Tag: โรคอ้วน
-
โรคสะเก็ดเงิน สาเหตุและการรักษา
โรคสะเก็ดเงิน สาเหตุและการรักษา หากคำนวณตามจำนวนประชากรโลกใบนี้แล้ว โรคสะเก็ดเงินสามารถพบได้ประมาณร้อยละ 2 เท่านั้น พบได้ทั้งเพศชายและเพศหญิงพอ ๆ กัน ซึ่งพบได้หลายรูปแบบดังนี้ – ผิวหนังเป็นปื้นนูนหนาขนาดใหญ่ และเป็นเรื้อรัง ปื้นมีขอบเขตชัดเจน สีชมพูถึงแดง มีสะเก็ดสีเงินปกคลุม พบได้มากบริเวณ ข้อต่อ ข้อศอก ข้อเข่า แขนขา และหลังส่วนล่าง – ปื้นรูปหยดน้ำ พบได้มากในเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ตอนต้น เป็นปื้นนูนขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร ขึ้นเป็นจำนวนมาก บริเวณลำตัว แขนขา และมีอาการหลังจากการเจ็บคอ – เป็นผื่นบริเวณข้อพับ ขาหนีบ รักแร้ ราวนม – ผื่นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เป็นผื่นหนา ๆ ที่ทำให้ฝ่ามือ ฝ่าเท้าแตกและเจ็บ – เป็นตุ่มหนองทั่วร่างกาย มีไข้ ไม่สบายเจ็บผิวหนัง – เป็นผื่นแดงทั่วตัว มีผิวหนังอักเสบทั่วร่างกายกว่าร้อยละ 90 ขึ้นไป…
-
มาวิ่งจ๊อกกิ้งกันเถอะค่ะ !!!
มาวิ่งจ๊อกกิ้งกันเถอะค่ะ !!! ช่วงเวลาที่อากาศดี ๆ ฝนไม่ตกเท่าไรอย่างระยะปลายหน้าฝนเข้าสู่หน้าหนาวนี้ ตามสนามกีฬากลางแจ้งมักจะพบนักวิ่งที่พากันวิ่งออกกำลังกาย หลังจากอัดอั้นกันมากในฤดูฝนที่ฝนตกเฉอะแฉะจนไม่ได้ออกกำลังกายกันเลย การวิ่งจ๊อกกิ้งนั้นเป็นกีฬาที่แทบไม่ต้องมีต้นทุนอะไรเลย นอกจากรองเท้าดี ๆ สักคู่หนึ่งแล้ว แต่กลับเป็นกีฬาที่ให้ประโยชน์มากมาย ช่วยป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคไต อัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน โรคอ้วน ฯลฯ ดังนั้นแล้วก่อนที่สุขภาพจะแย่เพราะไปรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงมากเกินไป จึงควรหันมาออกกำลังกายกันดีกว่าค่ะ แม้ในระยะแรก ๆ จะเหนื่อยมากกับการวิ่ง อาจต้องวิ่งไปเดินไปอยู่บ้าง แต่เมื่อหัดวิ่งไปมาก ๆ เข้าก็จะเริ่มวิ่งได้นานขึ้นจนกลายเป็นวิ่งเป็นชั่วโมงได้สบาย ๆ เลยทีเดียว คู่มือสำหรับนักวิ่งหน้าใหม่นั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมาก เพียงเลือกซื้อรองเท้าสำหรับวิ่ง หรือรองเท้าที่สามารถรองรับแรงกระแทกได้ดี สวมเสื้อผ้าที่สบายและระบายเหงื่อได้ง่าย และควรเลือกสถานที่วิ่งเป็นพื้นที่เรียบ ไม่ว่าจะเป็นบนฟุตบาทที่ปลอดภัยและมีพื้นผิวราบเรียบ บนพื้นถนนที่ราดยางหรือคอนกรีตป้องกันเท้าพลิกหรือสะดุด ขณะที่ไปวิ่งไม่ควรทานอาหารจนอิ่มมากเกินไป ควรทานอาหารเบา ๆ ก่อนวิ่งสักครึ่งชั่วโมงเพื่อให้อาหารได้ย่อยก่อน ดื่มน้ำล่วงหน้าแต่ไม่ต้องมากนัก และหลังการวิ่งทุกครั้งให้ดื่มน้ำเข้าไปทดแทนเหงื่อที่ไหลออกไป ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้นด้วย การวิ่งจ๊อกกิ้งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้หัวใจบีบส่งเลือดได้ดีขึ้น เลือดจึงไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อและอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ หลอดเลือดขยายตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น…
-
โรคเรื้อรังไม่ติดต่อ เกิดจากการกินดีอยู่ดีเกินไป
โรคเรื้อรังไม่ติดต่อ เกิดจากการกินดีอยู่ดีเกินไป โรคเรื้อรังไม่ติดต่อ คือโรคที่รักษาหายได้ยากหรือรักษาได้ไม่หายขาด ได้แก่โรคในกลุ่ม ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด เบาหวาน และโรคมะเร็ง ซึ่งจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขในปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยโรคเหล่านี้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลมากขึ้นและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุของโรคเหล่านี้เกิดจากการกินดีอยู่ดีเกินไป ไม่ว่าจะเป็น การชอบกินอาหารรสชาติหวานจัด ไขมันสูง หรือเค็มจัด การขาดการออกกำลังกาย ชอบดื่มเหล้าสูบบุหรี่ และชอบสะสมความเครียดด้วย คนที่มีน้ำหนักเกินจนอ้วนลงพุงนั้น จะมีไขมันสะสมในช่องท้องมาก โดยไขมันเหล่านี้จะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ ขัดขวางการทำงานของอินซูลินจึงเกิดผลร้ายกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เมื่อมีไขมันในหลอดเลือดก็จะทำให้หลอดเลือดเสื่อมตัวลง เกิดเป็นโรคหลอดเลือดแข็งตัว โรคหัวใจ ทำให้ไตวาย หัวใจวาย จนเป็นอัมพาตหรืออัมพฤกษ์และเสียชีวิตได้ เกณฑ์ในการเป็นโรคอ้วนลงพุงนั้น ให้วัดที่ขนาดรอบเอวโดย ผู้ชายมีเส้นรอบเอวตั้งแต่ 90 เซนติเมตรขึ้นไป และ 80 เซนติเมตรขึ้นไปในผู้หญิง รวมกับปัจจัยเสี่ยงอีก 2 ใน 4 ข้อต่อไปนี้ได้แก่ 1. มีความดันโลหิตตั้งแต่ 130/85 ขึ้นไป หรือทานยาควบคุมความดันโลหิตอยู่ 2. มีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารตั้งแต่ 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป 3. มีระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์สูงกว่า 150…
-
วิธีสังเกตสัญญาณเตือนภัย…โรคหลอดเลือดสมอง
วิธีสังเกตสัญญาณเตือนภัย…โรคหลอดเลือดสมอง เพราะเหตุที่คนไทยมีภาวะโภชนาการล้นเกิน และวิธีการใช้ชีวิตก็เอื้อให้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ มากขึ้น คนไทยจึงมีสถิติการเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาตมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะมีจำนวนสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกปีด้วย โดยโรคหลอดเลือดสมองนี้แม้จะไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงหลาย ๆ อย่างที่ทำให้เกิดโรค ไม่ว่าจะเป็น ภาวะความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน การดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ยิ่งในผู้ที่มีอายุเกิน 45 ปีขึ้นไปก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นไปอีก อาการอัมพาตนั้นมักจะมีอาการเตือนก่อนเกิดโรคเสมอ และการรักษาจะได้ผลก็ต้องเมื่อผู้ป่วยรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด ดังนั้นเมื่อพบว่าตนเองมีอาการดังต่อไปนี้เพียงข้อใดข้อหนึ่งแล้วแม้จะมีร่างกายที่แข็งแรงอยู่ ก็ควรปรึกษาไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด จะทำให้โอกาสการเสียชีวิตหรือพิการลดลงไปมากได้นั่นเอง การสังเกตอาการเตือนภัยของโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่ 1. มีอาการชาหรืออ่อนแรงที่ใบหน้า ขา แขน ด้านใดด้านหนึ่งอย่างทันทีทันใด ไม่มีสัญญาณเตือน 2. ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปอย่างทันทีทันใด ไม่ว่าจะเป็น เอะอะ สับสน โวยวาย ซึมลง หรือพูดลำบาก พูดไม่ชัด พูดไม่ได้ หรือพูดไม่เข้าใจ 3. จู่ ๆ ก็ตามัวหรือเห็นภาพซ้อนของตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างอย่างทันที 4. มึนงง เวียนหัว…
-
ดูแลตัวเองแต่เนิ่น ๆ หากไม่ต้องการเป็นโรคเรื้อรังเมื่อเข้าสู่วัยชรา
ดูแลตัวเองแต่เนิ่น ๆ หากไม่ต้องการเป็นโรคเรื้อรังเมื่อเข้าสู่วัยชรา การรักษาตัวเองให้เป็นผู้ห่างไกลโรคอยู่เสมอนั้นเป็นพรอันยิ่งใหญ่ที่ใคร ๆ ก็ปรารถนา เพราะหากเจ็บป่วยด้วยแม้เพียงโรคโดยเดียว อาจทำให้เสียทั้งเวลาและเงินทองไปกับการรักษามากมาย ยิ่งหากเป็นผู้สูงวัยด้วยแล้ว บางรายต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด ในขณะที่บางคนก็ต้องทำงานตลอดชีวิตเพื่อมารักษาโรคอีก แม้ว่าประชาชนจะมีสิทธิในการรับการรักษาพยาบาลได้ก็ตาม ก็ยังคงต้องหาเงินเพื่อมารักษาและดูแลตัวเองมากกว่าคนที่แข็งแรงอยู่ดี ดังนั้นเราจึงควรเตรียมสุขภาพเราไว้ให้ดีแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่เมื่อเราเข้าสู่วัยชราแล้วจะไม่ต้องเป็นโรคเรื้อรังให้เป็นภาระทั้งตัวเองและลูกหลานด้วย โดยทั่วไปนั้นเมื่ออายุเข้าเลขสามแล้ว ตลอดทั่วร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมโทรมลงไปเรื่อย ๆ ทำให้เป็นต้นเหตุของโรคต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคทางสมอง กระดูกพรุน โรคสายตา ฯลฯ ดังนั้นก่อนที่ร่างกายจะเสื่อมถอยลงไปจนเกิดโรคควรดูแลตัวเองดังต่อไปนี้ค่ะ 1. ควรคุมการทานอาหารให้ดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไขมันสูง อาหารที่มีเกลือมาก และอาหารรสหวานจัด 2. ควรเลิกดื่มแอลกอฮอล์ และเลิกสูบบุหรี่ด้วย 3. หมั่นออกกำลังกายให้เหมาะสม และเป็นกิจวัตรอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละครึ่งชั่วโมงขึ้นไป 4. รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในมาตรฐาน อย่าให้อ้วน 5. รักษาสุขภาพจิตให้ดี อย่าให้เครียดและควรพักผ่อนให้เพียงพอด้วย 6. ดูแลตนเองและหมั่นสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อเกิดสิ่งผิดปกติขึ้นควรไปพบแพทย์…
-
กินมื้อดึก…ร่างกายเสื่อมโทรมรวดเร็ว
กินมื้อดึก…ร่างกายเสื่อมโทรมรวดเร็ว คนที่ชอบทานอาหารมื้อดึก ๆ นั้น ถ้าสังเกตสุขภาพร่างกายของเค้าจะพบว่าเป็นคนที่ไม่แข็งแรง และมีความไม่ปกติกับร่างกายหลายส่วน ทั้งการตื่นสาย ท้องอืด ระบบการย่อยรวนเร เป็นโรคกรดไหลย้อน หรือโรคกระเพาะอาหาร ตลอดจนคนที่กินมื้อดึกยังทำให้ร่างกายทำงานหนักกว่าปกติ แทนที่ร่างกายจะได้พักผ่อนในยามค่ำคืนกลับต้องมาย่อยอาหารที่มักจะเป็นมื้อใหญ่เสียด้วย ดังนั้นร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมสภาพด้วยการเริ่มต้นเป็นโรคอ้วน เบาหวาน โรคความดัน นอนไม่หลับ ฯลฯ จนสุขภาพทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าร่างกายแก่กว่าอายุจริงไปมากเลยนั่นล่ะค่ะ การจะทราบได้ว่าคุณเป็นคนที่กินมื้อดึกหรือเปล่า ก็ให้ลองสังเกตที่มื้อเช้านั่นล่ะค่ะว่า รู้สึกจุกตื้ออยู่ หรือไม่อยากอาหารเช้าหรือเปล่า นั่นเป็นเพราะยังอิ่มจากการที่กินไว้ตั้งแต่เมื่อคืน กว่าจะได้กินก็มื้อเที่ยงไปแล้ว หรือไปมื้อบ่ายเลย ส่วนมื้อเย็นก็มักจะเป็นหลังสองทุ่มขึ้นไปและมักจะกินมื้อใหญ่ด้วย คนที่กินมื้อดึกมักจะนอนไม่หลับในเวลากลางคืน (เพราะร่างกายกำลังย่อยอาหาร) แต่มาง่วงเหงาในเวลากลางวัน อีกอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือคนกินดึกจะเจ้าเนื้อจนอวบอ้วนกว่าคนอื่น ๆ ด้วย หากไม่อยากเจ็บป่วยด้วยโรคภัยนานาชนิดและโรคอ้วนด้วยแล้ว ควรปรับพฤติกรรมการกินเสียใหม่ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการทานข้าวเช้าทุกวัน และทานทุกมื้อให้เป็นเวลาด้วย มื้อเย็นควรทานก่อนนอนประมาณ 3 ชั่วโมง หรือก่อนหกโมงเย็น เพื่อให้ร่างกายได้ย่อยอาหารได้อย่างเต็มที่ เข้าใจว่าช่วงแรกนั้นทำได้ยาก แต่ก็ค่อย ๆ ต้องปรับไปค่ะ ระหว่างนี้มื้อเย็นสามารถทานอาหารที่สร้างเมลาโทนินได้ เช่น แกงขี้เหล็กหรือข้าวโพด เพื่อให้หลับได้ง่ายจะได้ไม่ต้องหิวตอนดึก ๆ ค่ะ
-
ข้าวก็ทานน้อย ดื่มแต่น้ำแล้วทำไมยังอ้วนได้ล่ะ?
ข้าวก็ทานน้อย ดื่มแต่น้ำแล้วทำไมยังอ้วนได้ล่ะ? มีเรื่องเล่าให้คุณผู้อ่านฟังค่ะ เรื่องมีอยู่ว่ามีพนักงานสาวในโรงงานคนหนึ่ง ชื่อบังอร คุณบังอรน้ำหนักประมาณ 70 กิโลกรัม ได้ชวนเพื่อนอีกสองคนเข้าค่ายลดน้ำหนักกับโรงพยาบาล เพื่อนทั้งสองคนนี้ก็น้ำหนักสูสีกับบังอรนะคะ คือราว 70 กิโลกรัม เมื่อถึงเวลาเข้าค่ายจริง บังอรเองกลับไม่ได้มาเข้าเพราะติดธุระพอดี เพื่อนสองคนจึงเข้าอบรมในเรื่องของการลดน้ำหนักเอง เมื่อทั้งสองเข้ามาเรียนรู้ในค่าย จึงได้ทราบสาเหตุที่ตนเองอ้วนนั้นเป็นเพราะว่า ชอบกินจุบจิบและดื่มชาเย็น วันละสองถุงทุกวัน แล้วยังทานอาหารจานด่วนพวกที่ทอดน้ำมันลึกทั้งหลาย ไม่ค่อยกินผักและกินมื้อดึกประจำ กับทั้งไม่ออกกำลังกายเลยด้วย วิทยากรจึงได้แนะนำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกับการปรับพฤติกรรมการกินของตน ด้วยการลดการดื่มชาเย็น ทานอาหารที่มีน้ำมัน้อย ทานพวกแกงจืดแทน แล้วให้ทานอาหารเย็นก่อนหกโมงเย็น ออกกำลังกายทุกวันด้วยการเดินเร็ววันละครึ่งชั่วโมง ซึ่งพอสองคนนี้ทำตามก็สามารถลดน้ำหนักได้ 1 กิโลกรัมในสัปดาห์แรก จนสุดท้ายในหนึ่งเดือนนั้น เพื่อนของคุณบังอรก็สามารถลดน้ำหนักเกือบ 3 กิโลกรัมในหนึ่งเดือนเลยทีเดียว รวมไปถึงเมื่อครบระยะสามเดือน เพื่อนทั้งสองของบังอรสามารถลดน้ำหนักได้ 5.2 กิโลกรัมและ 7 กิโลกรัมตามลำดับ แต่ตัวบังอรที่ไม่เข้าค่าย ก็รีบเร่งลดน้ำหนักตามเพื่อน และด้วยความเชื่อว่าการทานข้าวแล้วจะทำให้อ้วน เธอจึงไม่ยอมกินข้าวเช้าเพื่อจะได้ลดน้ำหนักได้เร็ว ซึ่งแรก ๆ ก็ดูเหมือนจะลดได้ แต่บางวันมีทานกาแฟ ขนมบ้างนิดหน่อย เมื่อทำหลายวันร่างกายก็อ่อนเพลีย เมื่อหิวจนทนไม่ได้ก็ไปหาชาเย็น กาแฟเย็นกินตอนสาย รวมไปถึงขนมต่าง…
-
เลี้ยงเด็กอย่างไร ไม่อ้วนตั้งแต่เล็ก
เลี้ยงเด็กอย่างไร ไม่อ้วนตั้งแต่เล็ก เด็กไทยในปัจจุบันนี้มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์อ้วนลงพุงกันมากขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะเด็กชายจะอ้วนมากกว่าเด็กหญิงถึงสองเท่า เด็กในเมืองใหญ่ที่มักทานอาหารที่มีไขมันสูงก็มักจะอ้วนกว่าเด็กที่อยู่ตามชนบทด้วย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ นี่เอง อีกทั้งเมื่อเด็กอ้วนมากแล้วโตมาก็ยังคงเป็นผู้ใหญ่อ้วนอยู่ดี และเด็กทีมักมีกิจกรรมชอบนั่งเฉย ๆ เช่น เล่มเกมส์คอมพิวเตอร์หรือดูทีวีทั้งวันจะกินขนม ของกินเล่นต่าง ๆ มากกว่าเด็กที่ได้มีการเคลื่อนไหวร่างกาย ที่กินน้อยกว่า การเคี่ยวเข็ญให้ลูกลดน้ำหนักนั้นเป็นเรื่องที่ยากแน่นอน ดังนั้นผู้ปกครอง คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายคนมีเทคนิคล่อหลอก เพื่อเปลี่ยนนิสัยการกิน และพากันออกกำลังกายให้มากขึ้นตั้งแต่วัยเด็กเพื่อป้องกันเด็กอ้วนและโตมาเป็นผู้ใหญ่อ้วน ที่จะมีปัญหาสุขภาพตามมาอีกมากมาย ด้วยการดูแลเด็กดังต่อไปนี้ค่ะ 1. ให้เด็กทานอาหารเป็นมื้อ แบ่ง 3 มื้อให้ชัดเจน โดยให้มีสารอาหารที่ครบถ้วนทั้งห้าหมู่ มีผักมีผลไม้ด้วย และช่วยให้ไม่กินขนมจุบจิบหรือกินไม่เป็นเวล่ำเวลา 2. ปรับเปลี่ยนเมนูให้หลากหลาย และน่ากิน แต่ยังคงสัดส่วนอาหารที่พอดีกับร่างกายของเด็ก หมุนเวียนเปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ จะได้ไม่เบื่อง่าย ไม่ว่าจะเป็น ไข่ เลือด ตับ เต้าหู้ เนื้อปลา อาหารทะเล โดยให้เด็กกินผักและผลไม้ทุกมื้ออาหารด้วยค่ะ 3. อาหารว่างหรือขนมไม่ควรมีแป้ง น้ำตาล หรือไขมันสูง เช่น มันฝรั่งทอด โดนัท เบเกอรี่ กล้วยบวชชี…
-
ป้องกันอาการปวดหลังเสียแต่เนิ่น ๆ
ป้องกันอาการปวดหลังเสียแต่เนิ่น ๆ ในประชากรวัยผู้ใหญ่กว่าร้อยหละแปดสิบ หรือแปดในสิบคนนั้น มักจะมีอาการ ปวดหลัง ซึ่งนับเป็นการเสื่อมถอยของร่างกายประเภทหนึ่ง โดยอาการปวดจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงและการดูแลตัวเองด้วย ผู้ที่มีอาการปวดหลังนี้ กว่าครึ่งจะหายได้เองในสองสัปดาห์ ร้อยละ 90 จะหายได้ในสามเดือน แต่ยังมีอยู่บ้างเหมือนกันราวร้อยละ 5 ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังและอาการลุกลามมากขึ้น เนื่องจากการอักเสบนั้นก้าวข้ามไปถึงขั้นเส้นประสาทถูกทำลาย ซึ่งจะแสดงอาการออกมาเป็นการกลั้นอุจจาระหรือปัสสาวะไม่อยู่และแขนขาอ่อนแรง ในกรณีนี้ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนค่ะ ซึ่งวิธีการป้องกันโรคปวดหลังได้ดีที่สุดก็คือการออกกำลังกาย และป้องกันตนเองมิให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งการบริหารกล้ามเนื้อหลังจะต้องค่อย ๆ สร้างความแข็งแรงทั้งกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลังไปด้วยกัน และต้องบริหารข้อต่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวกด้วย ซึ่งอาจทำได้ด้วยการเดิน การปั่นจักรยาน การว่ายน้ำ ล้วนทำให้หลังแข็งแรงขึ้นได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญอีกอย่างที่จะไม่ทำให้ปวดหลังก็คืออย่าปล่อยตัวให้อ้วนลงพุง ทานอาหารที่มีคุณค่า รวมไปถึงออกกำลังกายให้มีความสม่ำเสมอด้วย นอกจากนี้การปรับอิริยาบถให้ถูกต้องก็เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย.. การยืนนั้นต้องหลังตรง แขม่วท้องไว้นิด ๆ ยืนให้ตัวตรงไม่โก่งหรือคด ให้แนวติ่งหูหรือข้อสะโพกเป็นแนวเดียวกัน ไม่ควรยืนนานเกินไป ไม่ควรสวมรองเท้าส้นสูงมาเกินไป ภายในรองเท้าควรหาแผ่นรองเท้าอุ้งเท้าไว้เพื่อซับน้ำหนัก และหากจำเป็นต้องยืนนาน ๆ ควรหาที่พักเพื่อพักเท้า หรือมีเก้าอี้หรือโต๊ะตัวเล็กไว้ช่วยวางเท้าข้างหนึ่งด้วย ทำให้เป็นนิสัยไว้ตลอดไปจะป้องกันอาการปวดหลังพร้อมทั้งอาการข้อเสื่อมต่าง ๆ ได้ การนั่ง ควรเลือกเก้าอี้ที่มีพนักพิงบริเวณเอว เลือกใช้ที่นั่งที่สบายและหมุนได้ ป้องกันการบิดของเอวและที่พักแขน ขณะที่นั่งพักหัวเข่าควรอยู่สูงกว่าระดับข้อสะโพกเล็กน้อย และควรมีเบาะรองเท้าหรือหมอนเล็ก ๆ…
-
อ้วนตั้งแต่เด็ก….เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสูง
อ้วนตั้งแต่เด็ก….เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสูง เพราะการกินอยู่เดี๋ยวนี้สะดวกขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ขายตามหน้าโรงเรียน ตามทางเท้า ตามร้านสะดวกซื้อหรือห้างซุปเปอร์สโตร์ขนาดใหญ่ที่เปิดอยู่แทบทุกหัวถนน อีกทั้งพ่อแม่ยังเก็บอาหาร ขนมต่าง ๆ เอาไว้ให้ลูกเพราะกลัวตัวเองจะมีเวลาว่างไม่มากพอสำหรับการดูแลอาหาร เด็ก ๆ จึงไม่ค่อยได้ทานอาหารที่มีประโยชน์มากนัก กลับถึงบ้านก็กินขนมดูทีวี ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายวิ่งเล่นมากเท่าที่ควร เด็กสมัยนี้จึงอ้วนลงพุงแต่เล็กกันเยอะมาก ปัจจุบันนี้มีผลสำรวจพบว่าเด็กหรือเด็กวัยรุ่นที่มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ระดับช่วงต้นของชีวิตนั้นจะทำให้เด็ก ๆ มีโอกาสการเป็นมะเร็งสูงกว่าเด็กวัยเดียวกันที่มีน้ำหนักในเกณฑ์มาตรฐานถึงร้อยละ 35 และเมื่อโตขึ้นแล้วเริ่มออกกำลังกายหรือลดน้ำหนัก และปรับการกินอาหารแล้วความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งก็มิได้ลดลงไปอยู่ดี นอกจากนี้แล้วค่าดัชนีมวลกายที่สูงตั้งแต่อายุ 18 ปี จะนำไปสู่การเป็นมะเร็งในเวลาต่อมาสูงยิ่งกว่าคนที่มีค่าดัชนีมวลกายสูงในช่วงวัยกลางคนเสียอีก ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การรักษาสุขภาพที่ดีไว้ตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการมาดูแลสุขภาพในช่วงวัยโตหรือวัยกลางคนแล้ว ดังนั้นเด็กและวัยรุ่นจึงไม่ควรปล่อยตัวให้อ้วนน้ำหนักเกิน เพื่อลดโอกาสการเป็นมะเร็งนั้นเอง ความรับผิดชอบนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวของเด็กเท่านั้น แต่ผู้ปกครองที่ดูแลเด็กควรมีส่วนร่วมและเป็นผู้นำในการจัดการปรับวิถีการกินและการใช้ชีวิตของเด็ก ให้มีสุขภาวะที่ดี ปรับตารางการเรียน การเล่น ให้เด็กได้มีโอกาสออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ได้ทานอาหารที่สะอาดปลอดภัย และมีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน ลดละการให้เด็กทานอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลมาก แป้งมาก โดยเฉพาะจังค์ฟู้ดทุกสัญชาตินั่นล่ะตัวดี และที่สำคัญที่สุดก็คือหากอยากให้เด็กหรือวัยรุ่นมีสุขภาพแข็งแรงแล้วล่ะก็ การมีพ่อแม่เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตัวกลับเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้ลูก ๆ ของเรามีอายุยืนยาวและสุขภาพแข็งแรง กับมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลดลงอีกด้วยค่ะ