Tag: โรคเอดส์
-
ห่วงอนามัย ใส่ยาต้านเอดส์ ช่วยป้องกันผู้หญิงติดเชื้อไวรัส HIV ที่ทำให้เป็นโรคเอดส์ได้
ห่วงอนามัย ใส่ยาต้านเอดส์ ช่วยป้องกันผู้หญิงติดเชื้อไวรัส HIV ที่ทำให้เป็นโรคเอดส์ได้ นักวิจัยพยายามมาหลายปีแล้วที่จะหาทางป้องกันผู้หญิงจากการติดเชื้อไวรัส HIV ที่ทำให้เป็นโรคเอดส์ ความพยายามดังกล่าวรวมถึงถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิง และวุ้น หรือ Gel ผสมยาต้านเอดส์ Tenofovir ที่ฆ่าเชื้อได้ เป็นที่พิสูจน์มาแล้วว่า ตัวยาขนานนี้ ประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับเชื้อไวรัส HIV และมีผู้คนนับล้านๆคนทั่วโลกที่ใช้ยานี้อยู่ ห่วงอนามัยชุดใหม่ขึ้นมาสำหรับการใช้ยาต้านเอดส์ รวมทั้งยังสามารถให้ยาคุมกำเนิดได้ด้วย แต่นักวิจัยผู้นี้บอกว่า ประเภทของยาต้านเอดส์ที่ต้องใช้เป็นปัญหา กล่าวคือ ยา Tenofovir ที่จะใช้มีความแรงมาก ยาขนานนี้เรียกชื่อว่า TDF ย่อมาจาก Tenofovir Disoproxil Fumarate ซึ่งไม่มีความเสถียร และละลายในน้ำได้ด้วย ในอีกด้านหนึ่ง ห่วงอนามัยที่ใช้กันมาเป็นเวลานานแล้วนั้น ทำมาจากสาร Polymer ธรรมดา และไม่เหมาะกับ TDF จึงต้องผลิตห่วงชุดใหม่ขึ้นมา โดยใช้ Polymer ที่จะพองตัวเมื่อถูกของเหลว และปล่อยตัวยาออกมาได้มากกว่าห่วง Silicon ทั่วๆไป นักวิจัยทดลองห่วงอนามัยใหม่นี้กับลิงแสม ผลปรากฏว่า ลิงแสมกลุ่มที่ใช้ห่วงอนามัย ไม่ติดเชื้อเลย ส่วนลิงกลุ่มที่ไม่ใช้ห่วงติดเชื้อ…
-
UNAIDS ค้นพบว่า ผู้ติดเชื้อเอดส์จากทั่วโลก ลดน้อยอย่างมากในช่วง 10 ปี โดยเฉพาะเด็กที่มีมารดาติดเชื้อ HIV
UNAIDS ค้นพบว่า ผู้ติดเชื้อเอดส์จากทั่วโลก ลดน้อยอย่างมากในช่วง 10 ปี รายงานชิ้นใหม่ของ UNAIDS ชี้ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อ HIV รายใหม่ทั่วโลกลดลงอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเมื่อปีที่แล้วมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 2 ล้าน 3 แสนคน ลดลงอย่างระดับเมื่อปี ค.ศ 2001 ราว 33% โดยกลุ่มที่มีอัตราผู้ติดเชื้อไวรัส HIV ที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ลดลงมากที่สุด คือกลุ่มเด็กๆ ซึ่งมีอัตราการติดเชื้อลดลงถึง 52% ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให่้เด็กที่คลอดจากมารดาที่มีเชื่อ HIV นั้น ลดลง เพราะมีสตรีที่ติดเชื้อ HIV จำนวนมากขึ้นที่ตัดสินใจรับยาป้องกันการแพร่เชื้อ HIV จากแม่ไปสู่ลูกที่อยู่ในครรภ์ ปัจจุบันเกือบ 62% ของสตรีที่ตั้งครรภ์และมีเชื้อไวรัส HIV ต่างได้รับยาต้านเชื้อไวรัส ทำให้บุตรที่คลอดออกมาพร้อมเชื้อไวรัสดังกล่าวมีจำนวนลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับเกือบ 500,000 คนต่อปีเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เหลือเพียงประมาณ 260,000 คน และหวังว่าตัวเลขนี้จะเหลือ 0 ในช่วง…
-
AVAC สรุปความคืบหน้าเรื่อง โรคเอดส์ ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา
AVAC สรุปความคืบหน้าเรื่อง โรคเอดส์ ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา รายงานฉบับนี้ชื่อว่า Research and Reality ที่ถูกนำเสนอที่งานประชุมนานาชาติว่าด้วยเรื่อง AIDS และโรคที่แพร่จากการมีเพศสัมพันธ์ในทวีปแอฟริกา AVAC ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่หวังผลกำไรซึ่งมีภารกิจรณรงค์ต่อสู้การแพร่ของเชื้อ HIV เปิดเผยรายงานล่าสุดที่สรุปความคืบหน้าของการวิจัยเรื่อง AIDS ในรอบ 30 กว่าปีที่ผ่านมา รายงานฉบับนี้ชื่อว่า Research and Reality ที่ถูกนำเสนอที่งานประชุมนานาชาติว่าด้วยเรื่อง AIDS และโรคที่แพร่จากการมีเพศสัมพันธ์ในทวีปแอฟริกา ซึ่งมีแอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ Mitchel Warren ผู้อำนวยการบริหารของ AVAC กล่าวว่า หน่วยงานของสหประชาชาติตั้งเป้าหมายว่า ภายในอีก 2 ปีจากนี้ ควรจะมีประชากรโลก 15 ล้านคนที่ได้รับการบำบัดโรค AIDS ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายที่ต้องอาศัยการเตรียมตัวหลายเรื่อง ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจุบันจะมีการคิดค้นวิธีลดการแพร่ของเชื้อ HIV เช่น เจลฆ่าเชื้อและยาต้านไวรัส แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่ได้ถูกใช้อย่างสม่ำเสมอและกว้างขวางเท่าที่ควร Mitchel Warren แนะนำว่านอกจากการเพิ่มช่องทางการแก้ปัญหาแล้ว ควรมีการณรงค์ในระดับท้องถิ่นด้วย
-
นักวิทยาศาสต์แก้ปัญหา การเข้าถึงเครื่องมือวัดระดับเม็ดเลือดขาว ในผู้ป่วยโรคเอดส์
นักวิทยาศาสต์แก้ปัญหา การเข้าถึงเครื่องมือวัดระดับเม็ดเลือดขาว ในผู้ป่วยโรคเอดส์ ปัญหาของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ในประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญขณะนี้คือข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึงเครื่องมือแพทย์ที่ใช้วัดระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 เซลล์ดังกล่าวจะถูกทำลายโดยเชื้อ HIV ดังนั้นแพทย์จึงต้องคอยจับตาดูระดับ CD4 อย่างใกล้ชิด นักวิศวกรรมชีววิทยา พยายามช่วยหาวิธีแก้ปัญหาเรื่องข้อจำกัดในการเข้าถึงเครื่องมือวัด CD4 ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ใช้ได้สะดวก ทีมงานของอาจารย์ผู้นี้สามารถสร้างเครื่องมือต้นแบบขนาด 3 เซนติเมตร คูณ 4 เซนติเมตร ที่สะดวกใช้ เหมือนกับว่านำบริการวัดเซลล์เม็ดเลือดขาวมาสู่คนไข้ แทนที่นำคนไข้ไปสถานพยาบาล Rashid Bashir มีหุ้นอยู่ในบริษัท Daktari Diagnostics ซึ่งกำลังพัฒนาอุปกรณ์นี้เชิงพาณิชย์อยู่ เขาบอกว่าเป็นไปได้ว่าเครื่องมือนี้อาจวัดผลเม็ดเลือดขาวของผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในขั้นตอนเคมีบำบัดได้ด้วย ผู้เชี่ยวชาญอีกคนหนึ่ง Xuanhong Cheng ที่มหาวิทยาลัย Lehigh บอกว่าน่าจะใช้เวลาอีกหลายปีกว่าอุปกรณ์ต้นแบบ จะสามารถนำไปใช้ผลิตเพื่อวางจำหน่ายอย่างกว้างขวางได้
-
สหประชาชาติ รายงานถึงผู้ติดเชื้อเอดส์ ที่มีความลดลงถึง 30%
สหประชาชาติ รายงานถึงผู้ติดเชื้อเอดส์ ที่มีความลดลงถึง 30% โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติรายงานว่าจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ทั่วโลกได้ลดลงอย่างมากโดยลดลงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สถาบันสุขภาพแห่งหสรัฐ ชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ลดลงเพราะว่ามีการบำบัดผู้ติดเชื้อรายเดิมด้วยยาต้านไวรัส ด็อกเตอร์เฟาชี่ กล่าวว่าหากผู้ติดเชื้อได้รับยาต้านไวรัส นอกจากจะช่วยยืดชีวิตแล้วยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อต่อไปผู้อื่น ค่าใช้จ่ายของยาต้านไวรัสเอดส์ได้ลดลงมาจาก 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐต่อปีต่อคนหรือสามแสนบาทไปอยู่ที่ประมาณ 140 ดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น หรืออยู่ที่ 4,200 บาทต่อปีต่อคน ด็อกเตอร์เฟาชี่กล่าวว่าค่ายาต้านไวรัสว่าคุ้มค่าแม้แต่สำหรับบรรดาประเทศรายได้น้อยก็ตา การรณรงค์เกี่ยวกับโรคเอดส์ได้ช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศของคน ให้หันไปใช้ถุงยางอนามัยและมีการเลิกใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในกรณีของผู้ใช้ยาเสพติดประเภทฉีดยาเข้าเส้น มาตราการเหล่านี้ช่วยป้องกันไม่ให้มีการแลกเปลี่ยนเลือดและน้ำอสุจิ ที่เป็นตัวแพร่เชื้อเอชไอวีนอกจากนี้การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย ที่ช่วยลดการติดเชื้อได้กลายเป็นเรื่องปกติที่พบได้ทั่วไป โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติชี้ว่าการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ได้ลดลงในทุกกลุ่มอายุ แต่ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดคือกลุ่มเด็ก เนื่องจากผู้หญิงตั้งครรภ์ได้รับยาต้านไวรัสเอดส์และลดโอกาสส่งผ่านเชื้อไปสู่ทารกในครรภ์ลงไปต่ำกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ นี่ส่งผลมีเด็กติดเชื้อเอดส์จากมารดาลดลงราว 50 เปอร์เซ็นต์ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการสาธารณสุขชี้ว่าการต่อต้านเอดส์มาถึงจุดพลิกผันของสถานการณ์เอดส์ ด็อกเตอร์เฟาชี่แห่งสถาบันสุขภาพแห่งหสรัฐกล่าวว่าจุดพลิกผันคือ จุดที่มีจำนวนผู้เข้ารับยาต้านไวรัสมากมากกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ด็อกเตอร์เฟาชี่ประมาณว่าต่อจำนวนผู้ติดเชื้อหนึ่งคนที่เข้ารับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัส จะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างน้อยสองราย เขากล่าวว่าผู้ติดเชื้อไม่ได้รับยาต้านไวรัสกันหมดทุกคน กลุ่มชาวอเมริกันผิวดำเป็นกลุ่มเสี่ยงกลุ่มหลัก แม้ว่าจะเป็นจำนวน 12 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดของประเทศ มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่เป็นชาวอเมริกันผิวดำ
-
แอฟริกาใต้ วอนรัฐบาล มอบเงินเล็กน้อย เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคเอดส์ และ ความยากจน ก
แอฟริกาใต้ วอนรัฐบาล มอบเงินเล็กน้อย เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคเอดส์ และ ความยากจน รายงานการศึกษากลุ่มเด็กหญิงวัยรุ่นที่ยากจนในแอฟริกาใต้ กล่าวว่าจะลดโอกาสความเสี่ยงที่เด็กหญิงเหล่านี้จะติดเชื้อไวรัส HIV ที่ทำให้เป็นโรค AIDS ได้ ถ้ารัฐบาลให้เงินอุดหนุนเด็กหญิงเหล่านี้จำนวนเล็กน้อยเป็นประจำทุกเดือน หัวหน้านักวิจัยชาวอังกฤษ แห่งมหาวิทยาลัย Oxford ได้ทำการวิจัยว่า เด็กหญิงในกลุ่มตัวอย่างไม่มีอาหารพอรับประทาน ในครอบครัวอย่างน้อยสองวันในช่วงสัปดาห์ก่อนการสอบถาม ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นจริงที่ว่า ทั่วทั้งแอฟริกาตอนใต้นั้น เด็กหญิงวัยรุ่นเป็นจำนวนมากตกอยู่ในสภาพยากจน ปัญหาที่เด็กหญิงเหล่านี้ประสบตลอดเวลา นอกเหนือไปจากความหิวโหยแล้ว คือ ผู้ชายอายุมาก ที่ร่ำรวยและชอบเด็กผู้หญิง ภาษาอังกฤษมีศัพท์เรียกว่า ‘Sugar Daddies’ หรือศัพท์ไทยอาจจะเรียกว่า ‘ป๋า’ เหตุผลสำคัญที่เด็กหญิงยากจนเหล่านี้มองหา ‘ป๋า’ ก็เพราะไม่มีเงินเสียค่าเล่าเรียนและซื้ออาหารให้ครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีสมาชิกในครอบครัวที่เจ็บไข้ได้ป่วย เด็กผู้ชายไม่ต้องรับภาระอย่างนี้ นักวิจัยผู้นี้บอกว่า เป็นเรื่องของอุปสงค์และอุปทาน หรือลัทธินิยมทุน ซี่งมีผู้ชายมีอายุ มีเงินสด ที่แสวงหาเด็กหญิง ที่น่าสังเกตก็คือ ไม่มีสถานการณ์กลับกัน กล่าวคือ ไม่มีผู้หญิงมีอายุ มีเงินที่มองหาเด็กผู้ชาย ดังนั้นชาวแอฟริกาจึงวอนให้รัฐบาลแอฟริกาใต้มีโครงการให้เงินอุดหนุนเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เดือนละ 35 เหรียญสหรัฐ หรือราวๆ หนึ่งพันบาท จำนวนเด็กในโครงการมีประมาณ 11 ล้านคน…
-
นักวิจัยอเมริกัน ค้นพบว่าทำไมเชื้อ HIV ทำลายระบบเซลล์ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย
นักวิจัยอเมริกัน ค้นพบว่าทำไมเชื้อ HIV ทำลายระบบเซลล์ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย นักวิจัยอเมริกันพบว่าเชื้อเอชไอวีทำลายระบบภูมิคุ้มกันร่างกายด้วยการทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันอักเสบก่อนจะเริ่มทำลายเซลล์อื่นๆที่อยู่ข้างเคียงและการค้นพบนี้อาจจะนำไปสู่วิธีบำบัดวิธีใหม่เพื่อลดความรุนแรงของโรคเอดส์ลง บรรดานักวิทยาศาสตร์รู้กันมานานเเล้วว่าเมื่อเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย เชื้อไวรัสจะเข้าไประบาดในตัวเซลล์ภูมิต้านทานที่เรียกว่า CD-4 T cells และเชื้อโรคจะแตกตัวเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นล้านๆตัว ทำลายระบบภูมิคุ้นกันในร่างกายให้อ่อนแอ แต่ล่าสุดทีมนักวิทยาศาสตร์ในรัฐแคลิฟอเนียเพิ่งค้นพบเพิ่มเติมว่าทำไมเชื้อไวรัสเอชไอวีจึงเป็นเชื้อโรคระบาดที่มีความร้ายแรง ทีมนักวิทยาศาสตร์ทีมนี้พบว่าในช่วงเริ่มต้นของการติดเชื้อ เชื้อไวรัสเอชไอวีจะเข้าไปแพร่ตัวในเซลล์ CD-4 T cells เพียงไม่กี่เซลล์เท่านั้น แต่หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเริ่มทำลายเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของผู้ติดเชื้ออย่างน้อย 95 เปอร์เซ็นต์ ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่สถาบัน Gladstone Institute ในรัฐ California ได้ค้นพบว่าเซลล์ร่างกายที่อยู่ใกล้กับเซลล์ภูมิต้านทานร่างกายจะเกิดอาการอักเสบในบริเวณกว้างและปล่อยโปรตีน capcaisin-1 ออกมาเพื่อไปทำหน้าที่ดึงเซลล์ภูมิคุ้มกันร่างกายหรือทีเซลล์ตัวอื่นๆเข้าไปในจุดที่เกิดอาการอักเสบเพื่อพยายามต่อสู้กับเชื้อไวรัสเอชไอวี แต่ทีเซลล์ตัวใหม่ที่เข้าไปช่วยต่อต้านเชื้อโรคในจุดที่เกิดการติดเชื้อกลับติดเชื้อเสียเองและเริ่มตายลงในที่สุด อย่างไรก็ดี มีข่าวดีว่าอาการอักเสบที่เกิดขึ้นสามารถกำจัดได้ด้วยยาหลายชนิดที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
-
FOA รายงานถึงปัจจัยต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดโรคระบาดจากสัตว์สู่คน
FOA รายงานถึงปัจจัยต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดโรคระบาดจากสัตว์สู่คน องค์การอาหารและเกษตรโลกของสหประชาชาติหรือ FAO ออกรายงานเกี่ยวกับการระบาดของโรคจากสัตว์สู่คน ซึ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดได้ง่ายขึ้นมากในสังคมยุคปัจจุบัน Juan Lubroth หัวหน้าสัตวแพทย์ของ FAO กล่าวว่าปัจจัยต่างๆ เอื้ออำนวยให้เกิดการระบาดจากสัตว์สู่คนมากขึ้น ทั้งเรื่องอากาศเปลี่ยนแปลงผิดธรรมชาติ และการเดินทางติดต่อสื่อสารของประชากรโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ คนรุกรานระบบนิเวศน์ของสิ่งมีชีวิตที่ประชากรโลกเองก็ไม่คุ้นเคยมาก่อน นอกจากนั้นการทำฟาร์มสัตว์เพื่อสนองการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความเสี่ยงของการระบาดมีมากขึ้นด้วย ขณะนี้มีตัวอย่างโรคหลายชนิดที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าน่าจะเป็นการระบาดสู่คนที่มีจุดเริ่มต้นจากสัตว์ เช่นไวรัส HIV ที่เริ่มจากลิง หรือเชื้อไข้หวัดนกที่มีต้นตออยู่ที่สัตว์ปีก FAO เรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและครบวงจรซึ่งต้องใช้ความรู้จากศาสตร์หลายแขนง และต้องลงลึกไปถึงการหยุดโอกาสการระบาดในชุมชนหรือเมืองก่อนที่ปัญหาจะลามไปอย่างกว้างขวาง
-
ทางการสหรัฐ สนับสนุนการทดลอง บำบัดทารกที่ติดเชื้อเอดส์จากแม่ ตั้งแต่หลังคลอด
ทางการสหรัฐ สนับสนุนการทดลอง บำบัดทารกที่ติดเชื้อเอดส์จากแม่ ตั้งแต่หลังคลอด ทางการสหรัฐประกาศจะสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการทดลองทางการเเพทย์ระดับนานาชาติ เพื่อทดสอบดูว่ายาต้านไวรัสเอดส์จะสามารถกำจัดเชื้อไวรัสเอดส์ในทารกที่ได้รับเชื้อจากมารดาได้หรือไม่ หลังจากพบว่าเด็กอายุหนึ่งขวบคนหนึ่งในรัฐเเคลิฟอร์เนียซึ่งได้รับเชื้อไวรัสเอดส์จากมารดา ไม่เเสดงอาการป่วยหลังจากได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัสเอดส์อย่างต่อเนื่องตั้งเเต่หลังคลอด มาถึงตอนนี้ ยืนยันได้ว่ามีเด็กทารกสองคนในสหรัฐ ที่ได้รับเชื้อไวรัสเอดส์ขณะอยู่ในครรภ์มารดา แต่กลับปลอดจากเชื้อภายหลังจากได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัสเอดส์หลังคลอด ในทั้งสองกรณี มารดาของเด็กไม่ได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัสเอดส์ตอนคลอด ในกรณีของเด็กทารกคนเเรกที่รัฐ Mississippi ที่กลายเป็นข่าวเมื่อราวปีที่แล้ว แพทย์ได้เริ่มให้ยาต้านไวรัสเอดส์แก่เด็กคนนี้สามสิบชั่วโมงหลังจากเด็กคลอด และผลการตรวจเลือดหลายครั้งพบว่าระดับไวรัสเอดส์ในร่างกายของเด็กลดลงไปอยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบภายในหนึ่งเดือนหลังจากนั้น เด็กทารกคนนี้ได้รับยาต้านไวรัสเอดส์ นานติดต่อกันถึงหนึ่งปีครึ่ง ก่อนที่จะขาดการติดต่อกับแพทย์และเมื่อกลับมาพบเเพทย์อีกครั้ง เด็กไม่ได้รับยาต้านไวรัสเอดส์เป็นระยะเวลานานรวมกันสิบเดือน แต่ผลการตรวจเลือดหลายครั้งหลังจากนั้นก็ยังไม่พบเชื้อไวรัสเอดส์ในร่างกายเด็ก ทีมแพทย์เปิดเผยว่ามาถึงขณะนี้เด็กในรัฐ Mississippi คนนี้ได้เลิกใช้ยาต้านไวรัสเอดส์มานานเป็นระยะเวลาสองปีแล้วแต่เด็กยังเเข็งเเรงดี ในกรณีล่าสุด ทีมแพทย์ใน Long Beach รัฐ California ได้เริ่มให้ยาต้านไวรัสเอดส์แบบผสมตัวยาหลายตัวแก่เด็กทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อเอดส์รายล่าสุดภายในสี่ชั่วโมงหลังจากเด็กคลอด เเละหนึ่งปีให้หลัง เเพทย์ตรวจไม่พบเชื้อไวรัสเอดส์ในกระเเสเลือดเด็กคนนี้เลย นาย Fauci กล่าวว่ามีความหวังว่าการทดลองนี้จะช่วยให้คำตอบได้ว่าการบำบัดเด็กทารกที่ได้รับเชื้อเอดส์จากมารดาด้วยยาต้านไวรัสเอดส์ได้ผลหากดำเนินการแต่เนิ่นๆ ทารกเเรกเกิดที่ได้รับเชื้อเอดส์ในขณะอยู่ในครรภ์มารดาจะได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัสเอดส์ภายใน 48 ชั่วโมงหลังคลอด ทีมงานวิจัยจะคอยติดตามดูว่าเชื้อไวรัสเอดส์หมดไปหรือไม่และในบางกรณีอาจจะมีการทดลองค่อยๆ ลดยาลงจนเลิกใช้ยาในที่สุด การส่งผ่านเชื้อเอดส์จากมารดาสู่ลูกเเบบนี้เกิดน้อยมากในสหรัฐ เขากล่าวว่าประมาณว่าทุกปี ทุกปี มีทารกราว 250,000 คนเกิดกับมารดาที่ติดเชื้อเอดส์ ส่วนมากอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาที่ผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์แต่ไม่ได้รับการบำบัดและมักไปพบเเพทย์เป็นครั้งเเรกเมื่อไปคลอดลูก
-
นักวิจัยชาวอเมริกันชี้ว่า ในอนาคต อาจใช้ยาบำบัดมะเร็งเต้านม รักษา โรคติดเชื้อรา Cryptococcus ในผู้ป่วยเอดส์ได้
นักวิจัยชาวอเมริกันชี้ว่า ในอนาคต อาจใช้ยาบำบัดมะเร็งเต้านม รักษา โรคติดเชื้อรา Cryptococcus ในผู้ป่วยเอดส์ได้ ผู้เชี่ยวชาญประมาณว่ามีคนราวหนึ่งล้านคนทั่วโลกติดเชื้อรา Cryptococcus ต่อปี นั่นเป็นเพราะว่าการติดเชื้อราเป็นโรคฉวยโอกาสชนิดหนึ่งที่มักเกิดกับผู้ป่วยโรคเอดส์ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในชาติอาฟริกาทางใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อเอดส์อยู่ในเขตนี้ ในปัจจุบัน แพทย์บำบัดการติดเชื้อรา Cryptococcus ด้วยยาราคาเเพงสองชนิด ซึ่งไม่มีใช้ในประเทศกำลังพัฒนาและต้องใช้ฉีดเข้ากระเเสโลหิตโดยตรง ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าผู้ป่วยที่ได้รับการบำบัดดังกล่าวอย่างน้อย 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์เสียชีวิต ยาอีกชนิดหนึ่งที่ใช้บำบัดการติดเชื้อรา Cryptococcus ในประเทศกำลังพัฒนา แค่มีผลชลอการเเพร่กระจายของเชื้อราให้ช้าลงเท่านั้นและอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับยานี้ก็สูงกว่าการบำบัดด้วยยาสองชนิดแรก ทีมนักวิจัยที่นำโดยคุณ Damian Krysan ทำการค้นหายาที่มีคุณสมบัติในการกำจัดเขื้อรา Cryptococcus จากยารักษาโรคที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบันแล้วจำนวนสองพันชนิด พวกเขาค้นพบว่ายา tamoxifen ซึ่งเป็นยาที่ใช้บำบัดผู้ป่วยมะเร็งเต้านมมานานหลายสิบปีเเล้ว คุณ Krysan หัวหน้าทีมวิจัยชี้ว่ายา tamoxifen มีราคาไม่เเพงและมีคุณสมบัติที่ดีหลายประการ เขากล่าวว่าผู้ป่วยสามารถรับประทานยา tamoxifen ได้ ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ เชื้อรา Cryptococcus ทำให้สมองอักเสบ ดังนั้นตัวยาจะต้องเข้าไปในสมอง การบำบัดจึงจะได้ผลดี เขากล่าวว่า ยา tamoxifen…