Tag: ลดน้ำหนัก

  • หัวเราะรักษาโรคได้สารพัด ลองดูสิ!!

    หัวเราะรักษาโรคได้สารพัด ลองดูสิ!!

    หัวเราะรักษาโรคได้สารพัด ลองดูสิ!! การอยู่ในบ้านหรือในสังคมที่อุดมความสดชื่น เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกครื้นเครงนั้น ช่วยให้อารมณ์สดใจ จิตใจมีสุขภาพดีขึ้นได้มากเลยนะคะ ยิ่งโดยเฉพาะในครอบครัวใดที่มีคนที่ป่วยหนักอยู่ การสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้นในครอบครัว ช่วยลดความรู้สึกเจ็บปวดลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่เราหาเวลาแต่ละวันอยู่ร่วมกัน แล้วผลัดกันเล่าเรื่องราวขำขันแบ่งปันกันฟัง หรือถ้านึกมุขไม่ออกจะเปิดหนังตลก ทอล์คโชว์ขำ ๆ ดูด้วยกันก็ดีเช่นกัน การหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติทำให้ความรู้สึกเกร็งหรือฝืนหมดไป (การรับน้องหรือปฐมนิเทศพนักงานจึงมักเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เพราะช่วยละลายพฤติกรรมให้เปิดใจเข้าหากันได้มากกว่า) อีกทั้งการหัวเราะยังสร้างบรรยากาศดีขึ้นในบ้าน กระชับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นได้ นอกจากนี้แล้วการหัวเราะมีประโยชน์ดังต่อไปนี้อีกค่ะ – การหัวเราะช่วยลดความเจ็บปวด ร่างกายผ่อนคลายมากขึ้น – รักษาอาการซึมเศร้า ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเซโรโทนิน และโดปามีนมากขึ้น จิตใจจึงสงบเยือกเย็น – เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ ที่เห็นได้ชัดก็คือป้องกันโรคหวัดได้ – การหัวเราะช่วยลดน้ำหนัก เพราะการหัวเราะแม้วันละเพียง 1-5 นาทีต่อวัน สักวันละสิบครั้ง จะช่วยลดความอยากอาหาร จึงมีผลต่อการควบคุมน้ำหนัก ซึ่งจะแตกต่างกับความเครียดอย่างสิ้นเชิง ยิ่งเครียดน้ำหนักก็ยิ่งขึ้นเพราะอยากอาหารมากกว่าเดิมนั่นเอง – การเปล่งเสียงหัวเราะช่วยบริหารกล้ามเนื้อหัวใจได้ เหมาะแม้สำหรับผู้ป่วยที่นอนบนเตียงและผู้สูงอายุด้วย – การหัวเราะช่วยบริหารกล้ามเนื้อบนใบหน้า และส่วนอื่น ๆ ที่กระเพื่อมขึ้นลงเวลาหัวเราะ เท่ากับได้บริหารร่างกายเบา ๆ…

  • ลองเดินเร็วกันดูไหม ไม่ปวดเข่าแล้วยังลดน้ำหนักได้แบบสบาย ๆ

    ลองเดินเร็วกันดูไหม ไม่ปวดเข่าแล้วยังลดน้ำหนักได้แบบสบาย ๆ

    ลองเดินเร็วกันดูไหม ไม่ปวดเข่าแล้วยังลดน้ำหนักได้แบบสบาย ๆ วันนี้ขอนำเอาวิธีการลดน้ำหนักและเพิ่มความแข็งแรงให้กับปอดและหัวใจของคุณ ด้วยการออกกำลังกายที่คุณสามารถทำตามได้ง่าย มีต้นทุนในการออกกำลังกายต่ำแล้วยังเหมาะแม้กับคนที่มีอาการปวดเข่าอีกด้วยนะคะ การออกกำลังกายที่จะนำมาเสนอในวันนี้ก็คือ “การเดินเร็ว” นั่นเองค่ะ การเดินเร็วเพียงวันละครึ่งชั่วโมงนั้นช่วยคุณลดน้ำหนัก และลดไขมันในเส้นเลือดได้อย่างแน่นอน มีขั้นตอนและเทคนิควิธีดังต่อไปนี้ค่ะ 1. เลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และถุงเท้ารองเท้าที่ระบายความอับชื้นได้ง่าย 2. เลือกเดินในสถานที่ที่ปลอดโปร่ง อาจเป็นสวนสาธารณะ ในสนามโรงเรียน หรือสนามกีฬาก็ได้ แต่ไม่ควรเลือกริมถนนที่มีมลพิษมากเกินไป เพราะอาจเป็นอันตรายได้ 3. ขั้นแรกเมื่อเริ่มเดิน ควรยืนเส้นยืดสายเพื่ออบอุ่นร่างกายก่อน ช่วยลดอาการบาดเจ็บและการติดขัดของข้อต่อต่าง ๆ ได้ 4. การเดินที่ถูกต้องควรเดินเร็ว ๆ ก้าวเท้าถี่ ๆ ให้ได้ประมาณ 90-110 ก้าวต่อนาที จะช่วยกระตุ้นให้หัวใจและหลอดเลือดทำงานเพิ่มขึ้น มีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ขจัดไขมันส่วนเกิน ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินอย่างต่ำครึ่งชั่วโมงขึ้นไปต่อครั้ง สัปดาห์ละ 3-4 หน 5. การเดินควรเดินให้ตามองตรงไปข้างหน้า คางตั้งครง เปิดไหล่ออก แขนทั้งสองเคลื่อนไหวข้างลำตัว และกะระยการก้าวเท้าให้เท่า ๆ กันไม่ถี่หรือห่างเกินไปด้วย การเดินเร็วนี้จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ประมาณ 60 แคลอรี่ต่อการเดินหนึ่งชั่วโมง มีประโยชน์ต่อระบบการไหลเวียนโลหิต…

  • ออกกำลังกายน่ะดี แต่ทำให้ถูกวิธีด้วยนะ

    ออกกำลังกายน่ะดี แต่ทำให้ถูกวิธีด้วยนะ

    ออกกำลังกายน่ะดี แต่ทำให้ถูกวิธีด้วยนะ ระยะนี้คนไทยเราเริ่มหันมาสนใจการออกกำลังกายดูแลสุขภาพ และดูแลอาหารการกินกันมากขึ้นแล้วนะคะ การจะมีสุขภาพที่ดีได้นั้นจำเป็นต้องใช้เวลาในการพัฒนาร่างกายขึ้นด้วยเช่นกัน ดังเช่นกันเล่นกีฬาก็จำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่ให้กระทำอย่างสม่ำเสมอด้วยกระบวนการที่เหมาะสม จะทำให้ร่างกายเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างมั่นคงนั่นเอง ผู้ที่เพิ่งหันมาออกกำลังกายใหม่ ๆ นั้น ควรเลือกออกกำลังกายในระดับเบาก่อน ยังไม่ควรหักโหมไปวิ่งทันที ควรเริ่มด้วยการเดินเบา ๆ หรือปั่นจักรยานช้า ๆ ก่อน โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากหากหักโหมอาจปวดข้อหรือได้รับบาดเจ็บได้ง่าย ในช่วงเริ่มแรกควรค่อย ๆ ฟิตร่างกายให้ดีก่อนแล้วค่อยพัฒนาไปออกกำลังกายที่หนักขึ้นจะช่วยถนอมกล้ามเนื้อ ข้อต่อและกระดูกไปได้อีกทาง การเตรียมตัวก่อนการออกกำลังกาย ต้องเริ่มด้วยการอบอุ่นร่างกายก่อนทุกครั้ง และใช้การยืดเหยียดกล้ามเนื้อเพื่อวอร์มร่างกาย ข้อต่อส่วนต่าง ๆ ด้วยก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน คุณอาจวิ่งเหยาะ ๆ อยู่กับที่เบา ๆ หรือเดินเบา ๆ ก่อนสัก 5-10 นาทีแล้วค่อยเดินเร็วหรือเริ่มวิ่ง ข้อดีของการอบอุ่นร่างกายอีกอย่างก็คือจะกระตุ้นให้โลหิตไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้มากขึ้น ช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บได้อีกทางหนึ่ง การออกกำลังกายควรเป็นกิจวัตรที่มีความสม่ำเสมอ และเป็นชนิดกีฬาที่ชื่นชอบด้วยจึงจะทำให้ไม่เบื่อ สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกาย ในการออกกำลังกายแต่ละครั้งไม่ควรหักโหมจนเกินไป การจะวัดว่าเหนื่อยเกินไปหรือยังให้สังเกตว่ายังพูดเป็นคำได้อยู่หรือเปล่า หากเหนื่อยจนพูดไม่เป็นคำก็ถือว่าหักโหมเกินไปแล้ว ควรค่อย ๆ…

  • ข้าวก็ทานน้อย ดื่มแต่น้ำแล้วทำไมยังอ้วนได้ล่ะ?

    ข้าวก็ทานน้อย ดื่มแต่น้ำแล้วทำไมยังอ้วนได้ล่ะ?

    ข้าวก็ทานน้อย ดื่มแต่น้ำแล้วทำไมยังอ้วนได้ล่ะ? มีเรื่องเล่าให้คุณผู้อ่านฟังค่ะ เรื่องมีอยู่ว่ามีพนักงานสาวในโรงงานคนหนึ่ง ชื่อบังอร คุณบังอรน้ำหนักประมาณ 70 กิโลกรัม ได้ชวนเพื่อนอีกสองคนเข้าค่ายลดน้ำหนักกับโรงพยาบาล เพื่อนทั้งสองคนนี้ก็น้ำหนักสูสีกับบังอรนะคะ คือราว 70 กิโลกรัม เมื่อถึงเวลาเข้าค่ายจริง บังอรเองกลับไม่ได้มาเข้าเพราะติดธุระพอดี เพื่อนสองคนจึงเข้าอบรมในเรื่องของการลดน้ำหนักเอง เมื่อทั้งสองเข้ามาเรียนรู้ในค่าย จึงได้ทราบสาเหตุที่ตนเองอ้วนนั้นเป็นเพราะว่า ชอบกินจุบจิบและดื่มชาเย็น วันละสองถุงทุกวัน แล้วยังทานอาหารจานด่วนพวกที่ทอดน้ำมันลึกทั้งหลาย ไม่ค่อยกินผักและกินมื้อดึกประจำ กับทั้งไม่ออกกำลังกายเลยด้วย วิทยากรจึงได้แนะนำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกับการปรับพฤติกรรมการกินของตน ด้วยการลดการดื่มชาเย็น ทานอาหารที่มีน้ำมัน้อย ทานพวกแกงจืดแทน แล้วให้ทานอาหารเย็นก่อนหกโมงเย็น ออกกำลังกายทุกวันด้วยการเดินเร็ววันละครึ่งชั่วโมง ซึ่งพอสองคนนี้ทำตามก็สามารถลดน้ำหนักได้ 1 กิโลกรัมในสัปดาห์แรก จนสุดท้ายในหนึ่งเดือนนั้น เพื่อนของคุณบังอรก็สามารถลดน้ำหนักเกือบ 3 กิโลกรัมในหนึ่งเดือนเลยทีเดียว รวมไปถึงเมื่อครบระยะสามเดือน เพื่อนทั้งสองของบังอรสามารถลดน้ำหนักได้ 5.2 กิโลกรัมและ 7 กิโลกรัมตามลำดับ แต่ตัวบังอรที่ไม่เข้าค่าย ก็รีบเร่งลดน้ำหนักตามเพื่อน และด้วยความเชื่อว่าการทานข้าวแล้วจะทำให้อ้วน เธอจึงไม่ยอมกินข้าวเช้าเพื่อจะได้ลดน้ำหนักได้เร็ว ซึ่งแรก ๆ ก็ดูเหมือนจะลดได้ แต่บางวันมีทานกาแฟ ขนมบ้างนิดหน่อย เมื่อทำหลายวันร่างกายก็อ่อนเพลีย เมื่อหิวจนทนไม่ได้ก็ไปหาชาเย็น กาแฟเย็นกินตอนสาย รวมไปถึงขนมต่าง…

  • เลี้ยงเด็กอย่างไร ไม่อ้วนตั้งแต่เล็ก

    เลี้ยงเด็กอย่างไร ไม่อ้วนตั้งแต่เล็ก

    เลี้ยงเด็กอย่างไร ไม่อ้วนตั้งแต่เล็ก เด็กไทยในปัจจุบันนี้มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์อ้วนลงพุงกันมากขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะเด็กชายจะอ้วนมากกว่าเด็กหญิงถึงสองเท่า เด็กในเมืองใหญ่ที่มักทานอาหารที่มีไขมันสูงก็มักจะอ้วนกว่าเด็กที่อยู่ตามชนบทด้วย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ นี่เอง อีกทั้งเมื่อเด็กอ้วนมากแล้วโตมาก็ยังคงเป็นผู้ใหญ่อ้วนอยู่ดี และเด็กทีมักมีกิจกรรมชอบนั่งเฉย ๆ เช่น เล่มเกมส์คอมพิวเตอร์หรือดูทีวีทั้งวันจะกินขนม ของกินเล่นต่าง ๆ มากกว่าเด็กที่ได้มีการเคลื่อนไหวร่างกาย ที่กินน้อยกว่า การเคี่ยวเข็ญให้ลูกลดน้ำหนักนั้นเป็นเรื่องที่ยากแน่นอน ดังนั้นผู้ปกครอง คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายคนมีเทคนิคล่อหลอก เพื่อเปลี่ยนนิสัยการกิน และพากันออกกำลังกายให้มากขึ้นตั้งแต่วัยเด็กเพื่อป้องกันเด็กอ้วนและโตมาเป็นผู้ใหญ่อ้วน ที่จะมีปัญหาสุขภาพตามมาอีกมากมาย ด้วยการดูแลเด็กดังต่อไปนี้ค่ะ 1. ให้เด็กทานอาหารเป็นมื้อ แบ่ง 3 มื้อให้ชัดเจน โดยให้มีสารอาหารที่ครบถ้วนทั้งห้าหมู่ มีผักมีผลไม้ด้วย และช่วยให้ไม่กินขนมจุบจิบหรือกินไม่เป็นเวล่ำเวลา 2. ปรับเปลี่ยนเมนูให้หลากหลาย และน่ากิน แต่ยังคงสัดส่วนอาหารที่พอดีกับร่างกายของเด็ก หมุนเวียนเปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ จะได้ไม่เบื่อง่าย ไม่ว่าจะเป็น ไข่ เลือด ตับ เต้าหู้ เนื้อปลา อาหารทะเล โดยให้เด็กกินผักและผลไม้ทุกมื้ออาหารด้วยค่ะ 3. อาหารว่างหรือขนมไม่ควรมีแป้ง น้ำตาล หรือไขมันสูง เช่น มันฝรั่งทอด โดนัท เบเกอรี่ กล้วยบวชชี…

  • อ้วนตั้งแต่เด็ก….เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสูง

    อ้วนตั้งแต่เด็ก….เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสูง

    อ้วนตั้งแต่เด็ก….เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสูง เพราะการกินอยู่เดี๋ยวนี้สะดวกขึ้นมาก  ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ขายตามหน้าโรงเรียน ตามทางเท้า ตามร้านสะดวกซื้อหรือห้างซุปเปอร์สโตร์ขนาดใหญ่ที่เปิดอยู่แทบทุกหัวถนน  อีกทั้งพ่อแม่ยังเก็บอาหาร ขนมต่าง ๆ เอาไว้ให้ลูกเพราะกลัวตัวเองจะมีเวลาว่างไม่มากพอสำหรับการดูแลอาหาร  เด็ก ๆ จึงไม่ค่อยได้ทานอาหารที่มีประโยชน์มากนัก กลับถึงบ้านก็กินขนมดูทีวี ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายวิ่งเล่นมากเท่าที่ควร เด็กสมัยนี้จึงอ้วนลงพุงแต่เล็กกันเยอะมาก ปัจจุบันนี้มีผลสำรวจพบว่าเด็กหรือเด็กวัยรุ่นที่มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ระดับช่วงต้นของชีวิตนั้นจะทำให้เด็ก ๆ มีโอกาสการเป็นมะเร็งสูงกว่าเด็กวัยเดียวกันที่มีน้ำหนักในเกณฑ์มาตรฐานถึงร้อยละ 35  และเมื่อโตขึ้นแล้วเริ่มออกกำลังกายหรือลดน้ำหนัก และปรับการกินอาหารแล้วความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งก็มิได้ลดลงไปอยู่ดี นอกจากนี้แล้วค่าดัชนีมวลกายที่สูงตั้งแต่อายุ 18 ปี จะนำไปสู่การเป็นมะเร็งในเวลาต่อมาสูงยิ่งกว่าคนที่มีค่าดัชนีมวลกายสูงในช่วงวัยกลางคนเสียอีก ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การรักษาสุขภาพที่ดีไว้ตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการมาดูแลสุขภาพในช่วงวัยโตหรือวัยกลางคนแล้ว  ดังนั้นเด็กและวัยรุ่นจึงไม่ควรปล่อยตัวให้อ้วนน้ำหนักเกิน เพื่อลดโอกาสการเป็นมะเร็งนั้นเอง ความรับผิดชอบนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวของเด็กเท่านั้น แต่ผู้ปกครองที่ดูแลเด็กควรมีส่วนร่วมและเป็นผู้นำในการจัดการปรับวิถีการกินและการใช้ชีวิตของเด็ก ให้มีสุขภาวะที่ดี  ปรับตารางการเรียน การเล่น ให้เด็กได้มีโอกาสออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ได้ทานอาหารที่สะอาดปลอดภัย และมีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน ลดละการให้เด็กทานอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลมาก แป้งมาก โดยเฉพาะจังค์ฟู้ดทุกสัญชาตินั่นล่ะตัวดี และที่สำคัญที่สุดก็คือหากอยากให้เด็กหรือวัยรุ่นมีสุขภาพแข็งแรงแล้วล่ะก็  การมีพ่อแม่เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตัวกลับเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้ลูก ๆ ของเรามีอายุยืนยาวและสุขภาพแข็งแรง กับมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลดลงอีกด้วยค่ะ    

  • วิธีดูแลตัวเองจากโรคติดต่อไม่เรื้อรัง 5 โรค

    วิธีดูแลตัวเองจากโรคติดต่อไม่เรื้อรัง 5 โรค

    วิธีดูแลตัวเองจากโรคติดต่อไม่เรื้อรัง 5 โรค โรคติดต่อไม่เรื้อรังนั้นมักถูกเข้าใจว่าน่าจะเป็นโรคของประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ โรคติดต่อไม่เรื้อรัง 5 โรคนี้เป็นปัญหาของประเทศกำลังพัฒนาต่างหาก เพราะขาดความพร้อมในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ อีกทั้งยังต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงมากด้วย โรคทั้งห้านี้ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ และโรคมะเร็ง ซึ่งผู้ป่วยโรคเหล่านี้มีอัตราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี แล้วยังเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาตหรือพิการเพิ่มขึ้นด้วยนะ สาเหตุของโรคทั้งห้าชนิดนี้ มักเป็นบุคคลที่ชอบทานอาหารหวานจัด เค็ม หรือมีไขมันสูง ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ มีความเครียดมากแล้วไม่ค่อยรู้จักการผ่อนคลายกับทั้งยังขาดการออกกำลังกาย ฯลฯ จึงทำให้เป็นโรคอ้วนตามมา การที่มีไขมันสะสมในช่องท้องมากนี้ ไขมันจะแตกตัวเป็นกรดไขมันจะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ ส่งผลให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดีนัก จึงเป็นต้นเหตุของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต หัวใจวาย ตับวาย ไตวาย และอาจเสียชีวิตได้ หากจะวัดกันที่ดัชนีรอบเอวจะพบว่ารอบเอวที่เพิ่มขึ้นทุก 5 เซนติเมตรจะเพิ่มโอกาสการเป็นโรคเบาหวานสูงขึ้นถึง 3-5 เท่า หมายถึงว่ายิ่งพุงใหญ่เท่าไรก็ยิ่งตายเร็วเท่านั้น โรคเกณฑ์การจำแนกว่าเป็นโรคอ้วนลงพุงของคนไทยก็คือ หากผู้ชายมีรอบเอวเกิน 90…

  • การเลือกทานอาหาร ให้เหมาะกับ การออกกำลังกาย

    การเลือกทานอาหาร ให้เหมาะกับ การออกกำลังกาย

    การเลือกทานอาหาร ให้เหมาะกับ การออกกำลังกาย ประโยชน์ของการเล่นกีฬานั้นมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความสามัคคีที่เกิดขึ้นหมู่ผู้แข่งขันและหมู่ผู้ที่เข้ามาเชียร์ เพื่อการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เพื่อการคลายเครียด และที่สำคัญก็คือประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้เล่น ช่วยให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ทำให้ร่างกายมีกำลังวังชา ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานสอดประสานกันได้ดี อีกทั้งยังเหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักในกลุ่มผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ทั้งยังช่วยเพิ่มน้ำหนักได้สำหรับคนที่ผอมเกินไป แม้การออกกำลังกายจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ทำให้อวัยวะและระบบต่าง ๆ ทำงานได้ดี แต่ผู้ที่ออกกำลังกายก็จำเป็นต้องสังเกตสัญญาณเตือนที่ร่างกายบอกออกมาด้วย เช่น ออกกำลังกายนานหรือมากเกินไปจนกล้ามเนื้อปวดเมื่อยหรือไม่ หรือมีความอ่อนเพลียเพราะพักผ่อนน้อยไป หรือทานอาหารน้อยไปหรือเปล่า หรือการออกกำลังกายที่ผิดท่าทางหรือหักโหมมากเกินไปจนบาดเจ็บ ฯลฯ ดังนั้น ก่อนออกกำลังกายจึงจำเป็นต้องสังเกตอาการของร่างกาย รวมทั้งพลังงานจากอาหารที่เราทานเข้าไปด้วยว่าเหมาะสมกับการออกกำลังของเราหรือเปล่า นักกีฬาที่กำลังจะลงแข่งขันมักจะมีอาการตื่นเต้น และกังวลมากขึ้นจนอาจส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย บางคนก็ท้องเสีย ปวดปัสสาวะมาก ท้องอืด หรือเครียด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน ดังนั้นนักกีฬาควรเตรียมร่างกายให้พร้อมด้วยการทานอาหารที่เหมาะสม ทานอาหารที่คุ้นเคยจะได้ไม่สร้างปัญหาต่อระบบทางเดินอาหาร มีรสชาติไม่จัดเกินไป มีแป้งและน้ำตาลมากหน่อยเพื่อเป็นพลังงานกับร่างกาย มีความอ่อนนุ่ม เพื่อให้ร่างกายย่อยและดูดซึมได้เร็วจะได้ไม่หมดแรงเร็วเกินไปนัก ซึ่งการทานอาหารควรทานก่อนออกกำลังกายหรือลงแข่งขันประมาณ 2-3 ชั่วโมงเพื่อให้อาหารย่อยหมดก่อน หากลงเล่นกีฬาทั้งที่ยังมีอาหารอยู่ในกระเพาะแล้วอาจทำให้จุกเสียดและปวดท้องได้ การออกกำลังกายจะเผาผลาญพลังงานที่ร่างกายสะสมไว้ จึงทำให้รู้สึกหิวมากกว่าปกติ สำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักจึงควรมีสติในการกินดื่ม โดยเฉพาะของหวาน ๆ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม…

  • ล้างสารพิษในร่างกาย ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

    ล้างสารพิษในร่างกาย ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

    ล้างสารพิษในร่างกาย ง่ายๆ ด้วยตัวเอง คุณจะรู้หรือไม่ว่า…. การล้างสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายของเราออกไป นั้นจะช่วยทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงขึ้น และช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก ยิ่งถ้าทำเป็นประจำ ก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลง และยังช่วยรักษาโรคร้ายอย่าง “มะเร็ง“ รวมถึงโรคภูมิแพ้ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมกระทั่งลดความอ้วนได้อีกด้วย หัวใจหลักๆของการทำงานในการล้างสารพิษในร่างกาย 1 วัน คือ จะต้องทานให้ได้แคลลอรี่ที่น้อยกว่า 800 แคลลอรี่ เพื่อให้ระบบย่อยอาหารและตับได้มีการพักผ่อน และต่อจากนั้น ตับก็จะขับสารพิษออกมา และอาหารที่เราทานเข้าไปในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์ปะปนเด็ดขาด หากเข้าใจกันดีแล้ว เรามาเข้าสู่ขั้นตอนการล้างสารพิษกันเลยค่ะ 1. เลือกผลไม้ที่เราชื่นชอบมา 1 ชนิด อย่างเช่น ฝรั่ง แคนตาลูป มะละกอ แอปเปิ้ล ชมพู่ มะม่วง ส้มโอ หรืออะไรก็ตาม แต่จะมีผลไม้ที่ต้องยกเว้นไว้ 2 อย่าง คือ ทุเรียนและสับประรด เนื่องจากในทุเรียนจะมีแคลลอรี่สูงมาก และยังย่อยยากอีกด้วย ส่วนในสับประรดนั้น จะมีกรดที่สูง ถ้าหากต้องทานทั้งวัน จะทำให้เราท้องอืดได้ 2. ทานแต่ผลไม้ที่เราเลือก…

  • วิธีทานผลไม้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ

    วิธีทานผลไม้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ

    วิธีทานผลไม้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ วิธีทานผลไม้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ในประเทศไทยนั้นเป็นประเทศในแถบเมืองร้อนที่มีผลหมากรากไม้ที่มีรสชาติอร่อยมากมาย ยิ่งในฤดูร้อนที่ผลไม้หลายชนิดพากันตกลูกแล้ว วัน ๆ เราก็คงอยากแต่จะทานผลไม้เหล่านี้กันให้อิ่มหนำไปเลย แต่ผลไม้หลายชนิดในหน้าร้อน ไม่ว่าจะเป็น ทุเรียน ลำไย เงาะ ลองกอง มะม่วงสุก เหล่านี้มีน้ำตาลสูงมาก อาจทำให้อ้วนได้ อีกทั้งยังมีการใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงระหว่างการปลูกอยู่มาก ดังนั้นเราจึงควรเรียนรู้วิธีการทานผลไม้อย่างถูกต้องเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดจากผลไม้โดยไม่เป็นอันตราย ดังต่อไปนี้ค่ะ 1. เมื่อซื้อผลไม้มาแล้วให้ทำการล้างให้สะอาดมาก ๆ หลาย ๆ น้ำ โดยเฉพาะผลไม้ที่ทานได้ทั้งเปลือกยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษ อาจแช่น้ำทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมงแล้วล้างทิ้งเพื่อความปลอดภัย 2. ซื้อผลไม้มาทานแค่พอกินเท่านั้น อย่าซื้อมาตุนไว้เยอะ ๆ เพราะวิตามินและแร่ธาตุที่เต็มเปี่ยมจะอยู่ในผลไม้สด ๆ ยิ่งทิ้งไว้นานเท่าไรคุณค่าทางโภชนาการก็จะยิ่งลดลงไปเรื่อย ๆ อีกทั้งควรกินให้มีความหลากหลาย เปลี่ยนชนิดหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ ตามฤดูกาลเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลาย 3. สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน หรือผู้ที่เป็นโรคอ้วน ควรระมัดระวังผลไม้ที่หวานจัด โดยทานผลไม้หวานจัดเหล่านี้แค่ 1 ส่วนต่อวันเท่านั้น ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 5-6 คำ ผลไม้หวาน ๆ เหล่านี้ได้แก่ ขนุน มะม่วงสุก กล้วย…