สอนให้เด็กกินผักให้เป็น แล้วกินผลไม้แทนขนมถุง ขนมกรอบต่าง ๆ ดื่มน้ำสะอาดแทนน้ำอัดลม พากันไปวิ่งเล่นออกกำลังกายแทนการเอาแต่นั่งจุมปุ้กหน้าทีวีหรือเล่นเกมส์ทั้งวัน เด็กจะมีสุขภาพแข็งแรงและมีสุขนิสัยการกินที่ดีได้ ต้องมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นตัวอย่างด้วย หากคุณไม่ยอมกินผัก หรือออกกำลังกายแล้วเด็กจะทำได้อย่างไรล่ะคะ?
-
ดูแลตัวเองให้มีความสุขแม้จะเป็นโรคเบาหวาน
ดูแลตัวเองให้มีความสุขแม้จะเป็นโรคเบาหวาน โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังไม่ติดต่อที่จำเป็นต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ อาการของโรคนี้คือร่างกายไม่สามารถเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงานได้ตามปกติ น้ำตาลในเลือดจึงสูงขึ้นและถูกขับออกมากับปัสสาวะ โรคนี้แม้จะต้องการวินัยในการควบคุมน้ำตาลอยู่มาก แต่หากดูแลดี ๆ แล้วจะมีสุขภาพปกติได้เหมือนคนทั่วไปเช่นกัน ซึ่งขั้นแรกของการดูแลก็คือต้องทำให้น้ำหนักตัวอยู่ในมาตรฐาน อย่าปล่อยตัวให้อ้วนน้ำหนักเกิน ด้วยการดูแลร่างกายดังนี้ – ขยับตัวบ่อยๆ เคลื่อนไหวร่างกายมาก ๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เช่น อยู่ในออฟฟิศก็ใช้บันไดแทนการใช้ลิฟท์ หรืออยู่บ้านก็ปัดกวาดเช็ดถูบ้านให้สะอาดเรียบร้อยเสมอ ๆ ฯลฯ – ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 30-40 นาที เลือกตามที่ชอบไม่ว่าจะเป็นการเดินจ๊อกกิ้ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิค ก็ได้ทั้งนั้น – เปลี่ยนจากข้าวขาวเป็นข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้องที่มีคุณค่าทางอาหารมากกว่า มีเส้นใยอาหารมากกว่า ช่วยให้น้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือดได้ช้าลง การทานข้าวกล้องจึงทำให้อิ่มได้นาน อยู่ท้อง ช่วยในการลดน้ำหนักได้ดีกว่า – เลือกทานผักและผลไม้ที่มีรสไม่หวานนัก หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง เลือกอาหารที่ปรุงด้วยการต้ม นึ่ง ย่าง แทนการผัดหรือทอด จะช่วยลดไขมันสะสมในร่างกายได้มากเลยค่ะ – ทานอาหารที่ปรุงรสแต่น้อย เลี่ยงอาหารที่เค็มจัด มันมาก…
-
ผักสด ผลไม้สด .. ไม่ใช่ทุกคนจะทานได้
ผักสด ผลไม้สด .. ไม่ใช่ทุกคนจะทานได้ ผักสดผลไม้สดนั้นเป็นอาหารที่ทำให้ผู้บริโภคได้รับสารอาหารที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล ที่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานและให้รสหวาน เกลือแร่และวิตามินที่เสริมสร้างความสมบูรณ์ของอวัยวะต่าง ๆ เส้นใยอาหารที่ช่วยให้การขับถ่ายเป็นไปได้ด้วย และลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ลดเบาหวานได้ด้วย และพืชบางชนิดให้ไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายด้วยเช่นกัน ฯลฯ การบริโภคผักสดและผลไม้สด จึงเป็นเรื่องที่ควรแนะนำและส่งเสริม แต่ทุกอย่างในโลกก็ต้องมีสองด้านเสมอ แม้แต่ในผักสด ผลไม้สดก็ตาม การบริโภคสด ๆ โดยไม่ผ่านความร้อนอาจได้รับอันตรายบางประการได้ เช่น ในผักอาจมีไข่พยาธิหรือพยาธิเจือปนอยู่ หากล้างไม่สะอาดอาจทำให้เกิดโรคท้องร่วงได้ รวมไปถึงผักผลไม้บางชนิดอาจมีสารเคมีหรือยาฆ่าแมลงตกค้างอยู่ อาจก่อให้เกิดสารพิษสะสมในร่างกาย อีกทั้งผู้ที่ป่วยด้วยบางโรคจำเป็นต้องระวังผักสดผลไม้สดบางชนิดด้วย เช่น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโปตัสเซี่ยมสูง ๆ เช่น กล้วย หรือส้ม เป็นต้น รวมไปถึงคนไข้อีกบางพวกที่การทานผักสดผลไม้สด เป็นเรื่องต้องห้ามที่สุด ก็คือ คนไข้ที่ได้รับเคมีบำบัดเพื่อรักษาโรคมะเร็ง เพราะคนไข้จำพวกนี้ภายหลังจากที่ได้รับยาแล้วจะทำให้ปริมาณเม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่ในการกำจัดเชื้อโรคต่ำลง ผู้ป่วยจึงอ่อนแอเกิดโรคติดเชื้อแทรกซ้อนได้ง่าย หากต้องการผักผลไม้ ต้องเป็นผ่านการทำให้สุกด้วยความร้อนแล้วเท่านั้น อีกทั้งผลไม้บางชนิดที่ต้องรับประทานทั้งเปลือกก็ห้ามรับประทานด้วย หากต้องการทานต้องปอกเปลือกทิ้งไปแล้วให้ทานในทันทีห้ามปล่อยทิ้งไว้ แม้การทานผักสดผลไม้สดจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ผู้ป่วยบางโรคก็เป็นเรื่องต้องห้ามเช่นกัน ดังนั้นหากท่านเป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนดีกว่านะคะ