Tag: ภูมิแพ้

  • สูตรไม่ลับ! ล้างไขมันลำไส้ ง่ายๆที่บ้าน

    สูตรไม่ลับ! ล้างไขมันลำไส้ ง่ายๆที่บ้าน

    สูตรไม่ลับ! ล้างไขมันลำไส้ ง่ายๆที่บ้าน หนุ่มๆ สาวๆ ท่านไหน ที่สะสมไขมันไว้ในร่างกายมากๆ ขอบอกเลยนะ ว่าไม่ใช่ผลดีเลย เพราะไขมันที่อยู่ในร่างกายของเรา ถ้าหากมีปริมาณมากเกินไป จะส่งผลให้โทษกับร่างกาย ซึ่งโทษที่เกิดจากการที่ไขมันสะสม ที่เกาะผนังลำไส้ กระเพาะอาการ จะทำให้เกิดโรคต่างๆได้ เช่น – ถุงน้ำดี โรคนี้จะมีอาการนอนไม่หลับ เป็นนิ่วในไต สายตาเสื่อมลง และจะปวดเมื่อยตามร่างกาย – เลือดเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จะทำให้มึนศรีษะ – ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลง และจะกลายเป็นคนขี้หนาว – ม้ามชื้น ทำมห้อาหารที่เราทานเข้าไป แปรสภาพเป็นไขมัน และส่งผลให้เป็นคนอ้วนง่าย – ม้ามโต ทำให้มีอาการเหนื่อยง่าย เนื่องจากม้ามไปเบียดปอด – หากไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะส่งผลให้ลำไส้เล็ก ไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ และจะทำให้เป็นหวัดในตอนเช้า หรือเป็นหวัดเรื้อรัง อาจจะมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้ และมักจะมีอาการจามในตอนเช้า – ถ้ามีไขมันในตับสูง จะส่งผลให้การสร้างเม็ดเลือดไม่ปกติ หากดื่มตามสูตรนี้ จะช่วยลดหน้าท้อง และยังส่งผลให้อาการทั้ง 7…

  • ล้างสารพิษในร่างกาย ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

    ล้างสารพิษในร่างกาย ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

    ล้างสารพิษในร่างกาย ง่ายๆ ด้วยตัวเอง คุณจะรู้หรือไม่ว่า…. การล้างสารพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายของเราออกไป นั้นจะช่วยทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงขึ้น และช่วยให้เลือดลมเดินสะดวก ยิ่งถ้าทำเป็นประจำ ก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลง และยังช่วยรักษาโรคร้ายอย่าง “มะเร็ง“ รวมถึงโรคภูมิแพ้ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมกระทั่งลดความอ้วนได้อีกด้วย หัวใจหลักๆของการทำงานในการล้างสารพิษในร่างกาย 1 วัน คือ จะต้องทานให้ได้แคลลอรี่ที่น้อยกว่า 800 แคลลอรี่ เพื่อให้ระบบย่อยอาหารและตับได้มีการพักผ่อน และต่อจากนั้น ตับก็จะขับสารพิษออกมา และอาหารที่เราทานเข้าไปในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์ปะปนเด็ดขาด หากเข้าใจกันดีแล้ว เรามาเข้าสู่ขั้นตอนการล้างสารพิษกันเลยค่ะ 1. เลือกผลไม้ที่เราชื่นชอบมา 1 ชนิด อย่างเช่น ฝรั่ง แคนตาลูป มะละกอ แอปเปิ้ล ชมพู่ มะม่วง ส้มโอ หรืออะไรก็ตาม แต่จะมีผลไม้ที่ต้องยกเว้นไว้ 2 อย่าง คือ ทุเรียนและสับประรด เนื่องจากในทุเรียนจะมีแคลลอรี่สูงมาก และยังย่อยยากอีกด้วย ส่วนในสับประรดนั้น จะมีกรดที่สูง ถ้าหากต้องทานทั้งวัน จะทำให้เราท้องอืดได้ 2. ทานแต่ผลไม้ที่เราเลือก…

  • สูตรน้ำเต้าหู้ อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและสมอง !

    สูตรน้ำเต้าหู้ อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและสมอง !

    สูตรน้ำเต้าหู้ อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและสมอง ! สวัสดีค่ะ… วันนี้เรามีเคล็ดลับ การนำน้ำเต้าหูมาเป็นอาหารเสริม ช่วยในเรื่องบำรุงสุขภาพ ร่างกาย และสมอง แถมยังช่วยในเรื่องของสายตา ยิ่งถ้ารับประทานเป็นประจำ ยังมีสรรพคุณอีกหลายๆอย่าง ที่ช่วยพัฒนาและบำรุงร่างกายของเรา ลองไปดูกันว่า สูตรน้ำเต้าหู้บำรุงร่างกายนี้มีอะไรบ้าง? 1. น้ำเต้าหู้ 1 ถ้วย : จะต้องใช้น้ำเต้าหู้ที่ไม่ใส่น้ำตาลทราย ใช้น้ำเต้าหู้อุ่น ไม่ร้อน ไม่เย็น 2. น้ำมะนาว : ใช้มะนาว 1 ลูก วิธีทำก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่น้ำน้ำมะนาวใส่ลงไปในน้ำเต้าหู้ แล้วคนให้เข้ากัน เมื่อใส่น้ำมะนาวลงไป น้ำเต้าหูจะมีลักษณะข้น หรือคล้ายๆวุ้นหรือโจ๊ก เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย ถึงหน้าตาจะดูไม่น่าทาน แต่ขอบอกไว้เลยว่า ช่วยบำรุงสุขภาพได้จริง และมีสรรพคุณต่างๆดังนี้ 1. ช่วยให้ระบบเส้นเลือดฝอยในร่างกาย มีความยืดหยุ่นดี ไม่เปราะหรือแตกง่าย หากคนที่มีปัญหาในเรื่องของเส้นเลือดฝอยเปราะ หรือแตกง่าย หรือมีเลือดออกตามร่างกาย เช่น เลือดออกที่เยื่อบุตาขาว หรือในคุณผู้หญิงที่มักจะมีรอยจ้ำ เขียวในเวลาที่ถูกกระแทกได้ง่าย หรือในผู้สูงอายุ ที่มักมีเลือดออกใต้ผิวหนัง เมื่อทานสูตรนี้เข้าไปแล้ว…

  • ยอมรับความเสื่อมของร่างกายตามกาลเวลา

    ยอมรับความเสื่อมของร่างกายตามกาลเวลา

    ยอมรับความเสื่อมของร่างกายตามกาลเวลา เมื่ออายุยิ่งมากขึ้นเท่าไร การดูแลสุขภาพก็ยิ่งเป็นเรื่องจำเป็นมากขึ้นเท่านั้น หากจะเปรียบไปแล้วร่างกายของคนก็เหมือนกับรถที่เก่าลงทุกปี จำเป็นต้องเข้าอู่เพื่อตรวจเช็คสภาพ บำรุงรักษาอยู่เนือง ๆ ร่างกายเราเมื่ออายุมากขึ้นก็ย่อมมีความเสื่อมโทรมลงเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะส่วนใดก็หลีกเลี่ยงความจริงข้อนี้ไปไม่ได้ ซึ่งอาการหรือโรคที่บ่งบอกว่าร่างกายเรากำลังเสื่อมโทรมเอาที่เห็นกันได้ชัด ๆ นั้นก็คือ ตาฝ้าฟาง หูตึง ปวดกล้ามเนื้อ และปวดกระดูก อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ รวมไปถึงโรคเรื้อรังไม่ติดต่อจำพวก เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือด โรคอ้วน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดในผู้สูงอายุเท่านั้น แต่พบได้แม้ในคนที่อายุยังน้อยอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เกิดจากวิธีการใช้ชีวิตนั่นเอง แต่คนเราก็ไม่เหมือนรถไปซะหมดทุกอย่าง เพราะคนเราก็ยังมีจิตใจ และจิตวิญญาณ ซึ่งสุขภาพของคนจะดีได้นั้นผู้ที่เป็นเจ้าของร่างกายก็จำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่ทุกสัดส่วน ร่างกายจึงจะอยู่กับเรานาน ๆ ไม่เสื่อมโทรมไว หรือเสียบ่อย ๆ แล้วก็ยังใช้การได้ดีจนสิ้นอายุขัย พึงตระหนักไว้ว่าสุขภาพของผู้ที่เข้าวัยชรานั้นเปรียบเหมือนรถเก่าก็ตรงที่ มักจะเสียง่าย ใช้งานหนักมากไม่ไหว แล้วก็ต้องเข้าอู่บ่อย สุดท้ายก็ต้องพัง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดูแลอย่างเหมาะสม เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นก็ซ่อมแซมตามจำเป็น แต่หากมีปัญหาซับซ้อนก็ควรแยกแยะให้ออกว่าจะปล่อยไปหรือนำไปซ่อม ควรมีสติ มีความรู้ และอย่างกังวลมากเกินไป นอกจากนี้แล้วยังควรหากช่างซ่อม หรือหมอ พร้อมอู่ หรือโรงพยาบาลที่ไว้ใจได้มาดูแลด้วย ผู้สูงวัยทุกท่านจำเป็นต้องแยกแยะให้ได้ว่า อาการชนิดไหนเป็นโรคที่ไม่ต้องรักษา…

  • ไล่ยุงอย่างไร ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเรา

    ไล่ยุงอย่างไร ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเรา

    ไล่ยุงอย่างไร ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเรา ประเทศไทยเป็นประเทศร้อนชื้น จึงมียุงชุมแทบทุกฤดูกาล การกำจัดยุงให้หมดนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะร่างกายคนเรานั้นเป็นแหล่งดูดยุงชั้นเยี่ยม จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาจาก เหงื่อ กลิ่นตัว และความร้อน ตลอดจนลมหายใจ ยุงจึงมักตอมคนและสัตว์เลี้ยง อีกทั้งสารเคมีในร่างกายของบางคนยังดึงดูดยุงมากกว่าคนอื่นด้วยก็มี วันนี้เราจึงขอนำสูตรการไล่ยุงหลาย ๆ เพื่อให้ทุกคนลองนำไปเลือกใช้ เพราะวิธีการไล่ยุงวิธีหนึ่งอาจใช้ไม่ได้ผลกับทุกคนก็เป็นได้ แต่ทุกสูตรที่นำมาเสนอในวันนี้รับรองได้ว่าปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายจากสารพิษอย่างแน่นอนค่ะ – หากไปแค้มปิ้งหรือปิกนิกนอกบ้านที่มียุงมาก ให้นำกระเทียมผลซึ่งหาซื้อได้ทั่วไปตามซุปเปอร์มาร์เก็ตมาละลายน้ำ แล้วทาลงบนจุดชีพจรหรือบนใบหน้า แต่ให้ระวังเข้าตา – สำหรับผู้ที่อยู่ในบ้านแต่มียุงมาก ให้ลองนำกระเทียมผงละลายน้ำ ฉีดตามสนามหญ้าและพุ่มไม้ต่าง ๆ เพื่อช่วยไล่ยุง หมั่นทำสองอาทิตย์ต่อหนึ่งครึ่ง หรือฉีดหลังฝนตกจะช่วยลดปริมาณของยุงได้ – นำเอาวานิลลามาทาตามจุดชีพจร หรือแต้มตัวผิวหนังและแต้มลงบนเสื้อผ้า สามารถใช้วานิลลาชนิดเข้มข้ม ผสมน้ำก่อนแล้วค่อยพ่นลงบนผิวก็ได้เช่นกัน – เลือกน้ำมันหอมระเหยกลิ่น ลาเวนเดอร์ ยูคาลิปตัส ตะไคร้ มินท์ มะนาว ส้ม ก็ได้ มาผสมกับแอลกอฮอล์เช็ดแผลหรือน้ำกลั่น แล้วพ่นบนร่างกายหรือเสื้อผ้า หรือใช้เช็ดบริเวณผิวที่โดนยุงตอม – หรือจะเลือกนำเอาน้ำมันหอมระเหย 2-3 หยดผสมกับน้ำมะกอกหรือเบบี้ออยล์แล้วทาผิว ก็ได้เช่นกัน แต่ให้ระวังเข้าตาและปาก…

  • แมลงทอดอร่อยปาก.. แต่ควรกินให้ถูกวิธี

    แมลงทอดอร่อยปาก.. แต่ควรกินให้ถูกวิธี

    แมลงทอดอร่อยปาก.. แต่ควรกินให้ถูกวิธี อาหารอย่างแมลงทอดที่ขายกันตามรถเข็นหรือแผงลอยนั้นเป็นอาหารที่มาจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่พยายามหาอาหารมาทดแทนเนื้อสัตว์ที่มีราคาแพง โดยเฉพาะภาคอีสานที่หาทานแมลงหลากชนิดได้ง่าย บางชนิดก็อร่อยจนใครต่อใครติดใจ แต่การกินแมลงให้ปลอดภัยก็มีวิธีอยู่เหมือนกันค่ะ 1. ควรทานแมลงที่รู้จักและเคยมีการนำมาทานเป็นอาหารมาก่อน และควรเลือกทานแมลงที่อาศัยอยู่กับต้นไม้หรือสวน หรือตามพื้นที่ที่ปลอดการใช้สารเคมีในการฆ่าแมลง 2. การจับแมลงมาประกอบอาหารควรจับตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วนำมาปรุงอาหาร อย่าไปเก็บตัวที่ตายแล้วมาปรุง 3. แมลงที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือแมลงที่เป็นศัตรูภายในบ้าน เช่น แมลงสาป แมลงวันบ้าน เพราะเป็นพาหะนำโรคร้ายแรงได้มากมาย 4. แมลงที่มีสีสันสดใส มักจะมีพิษมากกว่าแมลงตัวที่สีซีด 5. ปรุงให้สุกก่อนการทานทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการคั่ว ทอด ปิ้ง ต้ม ผัด หรือทำให้สุกก่อนการนำไปตำกับน้ำพริกก็ได้ ฯลฯ 6. ส่วนที่ควรเด็ดทิ้งก่อนก็คือ ปีก ขา ขน หรือหนามแข็ง เพราะอาจทำให้คันได้ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่ายควรหลีกเลี่ยงการทานแมลงจะดีกว่า เพราะมีแมลงหลายชนิดเลยทีเดียวที่ก่ออาการแพ้กับคน ซึ่งขึ้นอยู่กับความไวพิษของบุคคลนั้น ๆ ดังนั้นผู้ที่มีความเสี่ยงมากกว่าก็ควรหลีกเลี่ยงไว้ก่อนเป็นดีที่สุดค่ะ  

  • 4 โรคต้องระวังสำหรับคนชอบขึ้นภู

    4 โรคต้องระวังสำหรับคนชอบขึ้นภู

    4 โรคต้องระวังสำหรับคนชอบขึ้นภู สำหรับคนที่ชอบเดินทางไปขึ้นภู ดูหมอกสวย ๆ ในหน้าหนาวทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศนั้น ทางคลินิกเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทาง โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เตือนว่านักท่องเที่ยวที่มีความนิยมการท่องเที่ยวแบบดังกล่าวมักพบอาการป่วยได้ง่ายถึง 4 โรคด้วยกัน ซึ่งควรระวังป้องกันไว้รวมทั้งควรฟิตร่างกายให้มีความแข็งแรงก่อนออกไปเผชิญอาการหนาวเย็นดังกล่าวด้วย โรคทั้ง 4 ได้แก่.. – ปอดบวม เกิดจากการติดเชื้ออักเสบของปอด หลอดลม ถุงลมซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส ทำให้มีของเหลวเกิดขึ้นในถุงลง มักเป็นโรคที่แทรกซ้อนเข้ามาหลังจากการป่วยเป็นไข้หวัดได้ 2-3 วันซึ่งมีอาการก็คือไอ เจ็บหน้าอก มีไข้สูง และหอบ – โรคหัด ระบาดมากในช่วงฤดูหนาวถึงฤดูร้อน มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสที่ติดต่อกันทางน้ำลายของผู้ป่วย ที่สัมผัสการไอ จาม หรือการหายใจรดกัน ตลอดจนใช้สิ่งของร่วมกัน มีอาการระยะแรกคล้ายไข้หวัด มีไข้สูง กินยาแก้ไขก็ไม่ลด และถ่ายเหลวบ่อย ๆ เหมือนท้องเสีย สำหรับเด็กอาจชักได้เพราะมีไข้สูง – ภูมิแพ้อากาศ มักเป็นได้ในช่วงฤดูหนาว เพราะร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ทางการหายใจ มีอาการชัด ๆ ก็คือคันตา คันจมูก น้ำมูกใส จามบ่อย และแน่นจมูกในตอนเช้า…

  • รู้กันบ้างไหม ในยาสีฟันประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?

    รู้กันบ้างไหม ในยาสีฟันประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?

    รู้กันบ้างไหม ในยาสีฟันประกอบไปด้วยอะไรบ้าง? ยาสีฟันที่เรานำมาทำความสะอาดฟันของเราทุกเช้าเย็นนั้น มีส่วนประกอบของอะไรบ้าง เรามาลองดูส่วนประกอบเหล่านี้กันค่ะ กว่า 15-70% ของเนื้อยาสีฟันที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำนั้นคือสารรักษาความชื้น ที่ช่วยในการรักษาปริมาณน้ำในเนื้อยาสีฟันไม่ให้แข็งตัวเวลาถูกเก็บไว้ในหลอดเป็นเวลานาน ซึ่งสารรักษาความชื้นที่นิยมนำมาใช้กันคือ กลีเซอรีน, ซอร์บิทอล และไซบิทอล  อีกทั้งประกอบไปด้วยน้ำอีกประมาณ 0-50%  ซึ่งก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ยาสีฟันไม่แข็งตัว  ยกเว้นยาสีฟันประเภทที่เป็นผง นอกจากนี้ยังมีผงขัดฟันอีกราว ๆ 10-50%  ซึ่งทำหน้าที่ในการขจัดเศษอาหารที่ตกค้าง  และรวมถึงคราบจุลินทรีย์ที่ติดอยู่บนฟัน  โดยสารที่นิยมนำมาผสมเป็นผงขัดฟันได้แก่ อะลูมินา, แคลเซียมฟอสเฟต, แคลเซียมคาร์บอนเนต, เกลือ เป็นต้น   รวมไปถึงมีสารลดแรงตึงผิวและสารแต่งกลิ่นอีกเล็กน้อยราว  ๆ 2% ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยขจัดคราบและทำให้เป็นฟอง  และที่ทำให้ยาสีฟันมีรสชาติดีก็คือสารให้ความหวานจะมีส่วนผสมอยู่ถึง 40% ทำให้ยาสีฟันมีรสชาติที่ดีขึ้นกว่าการอมสารเคมีอื่น ๆ  สารที่มักใช้ก็คือ แอสปาร์แทม และสารที่ทำให้ยาสีฟันเกาะกันเป็นเนื้อเดียว ไม่เละเทะ ก็คือ คาราจีแนน ยาเซลลูลส และ โซเดียมคาร์บอกซีเมทิลเซลลูโลส  อีกทั้งสารสำคัญที่ช่วยป้องกันฟันผุ ทำหน้าที่เคลือบฟันเพื่อให้ทนต่อกรดที่เกิดจากแบคทีเรียในช่องปาก  ก็คือ ฟลูออไรด์นั่นเองค่ะ ความรู้นี้มีประโยชน์สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้หรือมีอาการแพ้สารเคมีต่าง ๆ ให้ลองสังเกตดูได้ว่าที่ข้างหลอดยาสีฟันนั้นระบุไว้ว่ามีสารอะไรผสมอยู่บ้าง  เพื่อการหลีกเลี่ยงสารก่ออาการแพ้ได้ค่ะ  

  • รายงานอันตรายจากลิปสติก ที่คุณควรระวัง

    รายงานอันตรายจากลิปสติก ที่คุณควรระวัง

    รายงานอันตรายจากลิปสติก ที่คุณควรระวัง ณ ปัจจุบันนี้มีผลการวิจัยที่น่าเป็นห่วงอยู่หนึ่งชิ้น เกี่ยวกับ ลิปสติกสวย ๆ ที่สาวๆ คนมีไว้ติดกระเป๋าทาปากกันนั้น อาจมีส่วนผสมของสารเคมีนานาชนิดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ แล้วยังสร้างปัญหาต่อร่างกายในหลาย ๆ ด้านด้วย ซึ่งจากการวิจัยชี้ถึงปัญหาที่ลิปสติกอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณดังต่อไปนี้ – ลิปสติกที่เราสาว ๆ ใช้กันอยากมีส่วนโยงใยกับปัญหาของกล้ามเนื้อและหัวใจเนื่องจากสารไตรโคซานที่ผสมอยู่ในลิปสติก – สารไตรโคซานยังเป็นสาเหตุให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะจนกลายพันธุ์เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะทุกชนิดต่อไปอีกด้วย – ก่อนหน้านี้สารไตรโคซานนั้น เกี่ยวข้องกับโรคไทรอยด์และการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ อาจทำให้ฮอร์โมนในเพศชายและเพศหญิงมีความแปรปรวน ทำให้สิวขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น มีขนดกขึ้น และทำให้รอบเดือนไม่ปกติได้อีกด้วย – มีโลหะหนักที่ทำให้เกิดพิษต่อร่างกายทั้งสารตะกั่วและแคดเมียม – มีความเสี่ยงทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ และโรคข้อต่ออักเสบได้ เพราะสารเคมีที่ผสมอยู่นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น พาราเบน, เมทอะคริเลท แต่ก็ใช่ว่าลิปสติกทุกรุ่นทุกยี่ห้อจะทำให้เกิดพิษภัยดังกล่าวมาข้างต้นได้ ทางที่ดีคือควรเลือกเครื่องสำอางค์จากแบรนด์ที่ไว้ใจได้ และมีผลการวิจัยและทดลองที่น่าเชื่อถือมายืนยันก่อนที่เราจะซื้อหามาใช้จะดีกว่าค่ะ  

  • การรักษาโรคภูมิแพ้ และทางเดินหายใจ

    การรักษาโรคภูมิแพ้ และทางเดินหายใจ

    การรักษาโรคภูมิแพ้ และทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้นั้น เป็นโรคที่สมัยนี้คนรุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ท่ามกลางมลพิษเริ่มเป็นกันมากขึ้น โรคภูมิแพ้เป็นภาวะที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายมีปฏิกิริยากับ “สารก่อภูมิแพ้” เช่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ หรือขนสัตว์ชนิดต่าง ๆ ฯลฯ จนร่างกายปล่อยสารที่เรียกว่าฮิสตามีนอกมา จึงทำให้เยื่อบุของร่างกายนั้นเกิดอาการระคายเคืองขึ้น ซึ่งอาการหลัก ๆ ของผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจก็คือ มีน้ำมูกใส จาม คัดจมูก คันจมูก บางท่านก็มีอาการของไซนัสอักเสบ และมีอาการที่ดวงตาด้วย เช่น คันตา ตาแดง ขอบตาคล้ำ หรือบางคนก็มีอาการที่หูก็คือหูอื้อ หรือหูชั้นกลางอักเสบได้ด้วย ซึ่งการจะหลีกเลี่ยงอาการภูมิแพ้ได้นั้น ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าเราแพ้อะไรบ้าง ซึ่งวิธีการที่จะรู้ได้ก็คือการทดสอบภูมิแพ้ โดยแพทย์จะทำการหยดน้ำยาสลัดจากสารก่อภูมิแพ้บนผิวหนังของเราแล้วใช้เข็มสะกิดที่ผิวหนัง ซึ่งการทดสอบนี้จะไม่เจ็บและจะทราบผลภายในระยะเวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น และเมื่อเราได้ทราบแล้วว่าเราแพ้สารอะไร ก็จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงสารก่ออาการแพ้นั้นได้ดียิ่งขึ้น ในส่วนของการรักษาและดูแลตนเองร่วมกันทั้งแพทย์และผู้ป่วยจะเป็นดังต่อไปนี้ 1. ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่ตนเองแพ้ เช่น หากแพ้ขนสัตว์ก็ไม่ควรเลี้ยงสัตว์ไว้ในบ้าน หรือหากแพ้ไรฝุ่น ก็ไม่ควรปูพรมในห้องนอน หรือควรทำความสะอาดเครื่องนอนด้วยน้ำร้อนทุกสองสัปดาห์ หรืออาจเปลี่ยนไปใช้เครื่องนอนที่สามารถกันไรฝุ่นได้ 2. หากสัมผัสกับสารก่ออาการแพ้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้ทานยาแก้แพ้พวกยาแอนตี้ฮิสตามีนบางชนิด แต่ก็อาจทำให้มีอาการง่วงนอน คอแห้ง ปากแห้ง หรือปัสสาวะลำบากได้ด้วย 3.…