Tag: ไขมันในเลือดสูง
-
ดื่มกาแฟ ดื่มได้ แต่พอดีไม่มีปัญหา
ดื่มกาแฟ ดื่มได้ แต่พอดีไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้มีคนเสพติดการกินแฟเพิ่มมากขึ้นนะคะ เคยถามตัวเองกันบ้างไหมว่า ทำไมจึงดื่มกาแฟ ติดเพราะรสชาติ? ติดเพราะความหอม? ติดเพราะคาเฟอีน? หรือติดความหวานมันในกาแฟ ? ซึ่งไม่ว่าคุณจะดื่มกาแฟเพราะอะไรก็ตาม แต่ทุกอย่างก็มีสองด้านเสมอ แม้คุณจะได้ความตื่นตัวจากกาแฟก็ตาม แต่คาเฟอีนในกาแฟก็ทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ ได้เหมือนกัน แล้วเราจะดื่มกาแฟอย่างไรให้เกิดผลเสียน้อยที่สุดดี? มาลองดูวิธีเหล่านี้นะคะ 1. ดื่มเท่าที่เหมาะสมเท่านั้น หากพบว่าตนเองดื่มถึงขีดสุดที่จะทำให้เกิดอาการผิดปกติแล้ว ก็อย่าฝืนดื่มต่อ ให้หยุดดื่ม และทุกวันก็ควรดื่มอย่าให้ถึงปริมาณที่อาจเป็นผลร้ายต่อร่างกาย 2. หากหลับยากก็ไม่ควรดื่มกาแฟในช่วงบ่าย หรือช่วงค่ำ 3. ไม่ควรดื่มกาแฟตอนท้องว่าง เพราะเร่งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ 4. ไม่ควรดื่มกาแฟเพื่อให้ร่างกายฝืนทำงานหนัก หรือดื่มเพื่ออดนอน เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพการรับรู้ลดลง ประสิทธิภาพการทำงานก็ไม่ดีเช่นเดิม สมองและร่างกายต้องการพักผ่อน จึงควรนอนหลับพักผ่อนจะดีกว่า 5. หากดื่มกาแฟประจำ ควรทานแคลเซียมเสริมด้วย ทั้ง นม โยเกิร์ต ปลาเล็กปลาน้อย เพื่อทดแทนแคลเซียมที่สูญเสียไปกับปัสสาวะ ลดความเสี่ยงกับการเป็นโรคกระดูกพรุน 6. กินผัก ผลไม้เพื่อกำจัดอนุมูลอิสระที่มีกาแฟให้ออกจากร่างกาย 7. ดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำ จากฤทธิ์ของกาแฟที่ช่วยในการขับปัสสาวะ ผู้ที่มีปัญหาไขมัน หรืออ้วนน้ำหนักเกิน…
-
รู้ทันอาการสมองขาดเลือดด้วย FAST
รู้ทันอาการสมองขาดเลือดด้วย FAST ในแต่ละปี มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมอง หรืออัมพฤกษ์อัมพาตมากถึงปีละกว่าหกล้านคน แม้แต่ในประเทศไทยเอง ก็มีอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ถึง 3 คนทุก ๆ 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว แล้วยังมีแนวโน้มที่จะทวีจำนวนและอัตราเร็วมากขึ้นทุกปีอีกด้วย ผู้ที่มีความเสี่ยงกับอาการสมองขาดเลือดนี้ได้แก่ ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง เป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ไม่ยอมออกกำลังกาย อ้วนน้ำหนักเกิน สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมไปถึงผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเคยป่วยด้วยโรคนี้ ดังนั้นจึงควรหัดสังเกตอาการสมองขาดเลือดชั่วคราวดังต่อไปนี้ค่ะ 1. ใบหน้าอ่อนแรง หรือแขน ขา อ่อนแรงซีกเดียว 2. พูดจาลำบาก พูดไม่รู้เรื่อง สับสน มีปัญหาทางการพูด 3. การมองเห็นลดประสิทธิภาพลงไม่ว่าจะข้างเดียวหรือสองข้าง 4. มึนงง เดินเซ สูญเสียสมดุลในการเดิน หรือคุณสามารถใช้ตัวย่อ FAST ช่วยในการจดจำได้ ดังนี้ F ; Face เวลายิ้มแล้วมุมปากตก ข้างใดข้างหนึ่ง A ; Arms ยกแขนไม่ขึ้นข้างใดข้างหนึ่ง S ;…
-
วิธีสังเกตสัญญาณเตือนภัย…โรคหลอดเลือดสมอง
วิธีสังเกตสัญญาณเตือนภัย…โรคหลอดเลือดสมอง เพราะเหตุที่คนไทยมีภาวะโภชนาการล้นเกิน และวิธีการใช้ชีวิตก็เอื้อให้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ มากขึ้น คนไทยจึงมีสถิติการเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาตมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะมีจำนวนสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกปีด้วย โดยโรคหลอดเลือดสมองนี้แม้จะไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงหลาย ๆ อย่างที่ทำให้เกิดโรค ไม่ว่าจะเป็น ภาวะความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน การดื่มเหล้าสูบบุหรี่ ยิ่งในผู้ที่มีอายุเกิน 45 ปีขึ้นไปก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นไปอีก อาการอัมพาตนั้นมักจะมีอาการเตือนก่อนเกิดโรคเสมอ และการรักษาจะได้ผลก็ต้องเมื่อผู้ป่วยรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด ดังนั้นเมื่อพบว่าตนเองมีอาการดังต่อไปนี้เพียงข้อใดข้อหนึ่งแล้วแม้จะมีร่างกายที่แข็งแรงอยู่ ก็ควรปรึกษาไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด จะทำให้โอกาสการเสียชีวิตหรือพิการลดลงไปมากได้นั่นเอง การสังเกตอาการเตือนภัยของโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่ 1. มีอาการชาหรืออ่อนแรงที่ใบหน้า ขา แขน ด้านใดด้านหนึ่งอย่างทันทีทันใด ไม่มีสัญญาณเตือน 2. ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปอย่างทันทีทันใด ไม่ว่าจะเป็น เอะอะ สับสน โวยวาย ซึมลง หรือพูดลำบาก พูดไม่ชัด พูดไม่ได้ หรือพูดไม่เข้าใจ 3. จู่ ๆ ก็ตามัวหรือเห็นภาพซ้อนของตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างอย่างทันที 4. มึนงง เวียนหัว…
-
สังเกตตัวเอง.. ว่ามีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า
สังเกตตัวเอง.. ว่ามีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า บางทีโรคหัวใจก็สามารถเกิดขึ้นในร่างกายของคนที่มีสุขภาพดีได้เหมือนกัน โรคนี้เป็นโรคที่จำเป็นต้องเฝ้าระวัง ดังนั้นเราจึงควรหมั่นสังเกตตัวเองไว้ดังต่อไปนี้ค่ะ – เหนื่อยเวลาออกกำลังกายแม้เพียงเล็กน้อย แต่กลับเหนื่อยผิดปกติ เพราะในขณะที่เรากำลังออกกำลังกายหัวใจจะทำงานหนักขึ้น คุณจึงรู้สึกได้ถึงความเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นค่ะ – มักจะเจ็บหน้าอก หายใจอึดอัด และแน่นบริเวณหน้าอก พบมากในผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ อาการจะคล้ายมีของหนักกดทับหน้าอกไว้หรือมีโดนรัดหน้าอกทำให้หายใจไม่ออก – เป็นลมหมดสติบ่อย ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ เกิดเพราะจังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ เพราะเซลล์ที่ทำหน้าที่ให้จังหวะไฟฟ้าในหัวใจเสื่อมสภาพ หัวใจจึงเต้นช้าลง เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ จึงทำให้เป็นลมได้ ใครเป็นลมหมดสติบ่อย ๆ ควรรีบไปพบแพทย์ – เท้าหรือขาบวม เมื่อกดดูแล้วมีรอยบุ๋มตามนิ้ว และเป็นโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน เพราะคุณอาจอยู่ในภาวะหัวใจล้มเหลวไม่รู้ตัวเมื่อใดก็ได้ – หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน มักเกิดกับคนที่ปกติไม่มีอาการของโรคหัวใจมาก่อน หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วอาจถึงกับเสียชีวิตได้ – ตรวจพบความผิดปกติ เช่น เป็นเบาหวานหรือมีไขมันในเลือดสูง หรือเอ็กซเรย์พบว่าหัวใจโตกว่าปกติ ก็มีความเสี่ยงในการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบได้เช่นกัน นับว่าเป็นความเสี่ยงที่สูงไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบไปพบแพทย์ด้วย ส่วนผู้ที่ยังมีหัวใจเป็นปกติอยู่นั้น เราก็ควรดูแลสุขภาพของตัวเองไว้ก่อนที่จะเกิดโรคหัวใจตามมา ได้แก่ การหมั่นสังเกตความผิดปกติของตนเองอยู่เสมอ เช็คอัตราการเต้นของหัวใจว่าปกติดีหรือไม่ มีอาการดังกล่าวข้างต้นบ้างหรือเปล่า และควรออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงความเครียด ดูแลจิตใจให้สดใสเสมอ…
-
ดูแลหัวใจของคุณ…ให้ดีนะ
ดูแลหัวใจของคุณ…ให้ดีนะ โรคที่เป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งก็คือโรคหัวใจนั่นเองค่ะ แล้วก็ยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งในประเทศไทยนั้นมีคนตายจากกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด ทั้งโรคหัวใจขาดเลือด หัวใจล้มเหลว หลอดเลือดสมองและความดันโลหิตสูง ฯลฯ และแต่ละปียังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างน่ากลัวอีกด้วยค่ะ ซึ่งสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือดนั้น เกิดจากการที่ผนังด้านในของหลอดเลือดมีไขมันมาพอกตัวจนหนาขึ้น หลอดเลือดจึงขาดความยืดหยุ่น แข็งตัวขึ้น การไหลเวียนของเลือดจึงลดลง จึงทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง รวมไปถึงการสูบบุหรี่และสูดควันจากผู้อื่น การดื่มเหล้าและมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานก็เป็นสาเหตุด้วยเช่นกัน และเพื่อหัวใจที่จะมีสุขภาพแข็งแรงไปนาน ๆ เราจึงควรปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้ – ทานโปรตีนที่ไขมันต่ำ ทั้งเนื้อปลาและถั่ว ทานปลาและผลไม้รสไม่หวานให้บ่อย ๆ – อย่าทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและอาหารสำเร็จรูปที่มีส่วนผสมของโซเดียม(เกลือ) มากนัก – ไม่ควรปรุงอาหารมากเกินไปนัก ทานแต่รสที่พอเหมาะ ไม่ควรทานหวาน มัน เค็ม เผ็ดมากเกิน – เลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม น้ำหวาน เครื่องดื่มชูกำลังทั้งหลาย – ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในมาตรฐาน และกินให้น้อยกว่าพลังงานที่ใช้หากมีน้ำหนักตัวเกิน – คุมรอบพุงให้ดี เพศชายไม่เกิน 90 เซนติเมตรและเพศหญิงไม่เกิน 80 เซนติเมตร – หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอวันละครึ่งชั่วโมง อาทิตย์ละ 3-4…
-
ใช้ชีวิตอย่างไร…ห่างไกลมะเร็งร้าย
ใช้ชีวิตอย่างไร…ห่างไกลมะเร็งร้าย คุณทราบหรือไม่คะว่า หากเราบริหารจัดการวิถีการใช้ชีวิตให้ดีแล้ว จะสามารถป้องกันการเป็นโรคมะเร็งได้ถึงร้อยละ 30-40 เชียวนะคะ แล้วยังสามารถป้องกันโรคอื่น ๆ ที่ร้ายแรงได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ อาการไขมันในเส้นเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ตลอดจนโรคกระดูกพรุนได้ด้วย วันนี้มาดูคำแนะนำในการใช้ชีวิตเพื่อให้ห่างไกลจากมะเร็งกันนะคะ 1. คุณควรเลิกบุหรี่ เพราะคุณทราบหรือไม่คะว่าหากคุณสูบบุหรี่มากกว่า 1 ซอง หรือ 20 มวนต่อวันเป็นเวลา 10 ปีนั้น คุณจะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า! เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ และหากคุณสูบอยู่แล้วเกิดอยากเลิกขึ้นมาก็สามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ถึงร้อยละ 60 การสูบบุหรี่ไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอดอย่างเดียว แต่ยังเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ หรือโรคถุงลมโป่งพองได้อีกด้วย 2. คุณควรเลิกดื่มสุรา หรือหากจำเป็นต้องดื่มเพื่อเข้าสังคมก็จำกัดไว้แค่วันละไม่เกิน 1 แก้ว ผู้ที่ดื่มสุรามากกว่า 3 แก้วต่อวันจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นถึงเกือบสิบเท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่ม แต่ถ้าคุณยังไม่เลิกดื่มแล้วยังสูบบุหรี่มากกว่าวันละ 1 ซองอีก ก็จะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งมากขึ้นเป็น 50 เท่าเลยทีเดียว! น่ากลัวเอามาก ๆ ค่ะ 3. คุณควรปรับพฤติกรรมการกิน ดังต่อไปนี้…
-
สาววัยทองและอาหารที่เหมาะสมกับร่างกาย
สาววัยทองและอาหารที่เหมาะสมกับร่างกาย ผู้ที่มีอายุเข้าวัยทองหรือมีอายุตั้งแต่ 40-45 ปี อันเป็นรอยต่อระหว่างช่วงวัยกลางคนและวัยชรานั้น หลายคนจะมีความเปลี่ยนแปลงในทั้งร่างกายและจิตใจอันมีสาเหตุมาจากการลดลงของการผลิตฮอร์โมนเพศในผู้หญิง ซึ่งสิ่งที่ร่างกายแสดงออกมานั้นจะทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประจำเดือนที่ไม่สม่ำเสมอ บางเดือนก็มากเกินพอดี หงุดหงิดแต่ก็เหนื่อยง่าย เหงื่อมักออกจนชุ่มตัวในเวลากลางคืน ร้อนวูบวาบ นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับได้ยาก ขี้โมโห ขี้ลืม ฉี่บ่อย ยิ่งเวลาไอหรือจามก็อาจเล็ดออกมา อีกทั้งช่องคลอดยังแห้ง ปวดแสบปวดร้อนหรือเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ รวมไปถึงในระยะยาวอาจมีอาการของโรคกระดูกพรุน โรคหลอดเลือดหัวใจและไขมันในเลือดสูงด้วย ซึ่งได้มีนักวิจัยได้ทำการค้นพบว่า หญิงที่อายุเข้าสู่วัยทองนี้เมื่อได้ทานอาหารที่มีโปรตีนจากถั่วเหลือจำนวน 25 กรัมเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว ผลที่จะได้สามารถลดระดับของ LDL ในเลือดได้ถึง 18% และค่าของไขมันดี ๆ หรือ HDL เพิ่มขึ้นถึง 20% ทำให้อาการวัยทองดังกล่าวข้างต้นลดลงได้ หญิงวัยทองจึงมีสุขภาพกายและจิตที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าผู้ที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงอายุวัยทองนี้ควรทานอาหารที่ประกอบด้วยถั่วเหลืองเป็นส่วนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น นมถั่วเหลือง เต้าหู้ชนิดต่าง ๆ ไส้กรอกเจ หรือเนื้อสัตว์เทียมที่ทำจากถั่วเหลือง ไอศกรีมที่ทำจากถั่วเหลือง คัสตาร์ด หรือขนมที่มีไส้ถั่วเหลือง เป็นต้น นอกจากนี้แล้วสาวที่อายุเข้าวัยทองยังควรดูแลร่างกายดังต่อไปนี้ด้วย – ทานอาหารอย่างหลากหลาย เลือกทานโปรตีนที่มีไขมันต่ำ…