Tag: ท้องผูก

  • เทคนิคการผ่อนคลายความเครียดแบบง่าย ๆ

    เทคนิคการผ่อนคลายความเครียดแบบง่าย ๆ

    เทคนิคการผ่อนคลายความเครียดแบบง่าย ๆ เดี๋ยวนี้การใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันสร้างความเครียดและความวิตกกังวลให้เราแทบจะทุกช่วงเวลาของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่วัยเด็ก วัยเรียน วัยรุ่น วัยทำงาน มีครอบครัว จนถึงวัยชรา เรามีความเครียดกันตั้งแต่ระดับเล็ก ๆ จนถึงระดับใหญ่ ๆ ที่สร้างผลกระทบต่อร่างกาย ความเครียดไม่ได้สร้างปัญหาทางจิตใจเท่านั้นแต่ยังสร้างปัญหาต่อสุขภาพอีกด้วย เพราะเมื่อเครียดก็มักนอนไม่หลับ พาลทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่ำ ป่วยง่ายหายยาก ขาดสมาธิ และพัฒนาไปสู่โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ จนทำให้เสียชีวิตได้ ความเครียดจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว หากรู้ตัวว่าเริ่มเครียดขึ้นมาแล้ว ซึ่งจะสามารถเห็นได้จากอาการดังนี้ ไม่ว่าจะเป็น อาการวิงเวียนศีรษะ มึนงง เบื่ออาหาร หายใจถี่ แรง เร็ว เหงื่อออก กล้ามเนื้อเกร็ง นอนไม่หลับ มือเท้าเย็น หน้าซีด อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ฯลฯ หากมิได้เกิดจากโรคอื่น ๆ แล้วก็ให้ลองเทคนิคการผ่อนคลายความเครียดดังต่อไปนี้ดูนะคะ เทคนิคแรก วิธีผ่อนคลายกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว โดยการนอนราบลงบนพื้นหรือบนที่นอน นอนเหยียดตัวตรง เท้าทั้งสองข้างวางห่างกันเล็กน้อย แขนแนบข้างลำตัว กำมือให้แน่น เกร็งไหล่ ยกไหล่ขึ้น เกร็งไว้ 1…

  • ดูแลตนเองอย่างไร ห่างไกลท้องผูก

    ดูแลตนเองอย่างไร ห่างไกลท้องผูก

    ดูแลตนเองอย่างไร ห่างไกลท้องผูก หากเราไม่ได้ถ่ายอุจจาระทุกวัน กากอาหารหรืออุจจาระที่คั่งค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่นั้นจะทำให้รู้สึกอึดอัด ท้องอืด แต่ถ้าค้างอยู่มากและเป็นเวลานาน จะจับตัวเป็นก้อนแข็ง ถ่ายลำบากมาก แบบที่เราเรียกว่าท้องผูกนั่นเอง อุจจาระที่ค้างอยู่ในลำไส้นาน ๆ จะเกิดการบูดเน่าและสารพิษจากการเน่าเสียของกากอาหารนี้จะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง ยิ่งอุจจาระค้างอยู่ในร่างกายนานเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งได้รับสารพิษเพิ่มขึ้น จนทำให้เกิดปัญหาร่างกายอื่น ๆ ตามมา ดังนั้นเราจึงไม่ควรปล่อยให้ร่างกายเรามีปัญหาท้องผูกอีกต่อไป ด้วยการดูแลตนเองให้ห่างไกลจากอาการท้องผูกด้วยการดูแลสุขภาพของตนเองดังต่อไปนี้ – ทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารให้มาก อย่างเช่นผักสด ผลไม้สดต่าง ๆ เพราะเส้นใยเหล่านี้จะไม่ถูกย่อย จึงช่วยดูดซึมน้ำในลำไส้ใหญ่ไว้ให้อุจจาระนิ่มและเพิ่มปริมาณอุจจาระให้มากขึ้น การขับถ่ายจึงเป็นรอบปกติ ไม่ตกค้างนาน – ดื่มน้ำให้มาก ประมาณสองลิตรต่อวันขึ้นไป ช่วยหล่อลื่นอุจจาระให้นิ่ม ถ่ายออกจากร่างกายง่าย – ออกกำลังกายให้มากขึ้น อย่างน้อยวันละสามสิบนาที ยิ่งโดยเฉพาะการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ ซึ่งจะบีบตัวให้ถ่ายอุจจาระออกมาได้อย่างง่ายดายขึ้น การขับถ่ายเป็นเรื่องสำคัญพอ ๆ กับการเลือกทานอาหาร จึงควรฝึกให้ร่างกายได้ขับถ่ายอย่างเป็นเวลา และสม่ำเสมอ ผู้ที่มักมีอาการท้องผูกควรนำเอาเคล็ดลับข้างต้นนี้ไปใช้ อาการท้องผูกจะทุเลาขึ้นแน่นอน แต่หากยังไม่ดีขึ้น ให้ไปพบแพทย์เพื่อขอรับคำปรึกษาจะดีกว่าค่ะ อย่างปล่อยทิ้งไว้จนเกิดปัญหากับร่างกายส่วนอื่นเลยค่ะ  

  • ประโยชน์ของข้าวกล้องที่ดีกว่าข้าวขาว

    ประโยชน์ของข้าวกล้องที่ดีกว่าข้าวขาว

    ประโยชน์ของข้าวกล้องที่ดีกว่าข้าวขาว ตั้งแต่โบราณมาแล้วที่ปู่ย่าตายายเราทานแต่ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือกัน จึงทำให้คนในสมัยก่อนแข็งแรง และไม่ค่อยเจ็บป่วยได้ง่าย แต่ในสมัยปัจจุบันกลับทานข้าวขาวที่มีคุณภาพด้อยกว่าทุกด้านกันวันละสามมื้อ เราจึงแข็งแรงสู้บรรพบุรุษเราไม่ได้ อีกทั้งการกินข้าวกล้องยังอิ่มอยู่ท้องได้นาน มีวิตามินและเกลือแร่มหาศาล ระบบการขับถ่ายก็ดี อีกทั้งเวลาเคี้ยวในปากยังหวานและกรุบกรอบนิด ๆ มากกว่าข้าวขาวอีกด้วยนะคะ ข้าวซ้อมมือหรือข้าวกล้องเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับคนทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนชรา เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่กำลังฟื้นฟูสภาพด้วย และเป็นอาหารที่ดีสำหรับผู้ที่ป่วยเรื้อรัง หากในครอบครัวใดมีคนป่วยลองนำสูตรครีมข้าวกล้องนี้ไปทำทานดู เพียงเลือกใช้ข้าวกล้องที่เม็ดสมบูรณ์ ล้างให้สะอาดแล้วใส่หม้อสเตนเลสเติมน้ำ 3-5 ส่วนแล้วปิดฝาตั้งไฟปานกลางจนข้าวเดือด 15 นาทีใส่เกลือทะเล 1 ก้อนเล็กแล้วหรี่ไฟอ่อนนาน 1 ชม. หลังจากนั้นนำมาครูดกับกระชอนก็จะได้ครีมข้าวกล้องที่อร่อยและมีประโยชน์มาก สามารถทานคู่กับซุปผักก็ได้ เป็นอาหารที่ทานง่ายสบายท้องมาก แล้วในข้าวกล้องมีประโยชน์อะไรบ้างล่ะ 1. ในข้าวกล้องมีโปรตีนมากว่าร้อยละ 20-30 แต่มีแป้งน้อยกว่าข้าวขาว จึงช่วยลดความอ้วนได้ดี และคนที่รูปร่างซูบผอมจะสมบูรณ์แข็งแรงขึ้นได้ด้วยสารอาหารต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ 2. ข้าวกล้องมีวิตามินบีมากกว่าในข้าวขาว ป้องกันโรคเหน็บชา มีวิตามินบีสองป้องกันโรคปากนกกระจอก และวิตามินบีรวมป้องกันและบรรเทาอาการอ่อนเพลีย ปวดขา ปวดน่อง ลิ้นแตก ปลายประสาทอักเสบและโรคทางระบบประสาท ช่วยบำรุงสมอง ทำให้ความจำดีและเจริญอาหารมากขึ้น 3. มีธาตุเหล็กมากว่าในข้าวขาวถึงสองเท่า จึงช่วยป้องกันโลหิตจางได้ 4. มีฟอสฟอรัสและแคลเซียมมากกว่า…

  • หัดเด็ก…ให้กินผักตั้งแต่เล็ก

    หัดเด็ก…ให้กินผักตั้งแต่เล็ก

    หัดเด็ก…ให้กินผักตั้งแต่เล็ก เดี๋ยวนี้เราจะเห็นเด็ก ๆ มากมายที่ไม่ค่อยกินผักสักเท่าไร แถมยังชอบกินอาหารจังก์ฟู้ดที่มีไขมันสูงด้วย เด็กตัวอ้วนกลม ไม่แข็งแรง ขี้โรคจึงเต็มโรงเรียนอนุบาลไปหมด หากไม่หัดให้เด็กกินผักบ้างจะทำให้ร่างกายของเขาขาดเส้นใยอาหาร การขับถ่ายก็ไม่ดี ท้องอืด ท้องผูก และไม่ได้รับการขับถ่ายพิษออกมา แล้วยังอาจทำให้ขาดวิตามินและแร่ธาตุมากมายจากผักอีกด้วย ความจริงแล้วการหัดให้เด็กทานผักนั้นควรเริ่มตั้งแต่หลังจากเริ่มหย่านม ก็คือตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยควรเลือกผักให้ลูกทานพร้อมอาหารหลักที่มีสารอาหารครบห้าหมู่ แล้วจึงค่อยๆ สร้างความคุ้นเคยให้เด็กกินอาหารอื่นนอกจากนมให้มากขึ้นตามลำดับ การหัดให้เด็กได้ลองกินผักมื้อแรกนั้นเป็นจุดที่สำคัญมาก ควรให้เด็กทานผักนิ่ม ๆ ก่อน เช่น ฟักทอง แครอท ผักกาดขาด ตำลึง ซึ่งลูกอาจปฏิเสธในครั้งแรก แต่ควรอดทนและลองพยายามใหม่ ซึ่งอาจลองเปลี่ยนเป็นผักนิ่ม ๆ ชนิดอื่นบ้าง การให้ลูกกินผักนั้นไม่ควรบังคับหรือขัดใจ ควรทำให้เด็กรู้สึกมีความสุขและสนุกในการกิน เพื่อให้รู้สึกดีกับการกินผัก หาไม่แล้วเด็กอาจเกลียดการกินผักไปเลยก็ได้ถ้าคุณเคี่ยวเข็ญหรือลงโทษ หลังจากเริ่มจากผักนิ่ม ๆได้แล้ว ควรทำให้เด็กคุ้นเคยกับผักที่มีกลิ่นฉุนมากขึ้นเช่น ต้นหอม ผักชี ขึ้นฉ่าย โดยให้เด็กทานตั้งแต่อายุ 9-10 เดือน เพราะในระยะนี้เด็กยังไม่รู้จักเลือกรสและกลิ่นของผักจึงสามารถกินได้ทุกอย่าง ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เด็กกินผักได้ก็คือ พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี ต้องกินผักให้เด็กเห็น และชมเชยลูกทุกครั้งที่เด็กชอบผักและอยากกินผัก สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ เด็กต้องมีผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างของการกินที่ดีนั้นเอง…

  • สูตรไม่ลับ! ล้างไขมันลำไส้ ง่ายๆที่บ้าน

    สูตรไม่ลับ! ล้างไขมันลำไส้ ง่ายๆที่บ้าน

    สูตรไม่ลับ! ล้างไขมันลำไส้ ง่ายๆที่บ้าน หนุ่มๆ สาวๆ ท่านไหน ที่สะสมไขมันไว้ในร่างกายมากๆ ขอบอกเลยนะ ว่าไม่ใช่ผลดีเลย เพราะไขมันที่อยู่ในร่างกายของเรา ถ้าหากมีปริมาณมากเกินไป จะส่งผลให้โทษกับร่างกาย ซึ่งโทษที่เกิดจากการที่ไขมันสะสม ที่เกาะผนังลำไส้ กระเพาะอาการ จะทำให้เกิดโรคต่างๆได้ เช่น – ถุงน้ำดี โรคนี้จะมีอาการนอนไม่หลับ เป็นนิ่วในไต สายตาเสื่อมลง และจะปวดเมื่อยตามร่างกาย – เลือดเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จะทำให้มึนศรีษะ – ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลง และจะกลายเป็นคนขี้หนาว – ม้ามชื้น ทำมห้อาหารที่เราทานเข้าไป แปรสภาพเป็นไขมัน และส่งผลให้เป็นคนอ้วนง่าย – ม้ามโต ทำให้มีอาการเหนื่อยง่าย เนื่องจากม้ามไปเบียดปอด – หากไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะส่งผลให้ลำไส้เล็ก ไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ และจะทำให้เป็นหวัดในตอนเช้า หรือเป็นหวัดเรื้อรัง อาจจะมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้ และมักจะมีอาการจามในตอนเช้า – ถ้ามีไขมันในตับสูง จะส่งผลให้การสร้างเม็ดเลือดไม่ปกติ หากดื่มตามสูตรนี้ จะช่วยลดหน้าท้อง และยังส่งผลให้อาการทั้ง 7…

  • “กระเจี๊ยบเขียว” ช่วย DETOX ร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม

    “กระเจี๊ยบเขียว” ช่วย DETOX ร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม

    “กระเจี๊ยบเขียว” ช่วย DETOX ร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม รู้กันรึเปล่า? ว่า “กระเจี๊ยบเขียว” เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการอาหารอย่างสูง เนื่องจากในกระเจี๊ยบเขียว จะมีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเส้นในสูง ส่วนมาเรามักจะนำกระเจี๊ยบเขียวมาเป็นผักเคียงกับน้ำพริก นอกจากนี้ยังสามารถนำมาทำอาหารได้อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น แกงต่างๆ ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว ยำกระเจี๊ยบเขียว หรือจะเป็นอาหารว่างอย่าง กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอดเป็นต้น สรรพคุณทางยาของกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียว นั้นเป็นพืชผัก ที่มีคุณสมบัติที่ช่วยในการรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ เนื่องจากในฝักกระเจี๊ยบเขียวนั้น จะมีเมือกจำพวกเพ็กติน Pectin และ กัม Gum ที่จะสามารถช่วยเคลือบหรือสมานแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้อย่างดีเยี่ยม และยังช่วยให้แผลไม่ลุกลาม ช่วยรักษาความดันให้เป็นปกติ ช่วยบำรุงสมอง และยังมีสรรพคุณเป็นยาระบาย แถมยังสามารถช่วยรักษาโรคพยาธิตัวจี๊ดได้ดีอีกด้วย (แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะต้องมีการรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 15 วันนะค๊ะ) ผลสำรวจจากการแปรรูปกระเจี๊ยบเขียว ให้ข้อมูลมาว่า – รับประทานกระเจี๊ยบเขียว 10-15 ฝัก ทุกวันจะช่วยบำรุงตับได้ดี – รับประทานกระเจี๊ยบเขียว 3-5 ฝัก ก่อนอาหารทุกวัน จะช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร –…

  • อาหารต้องห้ามของ 10 โรค

    อาหารต้องห้ามของ 10 โรค

    อาหารต้องห้ามของ 10 โรค อาหารต้องห้ามหรือของแสลง ก็คืออาหารท่านเข้าไปแล้วทำให้อาการกำเริบหรือโรคที่เป็นอยู่หายช้าลง มีพื้นฐานมาจากภูมิปัญญาทางการแพทย์พื้นบ้าน รู้ไว้จะดีกว่านะคะ ..หากเป็นโรคกระเพาะ หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกกาแฟ ชาแก่ ๆ ของทอด อาหารรสเผ็ด หรือมีไขมันสูง อาจทำให้โรคหายยากขึ้น ควรทานอาหารให้ตรงเวลาและเลือกอาหารที่ย่อยง่ายดีกว่า .. หากเป็นไข้ หรือเป็นไข้หวัด เลี่ยงอาหารที่มีความเย็น ของทอด ของมัน ที่ย่อยยาก จะยิ่งทำให้ตัวร้อนขึ้น .. หากเป็นโรคความดันโลหิตสูง หลีกเลี่ยงอาหารที่ไขมัน และคอเลสเตอรอลสูง เช่น โกโก้ ไข่ปลา ไขกระดูก หมูสามชั้น สุรา แอลกอฮอล์ต่าง ๆ รวมทั้งหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัดและผลไม้ที่มีความหวานอย่างขนุน ทุเรียน ลำไย ด้วย .. หากเป็นโรคตับหรือถุงน้ำดี เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอลด์ อาหารติดมัน เนื้อสัตว์ติดมัน เครื่องใน ของทอด ของหวานจั เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของการย่อยอาหารลดลง เพิ่มภาระให้กับตับและถุงน้ำดี ..หากเป็นโรคหัวใจและโรคไต เลี่ยงอาหารที่มีความเค็ม เพราะจะทำให้การไหลเวียนของเลือดช้าลง หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตเองก็ต้องขับเกลือมากขึ้น…

  • วิธีเคี้ยวอาหาร 7 เลเวล ช่วยระบบย่อยแข็งแรง

    วิธีเคี้ยวอาหาร 7 เลเวล ช่วยระบบย่อยแข็งแรง

    วิธีเคี้ยวอาหาร 7 เลเวล ช่วยระบบย่อยแข็งแรง ยิ่งเคี้ยวอาหารให้ละเอียดมากเท่าไร ก็จะช่วยให้ระบบย่อยนับตั้งแต่กระเพาะอาหารเรื่องไปจนลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ทำงานน้อยลง สารอาหารก็ถูกดูดซึมดีขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรง แถมยังไม่อ้วนอีกด้วยนะคะ มีวิธีเคี้ยวอาหารถึง 7 เลเวลให้คุณดูเลยค่ะว่า การเคี้ยวนั้นยิ่งนานเท่าไรก็ยิ่งดีต่อสุขภาพนั่นเอง – เคี้ยวอาหารคำละ 30 ครั้ง จะช่วยให้เหงือกและกรามแข็งแรง ช่วยคลายเครียด คลายความหงุดหงิดลงได้ – เคี้ยวอาหารคำละ 50 ครั้ง จะช่วยอารมณ์หดหู่และวิตกกังวล แล้วยังช่วยลดความอ้วนได้อีกด้วย – เคี้ยวอาหารคำละ 60 ครั้ง ช่วยเพิ่มการทำงานของสมอง ลดอาการท้องผูก เหมาะมากสำหรับอาหารที่มีกากใยสูง ๆ – เคี้ยวอาหารคำละ 80 ครั้ง ทำให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น สามารถจัดจำและแยกรสชาติของอาหารทั้งจากธรรมาชาติและสารปรุงอาหาร ทำให้ความจำดีขึ้นด้วย – เคี้ยวอาหารคำละ 100 ครั้ง ช่วยให้อารมณ์สงบเยือกเย็น มีสมาธิมากกว่าเดิม ร่างกายจึงดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น ลดความอยากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ได้ – เคี้ยวอาหารคำละ 150 ครั้ง…

  • มะระ หวานเป็นลม  ขมมีประโยชน์นะ

    มะระ หวานเป็นลม ขมมีประโยชน์นะ

    มะระ หวานเป็นลม  ขมมีประโยชน์นะ ผักที่มีรสชาติขมปร่าอย่างมะระเนี่ยเป็นผักที่นำเอามาทำอาหารหลายชนิดได้อร่อยเลิศ แล้วยังมีประโยชน์มากมายไม่ว่าจะเป็นในฐานะของอาหารหรือสรรพคุณทางยาก็มากจนเรานึไม่ถึงเลยนะคะ สำหรับมะระพันธุ์ที่เป็นที่นิยมทานในเมืองไทยก็ได้แก่ มะระขี้นก และมะระจีน ที่เป็นสายพันธ์ที่ชาวจีนนำเข้ามาในประเทศไทยนั่นเองค่ะ ผลมะระจะมีขนาดใหญ่กว่ามะระขี้นก น้ำหนักมากกว่า และมีความขมน้อยกว่าไปด้วย สาเหตุที่มะระมีความขมก็เป็นเพราะว่าในมะระมีสารที่ชื่อว่า Momodicine ซึ่งช่วยกระตุ้นความอยากอาหาร และก็ช่วยให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำงานได้มี่ประสิทธิภาพขึ้น รสขมของมะระยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่น ๆ ได้อีก เหมาะสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นท้องผูก มะระทั้งสองพันธ์นั้นสามารถนำมาประกอบอาหารได้มากมาย ราคาก็ไม่แพง ในส่วนของผู้ที่ต้องการลดความขมของมะระลงนั้นก็มีเคล็ดลับว่าให้นำมะระที่หั่นหรือซอยแล้ว ไปคลุกเกลือทิ้งไว้สักครู่แล้วล้างออก หรือเวลาต้มมะระยัดไส้ให้เปิดฝาหม้อไว้จนเดือดจะช่วยลดความขมของมะระได้ คุณค่าทางโภชนาการของมะระนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียมที่ช่วยการทำงานของกระดูกและฟัน ช่วยให้เลือดแข็งตัว ฟอสฟอรัสที่ช่วยประสานการทำงานกับแคลเซียม บำรุงฟัน กระดูกและสมอง กล้ามเนื้อ มีวิตามินซี ช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส มีเบต้าคาโรทีนสูง ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและปกป้องเซลล์จากการทำลายของสารก่อมะเร็งได้ด้วย ในส่วนของสรรพคุณทางยานั้นก็มีมากมายดังนี้ 1. นำใบสดมาต้มดื่มบรรเทาอาการหวัด รักษาแผลในกระเพาะอาหาร แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ลดอาการบวมหรือฟกช้ำของร่างกาย และใช้ทาแก้อาการผื่นคันได้ 2. นำเอาผลมะระสุกคั้นแต่น้ำ มาทาหน้าเพื่อแก้อาการสิวอักเสบ 3. นำผลดิบมาลวกกินกับน้ำพริก รักษาอาการปวดเข่าในผู้สูงอายุ 4. เมล็ดมะระ มีคุณสมบัติในการปรับธาตุในร่างกายให้เกิดความสมดุล 5. รากของมะระใช้ต้มน้ำดื่มแก้ไข้…

  • 10 ยาแพทย์แผนไทยราคาประหยัด ชุดละ 200 บาท

    10 ยาแพทย์แผนไทยราคาประหยัด ชุดละ 200 บาท

    10 ยาแพทย์แผนไทยราคาประหยัด ชุดละ 200 บาท นายแพทย์ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข  ได้เปิดเผยว่าขณะนี้ได้มีโครงการจัดทำชุดกล่องยาสมุนไพรเพื่อการดูแลสุขภาพในครัวเรือน  โดยยาสมุนไพรไทยนี้เหมือนเป็นยาประจำบ้านสำหรับดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยทั่วไปได้  ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีการพัฒนาการผลิตให้ได้มาตรฐานยิ่งขึ้น  ดังนั้นเพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงช่องทางของยาสมุนไพร  และลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพลง  กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย จึงได้มีการจัดทำยาแผนไทยประจำบ้านที่มีถึง 10 ตัวยาในกล่องเดียว  สามารถรักษาได้ครอบคลุมทุกโรคพื้นฐาน  ประกอบไปด้วย ยาหอม แก้ลมวิงเวียน, ขมิ้นชันแคปซูล รักษาแผลในกระเพาะ ลดอาการจุดเสีย ท้องอืดเฟ้อ, ฟ้าทะลายโจรแคปซูล บรรเทาหวัดและท้องเสีย, ยาเหลืองปิดสมุทร รักษาอาการท้องร่วง, ยาจันทลีลา ลดไข้ตัวร้อน และไข้เปลี่ยนฤดู, ยาธรณีสันฑฆาต  รักษาอาการท้องผูก เป็นยาระบาย, น้ำมันเหลือง ทาแก้ปวดเมื่อย, คาลาไมน์พญายอ  รักษาผื่นแพ้ แมลงสัตว์กัดต่อย, โลชั่นกันยุงตะไคร้หอม และ ยาเปลือกมังคุด รักษาแผลสด “เบื้องต้นจัดทำชุดยาแผนไทยประจำบ้านทั้งหมด 1 หมื่นชุด เพื่อส่งต่อไปยังโรงพยาบาลทุกแห่ง ทั้งโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชน เพื่อใช้เป็นแบบอย่างในการเผยแพร่และให้ความรู้ประชาชนได้ซื้อเก็บไว้เป็นทางเลือกในแต่ละครัวเรือน โดยหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป ราคาประมาณ 200…