Tag: เบาหวาน

  • การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ

    การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ

    การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ ผู้สูงอายุนั้นจะเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยจากสาเหตุสี่ประการได้แก่ 1. ความเสื่อมโทรมลงของอวัยวะซึ่งเป็นไปตามวัย 2. พฤติกรรมและการดูแลสุขภาพเท่าที่ผ่านมา 3. การเปลี่ยนแปลงไปของเซลล์ภายในร่างกาย 4. ปัจจัยที่ถ่ายทอดกันมากทางพันธุกรรม หลายโรคนั้นสามารถป้องกันได้ ด้วยการดูแลรักษาสุขภาพไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องอาหารการกินที่ควรกินให้ครบหมู่ แต่ให้เน้นผักและผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง หวานหรือเค็มจัด ดื่มน้ำมาก ๆ และหมั่นออกกำลังกายในแบบที่ชอบ เพื่อลดภาวะอ้วนน้ำหนักเกินอันเป็นต้นเหตุของโรคเรื้อรังได้อีกหลายโรคไม่ว่าจะเป็น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและข้อเข่าเสื่อม ทั้งยังเป็นสาเหตุของมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย การพยายามรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในมาตรฐานจึงเป็นมาตรการดูแลรักษาสุขภาพที่ดีอีกอย่างหนึ่งด้วย ในผู้สูงอายุนั้นควรมีการดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้เป็นพิเศษ เช่น สังเกตว่ามีแผลเรื้อรังไม่หายบ้างหรือเปล่า มีปัญหาการกลืนหรือย่อยอาหารหรือไม่ รู้สึกเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ไอเรื้อรัง ไข้เรื้อรัง เหนื่อยง่าย เจ็บหน้าอก ท้องเสีย ท้องผูกเรื้อรังบ้างหรือเปล่า ฯลฯ เหล่านี้จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายให้ละเอียดต่อไป โรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุนั้นสามารถป้องกันและดูแลตนเองเพื่อลดความรุนแรงได้ อย่างเช่น – โรคไขข้อเสื่อม ควรดูแลไม่ให้น้ำหนักมากเกินจนไปส่งผลให้ข้อเข่ารับน้ำหนักตัวเกิน หมั่นบริหารกล้ามเนื้อรอบข้อให้แข็งแรง ทนุถนอมข้อเข่าให้มาก ๆ อย่างเคลื่อนไหวร่างกายหรือบิดข้อมากเกินไป ควรนั่งบนเก้าอี้ที่สบาย หลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบ ขัดสมาธิ หรือคุกเข่าเพื่อลดการแรงกระทำต่อข้อ ป้องกันการหกล้มด้วยการฝึกเดินหรือใช้เครื่องพยุงร่างกาย ปรับสภาพแวดล้อในบ้านด้วยการทำพื้นไม่ให้ลื่น…

  • อร่อยปาก…ลำบากพุง !!!

    อร่อยปาก…ลำบากพุง !!!

    อร่อยปาก…ลำบากพุง !!! อาหารอร่อย ๆ นั้นทุกคนไม่ว่าใครก็ชอบกิน เพราะอาหารอร่อยทำให้ผู้ทานรู้สึกมีความสุข คลายเครียดได้ หลายคนที่มีความเครียด หรือความกดดันจากชีวิตด้านอื่นมักจะเลือกการกินเพื่อบรรเทาความเครียดในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรสชาติที่ถูกปากที่ถูกปรุงรสด้วยเครื่องปรุงต่าง ๆ กลิ่นหอมที่ได้กลิ่นเมื่อไรก็น้ำลายสอ ความอร่อย หวานหอม สดชื่นจากเครื่องดื่ม และบรรยากาศดี ๆ ในร้านอาหารก็ยิ่งทำให้รู้สึกอยากกินบ่อย ๆ เมื่อเป็นแบบนี้นาน ๆ เข้า ความอ้วนและน้ำหนักเกินก็มาเยือน ยิ่งถ้าไม่ค่อยมีเวลาได้ออกกำลังกายมากขึ้น การมีโรคเรื้อรังก็ตามมา และนับวันปัญหาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนที่มีอายุน้อยลงไปเรื่อย ๆ ยิ่งในประเทสสหรัฐอเมริกาแล้ว อาหารที่ประชากรในประเทศทานก็ยิ่งเอื้อให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น มันฝรั่งทอด เนื้อแดงชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไส้หรอก หมูแฮม เบคอน อาหารขยะต่าง ๆ รวมไปถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่คนอเมริกันทำนั้นก็ไม่ค่อยจะทำให้มีให้มีสุขภาพดีเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง ๆ นอนๆ ดูทีวี หรือนอนน้อย เหล่านี้ทำให้ชาวอเมริกันประสบปัญหากับโรคอ้วนมากขึ้น แม้แต่คนไทยเองที่เริ่มกินเนื้อสัตว์มากกว่ากินข้าวและผัก ดื่มน้ำอัดลม ชาเย็น ของทอดน้ำมัน และอาหารปรุงแต่งมากขึ้น กินผักผลไม้น้อยลง นั่ง…

  • แนวทางการเลือกเครื่องดื่มที่จะไม่ทำให้เราอ้วน

    แนวทางการเลือกเครื่องดื่มที่จะไม่ทำให้เราอ้วน

    แนวทางการเลือกเครื่องดื่มที่จะไม่ทำให้เราอ้วน มีคนอยู่ส่วนน้อยค่ะ ที่จะทราบว่าเครื่องดื่มเย็น ๆ รสชาติหวานหอม ไม่ว่าจะเป็น กาแฟเย็นหวานมัน ชานมไข่มุก น้ำปั่น น้ำอัดลมต่าง ๆ ฯลฯ จะทำให้คุณสามารถอ้วนขึ้นได้ง่ายมากเลยค่ะ เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีแคลอรี่เป็นจำนวนมาก เพราะส่วนผสมก็คือ ครีมเทียม นม น้ำตาล ไซรัป หวาน ๆ นั่นเอง นอกจากทำให้อ้วนแล้วยังทำให้เป็น โรคเบาหวาน ฟันผุ และปัญหาสุขภาพอีกมากมายด้วย อีกทั้งในปัจจุบันนี้มีเครื่องดื่มหลายชนิดออกมาทำตลาดมากมาย ดังนั้นเราจึงควรมีวิจารณญาณในการเลือกเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพเรา ด้วยแนวทางต่อไปนี้ 1. เครื่องดื่มที่ดีที่สุดก็คือ “น้ำเปล่า” นั่นเองค่ะ ช่วยให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานอย่างเป็นปกติ ดับกระหายและให้ความชุ่มชื้นกับร่างกาย ควรดื่มน้ำวันละสองลิตรขึ้นไปด้วยจึงจะเพียงพอค่ะ 2. รองลงมาน้ำสะอาดก็คือ ชาและกาแฟที่ไม่เติมครีมหรือน้ำตาลใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้ไม่มีแคลอรี่เลย สำหรับบางคนที่อาจไวต่อคาเฟอีนอาจมีอาการใจสั่นหรือคลื่นไส้ได้เมื่อดื่มกาแฟ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่า 3. น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง หรือนมที่มีไขมันต่ำ เพราะในนมนั้นมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ให้แคลเซียม เพื่อบำรุงกระดูก ส่วนน้ำเต้าหู้หรือนมถั่วเหลืองก็เป็นเครื่องดื่มอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้นมวัว ให้โปรตีนและแคลเซียมต่อร่างกายได้เหมือนกันค่ะ…

  • ใช้ชีวิตอย่างไร ไตไม่วาย

    ใช้ชีวิตอย่างไร ไตไม่วาย

    ใช้ชีวิตอย่างไร ไตไม่วาย มีคนจำนวนไม่น้อยไม่ทราบว่าทำไมตนจึงเป็นโรคไตวายระยะสุดท้ายได้ แต่คนที่เป็นโรคที่อาจเกิดความเสี่ยงไตวายนั้น ทั้งโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน จำเป็นต้องมาพบแพทย์เพื่อรับยาเป็นประจำตามที่หมอพยาบาลแนะนะ ก็คงจะปลอดจากโรคไตได้ แต่ก็มีบางท่านที่สุขภาพแข็งแรงมาก ซ้ำยังเป็นนักกีฬา ไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน ฯลฯ ไม่ได้แปลว่าท่านจะไม่ได้ป่วย ท่านอาจมีโรคไตซ่อนอยู่ในตัวก็ได้ ทางที่ดีควรปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ดีกว่าค่ะ 1. ตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี ด้วยการตรวจหาระดับครีอะตินีนด้วย ซึ่งจะบอกได้ว่าเป็นโรคไตหรือไม่ หากมีความผิดปกติก็แพทย์จะแนะนำให้ตรวจซ้ำและตรวจเพิ่มเติมส่วนอื่น ๆ ด้วย 2. ดูแลสุขภาพตัวเอง ด้วยการกินอาหารที่มีคุณค่า ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ 3. งดการสูบบุหรี่ และลดปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ หลีกเลี่ยงสารเสพติดทุกชนิดด้วย 4. หากร่างกายแสดงสัญญาณเตือน ก็ควรรีบไปหาหมอเพื่อการตรวจ 5. ระวังอย่าให้ท้องเสีย เพราะผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่มีอาการท้องเสียโดยเฉพาะถ่ายเป็นน้ำมาก ๆ จะทำให้ร่างกายขาดน้ำอย่างรวดเร็ว จึงเกิดอาการไตวายเฉียบพลันต้องล้างไต แต่บ่อยครั้งที่ไตไม่ฟื้นอีกเลยผู้ป่วยต้องล้างไตไปตลอดชีวิต 6. อย่าซื้อยากินเอง 7. อย่ากินยาซ้ำซ้อน บางท่านไปหาหมอหลายคลินิกก็ได้ยาแก้ปวดคล้ายๆ กันมาหลายยี่ห้อ กินเข้าไปพร้อมกันจะเกิดผลเสียอย่างร้ายแรง และอย่าเก็บยาเก่าไว้กิน ยกเว้นได้นำไปให้หมอตรวจดูแล้วบอกว่ากินต่อไปได้เท่านั้น 8. อย่าหลงคำโฆษณาด้วยการกินอาหารเสริม บางอย่างมีเกลือผสมอยู่มากเกินไปอาจทำให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังและทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้ หากไม่ต้องการเป็นไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย…

  • ลดอาหารเค็มป้องกันไตวาย

    ลดอาหารเค็มป้องกันไตวาย

    ลดอาหารเค็มป้องกันไตวาย บทความวันนี้ตอบข้อสงสัยของใครหลายคนที่ติดรสชาติเค็มกันอยู่นะคะ ที่มักจะถามว่ากินเค็มมากจะเป็นโรคไตไหม คำตอบจากหมอก็คือคนทั่วที่กินเค็มมากไปนิดหน่อยก็ยังไม่เป็นไร ไตยังขับเกลือออกได้ แต่หากมีอาการของไตเสื่อมแล้วก็ไม่ควรกินเค็ม ไม่ใช่แค่นี้ แต่คนที่มีอาการความดันโลหิตสูง เบาหวาน ก็ไม่ควรกินเค็มด้วยเหมือนกัน การควบคุมอาหารเค็มสำหรับผู้ป่วยไตเสื่อมนั้น ควรทำอาหารทานเอง หรือบอกแม่ครัวร้านอาหารให้งดเกลือ งดน้ำปลา ตัวผู้ป่วยเองเวลาไปทานอาหารก็ต้องงดการเติมน้ำปลา หรือเครื่องปรุงเวลาทานก๋วยเตี๋ยวด้วย และควรทานแบบแห้งเท่านั้น เพราะในน้ำซุปก๊วยเตี๋ยวก็มีเกลืออยู่มากเช่นกัน ไม่ควรซื้ออาหารสำเร็จรูปมาทาน เพราะอาหารเหล่านี้มีเกลือผสมอยู่มาก หากท่านตรวจพบว่าตนเองเป็นโรคไตเสื่อมอยู่แล้ว ต้องการระมัดระวังการกินอาหาร ควรวางแผนและจัดการดังต่อไปนี้ค่ะ 1. สอบถามแพทย์ผู้รักษาว่าท่านเป็นโรคไตในระดับใดแล้ว สามารถกินอะไรได้บ้าง แล้วมากน้อยขนาดไหน? 2. ควรรู้ไว้ว่าการกินโปรตีนมากเกินไปจะทำให้ไตเสื่อมสภาพได้ กินน้อยไปจะทำให้ขาดอาหาร และเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้อีก 3. การกินเค็มจะทำให้เกิดอาการบวม ความดันโลหิตสูง และหัวใจวายได้ 4. ผู้ป่วยโรคไตสามารถกินผักได้เท่าที่ต้องการ ยกเว้นหมอห้าม 5. แต่สำหรับผลไม้ อาจต้องจำกัดในรายที่มีอาการไตเสื่อมมาก 6. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง ยกเว้นหมอสั่งให้ทาน 7. ดื่มน้ำน้อยทำให้ไตเสื่อม แต่ดื่มน้ำมากทำให้หัวใจวาย ต้องกะปริมาณให้พอดีโดยถามหมอ 8. ไม่ควรทานอาหารแปรรูป อาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง…

  • สาเหตุและชนิดของโรคต้อหิน

    สาเหตุและชนิดของโรคต้อหิน

    สาเหตุและชนิดของโรคต้อหิน ต้อหิน เป็นสาเหตุใหญ่ของการตาบอดของคนในโลกนี้รวมทั้งประเทศไทยด้วย มักพบได้บ่อยในผู้ทีมีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติเป็นต้อหินในครอบคัว สายตาสั้นหรือสายตายาวมากผิดปกติ เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มีประวัติใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน หรือเคยประสบอุบัติเหตุทางตามาก่อน กลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงในการเป็นต้อหินสูงขึ้น อาการของโรคต้อหิน จะเริ่มจากการสูญเสียการมองเห็นของลานสายตารอบนอกก่อน เมื่อโรครุนแรงขึ้น ลานสายตาจะแคบลงเรื่อย ๆ จนตาบอดในที่สุดหากไม่ได้รับการรักษา ซึ่งสาเหตุของการเกิดต้อหิน แบ่งออกได้ดังนี้ 1. ต้อหินแบบมุมเปิด พบได้มากโดยเฉพาะคนที่อายุมากกว่า 40 ปี มักไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า เกิดการสูญเสียการมองเห็นจากรอบนอกลานสายตาและค่อย ๆ ลามเข้ามาตรงกลางจนมืดในที่สุด 2. ต้อหินแต่กำเนิด พบได้ตั้งแต่เด็กทารกแรกเกิดจนถึงอาย 3 ขวบ เกิดจากระบบระบายน้ำในลูกตาไม่สมบูรณ์ตั้งแต่ในครรภ์ 3. ต้อหินแบบมุมปิดเฉียบพลัน พบมากในคนเอเชียเกิดจากการมีการอุดตันของทางระบายน้ำทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปวดตาและหัวคิ้วอย่างรุนแรง ตาแดง การมองเห็นลดลงอย่างรวดเร็ว คลื่นไส้อาเจียนด้วย ต้อหินกลุ่มนี้ต้องรักษาอย่างทันทีเพื่อลดอาการและป้องกันอาการตาบอด ซึ่งเกิดขึ้นได้ในช่วงข้ามวัน หากไม่ได้รับการลดความดันลูกตา 4. ต้อหินจากสาเหตุอื่น ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน อุบัติเหตุ การอุดตันของการระบายน้ำในลูกตาทำให้ความดันตาขึ้น อาจค่อยเป็นค่อยไปหรือเฉียบพลันก็ได้ การตรวจต้อหินนั้นทำได้ด้วยการตรวจสุขภาพทั่วไป วัดความดันลูกตา ตรวจลานสายตาและดูลักษณะของทางระบายน้ำในลูกตา…

  • ภาวะต้อกระจกและการรักษา

    ภาวะต้อกระจกและการรักษา

    ภาวะต้อกระจกและการรักษา ต้อกระจก นี้เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และยังเป็นสาเหตุอับดับต้น ๆ ของภาวะสายตาพิการในคนชราด้วย โดยอาการของต้อกระจกจะเป็นภาวะที่แก้วตาหรือเลนสด์ตามีลักษณะขุ่นขาว มัวลง ทึบแทบ ไม่ยอมให้แสงผ่านเข้าสู่ลูกตาไปกระทบจอตา จึงทำให้สายตาฝ้าฟางและมองไม่เห็นได้ในที่สุด สาเหตุของโรคนี้นั้นส่วนใหญ่เกิดจากความเสื่อมสภาพตามวัย ส่วนใหญ่ผู้ที่อายุเกิด 60 ปีแล้วก็มักจะเป็นทุกราย แต่มีบางรายซึ่งเป็นส่วนใหญ่ที่เป็นมาแต่กำเนิดพบได้ในทารกที่เป็นหัดเยอรมันแต่กำเนิด หรือการได้รับบาดเจ็บหรือกระทบกระเทือนที่ตาอยางรุนแรง มีความผิดปกติของตา หรือเกิดจากการใช้ยาหยอดตาที่มีสเตียรอยด์ หรือกินสเตียรอยด์เข้าไปนาน ๆ การกินยาลดความอ้วนบางชนิด เกิดจากการถูกรังสีที่ตาเป็นเวลานาน รวมไปถึงการถูกแสงแดดหรือแสงยูวีก็ทำให้เกิดต้อกระจกได้ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีภาวะขาดอาหาร สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าจัด ก็ทำให้เกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าคนทั่วไป อาการของต้อกระจกนี้ ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าตาค่อย ๆ มัวลง แรก ๆ จะเหมือนหมอกบัง มองที่มืดชัดกว่าที่สว่าง หรือถูกแสงสว่างตาจะพร่ามัว สู้แสงไม่ไหว เห็นภาพซ้อน ไม่เจ็บปวดหรือตาแดงแต่อย่างใด อาการตามัวจะแสดงอาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ กินเวลาเป็นแรมเดือนแรมปี จนแก้วตาขุ่นขาวหมด (ต้มสุก) ก็จะมองไม่เห็น ต้อกระจกนี้คนชรามักจะมีอาการทั้งสองข้าง แต่จะสุกไม่พร้อมกัน ระยะแรกแก้วตาจะขุ่นบริเวณตรงกลาง มองในมืดรูม่านตาจะขยายเปิดทางใหแสงผ่านเข้าแก้วตาส่วนรอบนอกที่ยังใสจึงทำให้เห็นภาพได้ชัด แต่เมื่อมองในที่สว่างรูม่านตาจะหดเล็กลง แสงจะผ่อนเฉพาะแก้วตาส่วนกลางจึงทำให้ภาพพร่ามัว การรักษาโรคนี้ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนแก้วตา หรือใช้วิธีสลายต้อด้วยคลื่นความถี่สูง…

  • รู้จักกับ…โรคอัมพาตบนใบหน้า

    รู้จักกับ…โรคอัมพาตบนใบหน้า

    รู้จักกับ…โรคอัมพาตบนใบหน้า โรคอัมพาตบนใบหน้านี้นั้น มีสาเหตุมาจากเส้นประสาทที่คู่ที่ 7 ที่เลี้ยงใบหน้า ไม่ทำงานชั่วคราว กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าจึงขยับเขยื้อนไม่ได้ครึ่งซีก เกิดเป็นอัมพาต เกิดจากการอักเสบของเส้นประสาท หรือเกิดจากอาหารที่มาหล่อเลี้ยงเส้นประสาทคู่นี้ลดลง จึงเกิดการเกร็งตัวของหลอดเลือด ทั้งอาการขาดเลือดและขาดอาหารจึงทำให้เกิดการอักเสบบวมของเส้นประสาทได้ สาเหตุที่ทำให้เกิดการอักเสบของเส้นประสาทคู่ที่ 7 นั้นยังไม่ทราบแน่นอน สันนิษฐานว่าเกิดจากปัจจัยกระตุ้นเช่น บางคนเกิดหลังจากตากลม หรือกระทบความเย็น บางคนเคยได้รับการผ่าตัดใบหน้ามาก่อน บางคนก็พักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดความเครียด มีโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง หรือมีการอักเสบบริเวณใบหูอยู่ รวมไปถึงการติดเชื้อไวรัสจำพวก เชื้อเริม งูสวัด อีสุกอีกใส เหล่านี้ทำให้เกิดโอกาสเป็นโรคนี้ได้ง่าย อาการของโรคนั้น มักจะเกิดอย่างเฉียบพลัน ตื่นมาก็เห็นปากเบี้ยวไปข้างหนึ่ง เวลากลืนน้ำหรือบ้วนปากจะมีน้ำไหลที่มุมปาก ยิ้มหรือยิงฟันแล้วมุมปากตก ตาปิดไม่สนิท ยักคิ้วไม่ขึ้น ลิ้นชาและรับรสไม่ได้ข้างเดียว บางรายอาจมีอาการปวดหู และหูอื้อ แต่ผู้ป่วยก็มีความรู้สึกตัวดี แขนขามีแรงปากติ ผู้ป่วยมักอาการปวดใบหน้าหรือปวดหลังหูข้างนั้นก่อนที่เป็นอัมพาตประมาณ 2-3 วัน ในด้านของการรักษาเพื่อให้ได้ผลอย่างรวดเร็ว แพทย์จะใช้ยาสเตียรอยด์ ยาเม็ดชื่อ เพร็ดนิโซโลนในขนาดที่สูง การให้ยานี้ในช่วงเวลา 4 วันแรกเชื่อว่าจะทำให้อาการอัมพาตหายได้เร็วขึ้น แต่หากเป็นการให้ยาในระยะท้ายแล้ว 4-7 วันอาจได้ผลไม่แน่นอน ส่วนยาต้านไวรัสยังเป็นความเชื้อทางทฤษฎีเพราะถ้าใช้ยาเพียงตัวเดียวยังไม่ได้ผลชัดเจนเมื่อเทียบกับสเตียรอยด์ โรคอัมพาตใบหน้านี้จะมีอาการดีขึ้น…

  • ดูแลบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ด้วยตนเอง

    ดูแลบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ด้วยตนเอง

    ดูแลบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ด้วยตนเอง คำว่าบาดแผลเล็กน้อย นั้นหมายถึงบาดแผลที่เกิดจากของมีคมบาง อาจเป็นแผลหนังเปิดเล็กน้อย แผลถลอก มีเลือดออกไม่มาก สามารถห้ามเลือดได้เองโดยการใช้มือกดไว้หรือใช้ผ้าก๊อซพันไว้ เลือดก็หยุดไหลได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา หรือการเย็บแผล แผลแบบนี้สามารถเกิดได้ทุกคน ตามมือ แขน เท้า นิ้วมือ ฯลฯ ไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษแต่อย่างใด แล้วแผลก็สามารถหายได้เอง แต่บางคนก็ไม่เป็นเช่นนั้น แผลอาจไม่หาย มีหนองอักเสบ นั่นก็เป็นเพราะการขาดการดูแลของเจ้าของแผลเอง ผู้ที่มักมีบาดแผลอักเสบ ไม่หายไปง่าย ๆ นั้นมักจะเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งควารดูแลการเกิดแผลอักเสบมากกว่าคนปกติธรรมดา ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานนั้นจะมีอาการชาตามปลายมือปลายเท้า มีความรู้สึกน้อยกว่าคนปกติทั่วไป ผู้ป่วยเบาหวานจึงควรระวังการติดเชื้ออักเสบและการลุกลามของแผลเป็นพิเศษ หมั่นล้างมือล้างเท้าให้สะอาด สังเกตว่ามีแผลถลอมเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ เพราะอาการชาอาจทำให้ไม่รู้สึกตัว หมั่นตัดเล็บ หรือถ้าให้คนอื่นตัดให้ก็บอกให้เราระวังเป็นพิเศษ ข้อปฏิบัติง่าย ๆ สำหรับผู้ป่วยเบาหวานและคนทั่วไปในการดูแลบาดแผล มีดังต่อไปนี้ – เมื่อเกิดบาดแผลขึ้นให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ ใช้ผ้าซับแผลให้แห้ง แล้วทาด้วยโพรวิโดน ไอโอดีน (เบตาดีน, ไอโปดีน หรือ โพวาดีน สำหรับใส่แผลถลอก แผลสดขนาดเล็ก) ทาบาง ๆ ครั้งเดียว แต่หากแผลเกิดอักเสบ…

  • รู้จักกับไข้หวัดใหญ่ H3N2 หรือไข้หวัดใหญ่ไอโอวา

    รู้จักกับไข้หวัดใหญ่ H3N2 หรือไข้หวัดใหญ่ไอโอวา

    รู้จักกับไข้หวัดใหญ่ H3N2 หรือไข้หวัดใหญ่ไอโอวา ไข้หวัดใหญ่ H3N2 หรือไข้หวัดใหญ่ไอโอวา นั้นเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่มียีนมาจากไข้หวัดใหญ่ 2009 ในสหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วยแล้วจำนวนสามรายเมื่อช่วงปลายปี 2554 อาการของทุกรายนั้นจะไม่รุนแรง และทุกรายก็สามารถหายได้อย่างเด็ดขาด โดยอาการทั่วไปจะมีลักษณะเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ได้แก่ การมีไข้ขึ้นแบบทันทีทันใด ปวดหัว ปวดเมื่อเนื้อตัว อ่อนเพลียมาก เจ็บคอ ไอ น้ำมูกไหล และอาการจะหายไปเองในหนึ่งอิทตย์ แต่อาจทำอันตรายกับกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ได้ ได้แก่ผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงอายุ อายุ 65 ปีขึ้นไป, เด็กอายุน้อยกว่าสองขวบ, ผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคไต โรคหัวใจ โรคปอด หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง ฯลฯ, เด็กที่ได้รับยาแอสไพรินเป็นเวลานาน, หญิงตั้งครรภ์ระยะที่ 2 หรือ 3 ในฤดูกาลที่มีไข้หวัดใหญ่สูง, ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอ้วน รวมไปถึงผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ การติดต่อนั้นก็เหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไป คือติดต่อทางลมหายใจ การไอ การจาม การสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ ระยะฟักตัวจะอยู่ในช่วงประมาณ 1-3 วัน ระยะแพร่เชื้อจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการ…