Tag: โรคหลอดเลือดหัวใจ

  • หลากหลายเรื่องราวเกี่ยวกับ “น้ำอัดลม”

    หลากหลายเรื่องราวเกี่ยวกับ “น้ำอัดลม”

    หลากหลายเรื่องราวเกี่ยวกับ “น้ำอัดลม” แม้น้ำอัดลมจะเป็นเครื่องดื่มที่เราเห็นกันจนเจนตา และดื่มกันมากจนเจนปากก็ตาม แต่จะมีใครรู้บ้างว่าในน้ำอัดลมนั้น ให้โทษให้ประโยชน์และก่อผลกระทบอย่างไรต่อร่างกายบ้าง วันนี้มาดูกันชัด ๆ เลยค่ะ 8 ข้อ 1. แน่นอนล่ะว่าน้ำอัดลมต้องมีน้ำตาลอยู่สูงมาก เพราะเป็นสารที่ทำให้เครื่องดื่มมีความหวาน ดื่มแล้วสดชื่น แต่หารู้ไม่ว่าหากคุณดื่มทุกวัน คุณก็อาจมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วนเพราะได้รับน้ำตาลมากเกินความจำเป็น 2. ในน้ำอัดลมมีการอัดก๊าซเอาไว้ ดังนั้นการดื่มน้ำอัดลมก็จะทำให้ท้องอืด ปวดท้องแน่นท้องได้ เพราะเกิดก๊าซในกระเพาะอาหาร 3. น้ำอัดลมมีความเป็นกรดสูง ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร จะยิ่งกระตุ้นแผลและทำให้อาการแย่ลง 4. อีกทั้งกรดในน้ำอัดลมยังทำให้เคลือบฟันเสื่อม เป็นสาเหตุของฟันผุอีกด้วย 5. สำหรับผู้ที่จัดฟัน การดื่มน้ำอัดลมจะทำให้เกิดคราบบริเวณรอยต่อระหว่างเหล็กและฟัน 6. นอกจากจะทำให้อ้วน น้ำหนักเกินแล้ว การดื่มน้ำอัดลมมากเกินไปจะทำให้โพแทสเซียมในเลือดต่ำลง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ 7. ในน้ำอัดลมมีคาเฟอีน จึงทำให้ตื่นตัว แต่ก็อาจทำให้นอนไม่หลับ มีอาการใจสั่น กระทั่งปวดศีรษะได้ด้วย 8. การดื่มน้ำอัดลมทำให้กระดูกสูญเสียแคลเซียม ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนได้

  • ระวัง! 6 โรคยอดฮิตมนุษย์ออฟฟิศบ้าพลัง

    ระวัง! 6 โรคยอดฮิตมนุษย์ออฟฟิศบ้าพลัง

    ระวัง! 6 โรคยอดฮิตมนุษย์ออฟฟิศบ้าพลัง สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศที่ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ แม้ตอนนี้จะยังมีร่างกายแข็งแรงอยู่ แต่ก็ใช่ว่าการทำงานใช้ร่างกายอย่างหนักหน่วงนั้นจะไม่สร้างปัญหาให้กับร่างกายนะคะ เพราะจากการวิจัยและสำรวจมาหลายสิบปีในวงการแพทย์ พบว่าเหล่ามนุษย์ออฟฟิศทั้งหลายนั้นมีอัตราความเจ็บป่วยจากการทำงานในปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปีอย่างน่ากลัว นั่นเป็นเพราะชาวออฟฟิศทั้งหลายมักปล่อยให้ปีศาจร้ายทำลายสุขภาพอย่าง โรคเครียด, การทำงานนานเกินไป, พฤติกรรมกินอาหารไม่ตรงเวลา และไม่ยอมออกกำลังกาย เหล่านี้มาเป็นตัวการร้ายทำลายสุขภาพ ซึ่งโรคร้ายที่ทำลายสุขภาพชาวออฟฟิศมากที่สุด 6 โรค ก็คือ 1. ต้อหิน และตาพร่า ทำให้มองภาพได้ไม่ชัด ตาสู้แสงไม่ได้ และอาจลุกลามทำให้ตาบอดไ 2. ไมเกรน ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ คลื่นไส้อ่อนเพลีย และเสียสมรรถภาพในการทำงาน 3. อาการนิ้วล็อค ทำให้นิ้วกระดิกไม่ได้ ตึง และรู้สึกเจ็บ กล้ามเนื้ออักเสบ 4. ปวดหลังเรื้อรัง รวมไปถึงอาการปวดไหล่ ต้นคอ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เป็นอัมพาตได้ 5. โรคอ้วน มีความเสี่ยงทำให้เป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ ตลอดจนความดันโลหิตสูง 6. โรคกรดไหลย้อน เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งหลอดอาหาร สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศทั้งหลายที่เริ่มมีอาการนี้แล้ว หรือยังไม่มีก็ควรหันมาดูแลสุขภาพของตัวเองด้วยเคล็ดลับดังต่อไปนี้ – อย่าเพ่งจ้องจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป ควรพักผ่อนสายตาบ้าง…

  • ไตของคุณกำลังลำบากเพราะปากอยู่หรือเปล่า?

    ไตของคุณกำลังลำบากเพราะปากอยู่หรือเปล่า?

    ไตของคุณกำลังลำบากเพราะปากอยู่หรือเปล่า? คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวคุณเองกำลังทำร้ายไตของคุณด้วยพฤติกรรมการกินของตัวคุณเอง  จากสถิติแล้วมีคนไทยถึง 17.5%  ที่ตายด้วยโรคไต หรือคิดเป็นตัวเลขเฉลี่ยมีคนตายจากโรคไตถึงวันละ 108 คนเลยทีเดียว ซึ่งสาเหตุของโรคไตในคนไทยก็คือ คนไทยมีพฤติกรรมติดอาหารรสจัด และมักชอบเติมน้ำปลาหรือซอสปรุงรสมากเกินความจำเป็น   ทั้งที่ความจริงแล้วในอาหารจานด่วนบางชนิดมีปริมาณโซเดียมที่สูงมากอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น ก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชาม มีปริมาณโซเดียม 750 มิลลิกรัม, ผัดซีอิ๊ว มีปริมาณโซเดียม 1000 มิลลิกรัม, ข้าวราดแกง มีปริมาณโซเดียม 1250  มิลลิกรัม และ ยำวุ้นเส้น มีปริมาณโซเดียม 1500 มิลลิกรัม ในขณะที่ปริมาณโซเดียมที่ร่างกายเราต้องการอยู่ที่วันละ 2000 มิลลิกรัม  แต่จากการสำรวจนั้น คนไทยบริโภคโซเดียมถึงวันละ 4000 มิลลิกรัมต่อวันเข้าไปแล้ว!  นับเป็นตัวเลขที่น่ากลัวทีเดียว  เพราะหากร่างกายของเราได้รับโซเดียมมากเกินกว่าความต้องการของร่างกาย  จะเกิดผลทำให้ไตทำงานไม่ปกติ เพราะโซเดียมตกค้างเกิดปริมาณ ก่อให้เกิดโรคไต  ซึ่งเป็นต้นเหตุให้คุณอาจต้องฟอกไตตลอดชีวิต, เป็นโรคความดันโลหิตสูง, เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด  ตลอดจนเป็นอัมพาตได้ ดังนั้นนอกจากตัวคุณเองแล้ว เรามาร่วมกันรณรงค์ “ลดเค็มก่อนสาย เพื่อไตคุณเอง” กันเถอะ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณและคนที่คุณรักตลอดไปนะคะ

  • เคล็ดลับง่ายๆ  ดูแลหัวใจให้แข็งแรง

    เคล็ดลับง่ายๆ ดูแลหัวใจให้แข็งแรง

    เคล็ดลับง่ายๆ  ดูแลหัวใจให้แข็งแรง การดูแลสุขภาพของอวัยวะอย่างหัวใจ ที่ต้องทำงานหนักตลอด 24 ชั่วโมงนั้น ไม่ใช่เรื่องยากหรอกค่ะ แค่ใส่ใจให้มากขึ้นอีกนิด ลองดูเคล็ดลับดังต่อไปนี้ค่ะ 1. เลือกทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพราะนอกจากจะปราศจากไขมันและคอเลสเตอรอลแล้วยังมีผลการวิจัยชิ้นล่าสุดพบด้วยว่า ผู้ที่ ผู้ที่รับประทานผักปรุงสุกอย่างน้อยวันละ 4 ถ้วย หรือผักสลัด หรือ ผลไม้ 8 ถ้วย เป็นประจำทุกวัน ช่วยลดความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจได้ 2. ดูทีวีให้น้อยลง มีผลการวิจัยพบว่าผู้ที่ดูทีวีตอนกลางคืนมากกว่า 4 ชั่วโมงขึ้นไปจะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากกว่าผู้ที่ดูทีวีน้อยกว่าวันละ 2 ชั่วโมง ซึ่งข้อสันนิษฐานเป็นเพราะว่า การนั่งดูทีวีเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เกิดการอักเสบและมีส่วนทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้นได้ สำหรับการดูทีวีให้น้อยลงแล้วคอเลสเตอรอลลดน้อยลงนั้น นั่นเป็นเพราะมีเวลาในการไปทำกิจกรรมอย่างอื่นเพิ่มขึ้น อีกทั้งระหว่างเวลาที่เราดูทีวีเรายังหยิบขนมหรือของว่างกินไม่รู้ตัวอีกด้วย เมื่อดูทีวีน้อยลงก็จะทำให้บริโภคอาหารน้อยลง ไขมันและคอเลสเตอรอลก็จะน้อยลงไปโดยปริยาย เป็นเคล็ดลับที่ง่าย ๆ นะคะ ลองทำตามดูแล้วจะพบว่าคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือดลดลงได้จริง แล้วยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้นอีกด้วยค่ะ  

  • แพทย์ชี้ คนไทยป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมากขึ้น โดยไม่รู้ตัว

    แพทย์ชี้ คนไทยป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมากขึ้น โดยไม่รู้ตัว

    แพทย์ชี้ คนไทยป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมากขึ้น โดยไม่รู้ตัว สภาวะตึงเครียดในปัจจุบันส่งผลให้จำนวนผู้ป่วย “โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน” มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยพบว่าสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทยที่ไม่ใช่อุบัติเหตุ มาจากโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงเป็นอันดับ 2 เป็นรองเพียงแค่โรคมะเร็งเท่านั้น และจากสถิติที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ 30% ของจำนวนผู้ป่วยเหล่านี้มักไม่ปรากฏอาการหรือมีสัญญาณของโรคที่น่าสงสัยใดๆ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ จนกระทั่งมารู้ตัวอีกทีก็เมื่อพบว่าอาการของโรคถึงขั้นรุนแรงแล้ว สถิติผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือดจากทั่วโลกได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในปีที่ผ่านมาประมาณว่า มีจำนวนผู้เสียชีวิตอันเนื่องมาจากโรคดังกล่าว สูงถึงกว่า 10 ล้านคน และคาดว่า ในอีก 5 ปี ข้างหน้า จำนวนการตายจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคน โดยในจำนวนนี้ 13 ล้านคนมาจากประเทศกำลังพัฒนาและกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก ในประเทศไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาพบว่า มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มสูงขึ้นถึง 20 เท่า โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือ ส่วนสาเหตุของการเกิดภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันนั้นพบว่า สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อาทิ การใช้ชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ การทำงานที่แข่งขันกับเวลา ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ความดันสูง เบาหวาน ความอ้วน การสูบบุหรี่ การขาดการออกกำลังกาย ความเครียด และอาหาร โดยอาการเบื้องต้นผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกตรงกลางร้าวไปไหล่ซ้ายและแขนซ้าย บางรายมีปวดร้าวขึ้นไปตามคอ อาการเป็นมากขึ้นเวลาออกแรง…

  • ยา aleglitazar ที่ใช้ลดระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานนั้น ไม่ได้ช่วยลดความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ

    ยา aleglitazar ที่ใช้ลดระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานนั้น ไม่ได้ช่วยลดความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ

    ยา aleglitazar ที่ใช้ลดระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานนั้น ไม่ได้ช่วยลดความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ นักวิจัยได้ศึกษาเรื่องตัวยา aleglitazar ซึ่งเป็นยาที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในร่างกายนั้น ไม่ได้ส่งผลให้ช่วยลดความผิดปกติของหัวใจ โรคหัวใจล้มเหลว หรือการอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองในกลุ่มคนไข้โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และผู้ที่เพิ่งมีอาการหัวใจล้มเหลว หรืออาการปวดเค้นหัวใจอยู่เรื่อยๆได้ ปัจจุบัน โรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจนั้นยังคงเป็นสาเหตุหลักของการตายในกลุ่มคนไข้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อยู่ ซึ่งไม่มีการรักษาด้วยยาที่ส่งผลต่อเบาหวาน หรือการควบคุมระดับกลูโคสอย่างเข้มงวดใดที่แสดงให้เห็นว่าจะสามารถลดความยุ่งยากของหัวใจหรือหลอดเลือดของหัวใจในกลุ่มคนไข้ดังกล่าวได้เลย โดยในการลดลองระยะที่ 2 นั้น aleglitazar สามารถลดระดับกลูโคสในเลือด ไตรกลีเซอไรด์ LCL และเพิ่มระดับของ HDL ให้สูงขึ้นได้ แพทย์และนักวิทยาศาสต์ก็ได้มีการทดลองเรื่องนี้กับผู้ป่วยเบาหวาน ด้วยการสุ่มให้ยา aleglitazar และการให้ยาหลอก โดยใช้เวลาประมาณ 104 สัปดาห์ พบว่า ไม่ได้ผล นักวิทยาศาสตร์พบว่าถึงแม้ aleglitazar นั้นจะลดระดับกลูโคสในเลือดและทำให้ระดับของ HDC และไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้นก็ตาม ตัวยาดังกล่าวนั้นไม่ได้ลดเวลาของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ อาการหัวใจล้มเหลว หรือการที่เส้นเลือดไปเลี้ยงสมองอุดตันแต่อย่างใด ซึ่งเหตุดังกล่าวได้เกิดขึ้นในคนไข้จำนวนที่ได้รับยา aleglitazar 344 ราย (9.5%)  และ 360 ราย (10%) ในกลุ่มคนไข้ที่ได้รับยาหลอก และตัวยา aleglitazar นั้นได้ถูกเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่จะมีความผิดปกติของไต…

  • ผลการวิจัยชิ้นใหม่ พบว่า ประชากรโลกมีปัญหาฟันผุและโรคเหงือก

    ผลการวิจัยชิ้นใหม่ พบว่า ประชากรโลกมีปัญหาฟันผุและโรคเหงือก

    ผลการวิจัยชิ้นใหม่ พบว่า ประชากรโลกมีปัญหาฟันผุและโรคเหงือก นักวิจัยสำรวจประชากรทั่วโลก พบว่า มีประชากรที่ฟันผุและเป็นโรคเหงื่อจำนวนมาก และผู้เชียวชาญด้านสุขภาพปากได้กล่าวว่า การที่เป็นโรคเหงือก หรือ ฟันผุนั่น สามารถนำไปสู่ปัญหาสภาพทางจิตใจได้ด้วย โรคฟันผุในฟันแท้ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า carries ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าโรคฟันผุเป็นโรคเรื้อรัง ที่มีสาเหตุความเสี่ยงอย่างเดียวกับโรคมะเร็งและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ ผลการศึกษาเรื่องนี้พบว่าโรคฟันผุพบเพิ่มขึ้นมากที่สุดในชาติแอฟริกาทางใต้ของทะเลทรายซาฮาร่าและชาติหมู่เกาะทางใต้ ตะวันตกและกลางมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ก็ยังพบว่าประเทศที่พัฒนาแล้วก็มีประชากรที่เป็นโรคฟันผุเป็นจำนวนมาก เนื่องจากอาหารที่ได้รับประทานเข้าไปนั้น มีน้ำตาลสูงมา นอกจากน้ำตาลจะทำให้ฟันผุและเป็นสาเหตุของโรคเหงือกแล้ว ยังเป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคอ้วนอีก แต่แปลกที่ประชากรที่อยู่ในประเทศที่พัฒนากลับไม่ได้มีการดูแลรักษาช่องปากอย่างจริงจัง แต่ก็ยังมีบ้างที่ใช้วิธี เติมฟลูออไรด์ลงไปในน้ำดื่มเพื่อช่วยป้องกันอาการฟันผุ ศาสตราจารย์เมอร์เซ็นเนสกล่าวว่าการเติมฟลูออไรด์ลงไปในน้ำดื่มมีความสำคัญมากจากผลการศึกษาเรื่องนี้ในอเมริกา ฟลูออไรด์ในน้ำดื่มช่วยลดปัญหาโรคฟันผุลงได้อย่างมากในอเมริกา นักวิจัยหวังว่าชาติแอฟริกาและเอเชียจะมองเห็นปัญหาสุขภาพที่มาจากประเทศพัฒนาเเล้วนี้เเละเลี่ยงเจริญรอยตามในด้านโภชนาการ ศาสตราจารย์เมอร์เซ็นเนสยังเรียกร้องให้มีการปรับนิสัยการบริโภคให้หันไปรับประทานอาหารที่ดีต่อสุภาพ ตลอดจนมีการพัฒนาวัสดุและวิธีการรักษาโรคฟันผุใหม่ๆที่ราคาถูกลงด้วย    

  • เชื่อหรือไม่! การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือ ส่งผลถึงชีวิต

    เชื่อหรือไม่! การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือ ส่งผลถึงชีวิต

    เชื่อหรือไม่! การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือ ส่งผลถึงชีวิต นักวิจัยพบว่า การเติมน้ำตาลในอาหารมากเกินไป ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ และอาจจะเพิ่มความเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิต โดยนักวิจัย ได้วิจัยว่าการที่คนเราบริโภคน้ำตาลเกินกว่า 20% ของปริมาณแคลอรี่เฉลี่ยต่อวันจะมีโอกาสเสียชีวิตมากขึ้นเป็นสองเท่าตัว โดยปกติแล้วค่าแคลอรี่เฉลี่ยต่อวันของคนธรรมดาอยู่ที่ 2,000 แคลอรี่ และการดื่มน้ำอัดลมเพียงหนึ่งกระป๋องก็จะให้ค่าแคลอรี่ราว 7 % ของจำนวนแคลอรี่ในแต่ละวัน แต่การวิจัยนี้มุ่งที่น้ำตาลซึ่งใส่เติมลงในอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ไม่ใช่น้ำตาลซึ่งร่างกายได้จากผักหรือผลไม้โดยทั่วไป ก่อนหน้านี้เคยมีการศึกษาความเกี่ยวพันระหว่างการบริโภคน้ำตาลกับโรคอ้วนมาแล้ว แต่ครั้งนี้การศึกษามุ่งเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคน้ำตาลมากกว่าปกติ กับการเสียชีวิตด้วยโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ