Category: มะเร็งตับ

  • เฝ้าระวัง…โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

    เฝ้าระวัง…โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

    เฝ้าระวัง…โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในประเทศไทยนั้นพบผู้ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ในผู้ชายมากเป็นอันดับสาม รอบจากมะเร็งตับและมะเร็งปอด ในส่วนผู้หญิงพบเป็นอันดับที่ห้า โรคนี้นั้นยังไม่พบสาเหตุที่ชัดเจนแต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างได้แก่ – อายุมากกว่า 50 ปีขึ้น – มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มาก่อน – มีประวัติเคยเป็นมะเร็งรังไข่ มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งเต้านมก่อน – ตรวจพบเคยมีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่หรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบมาก่อน – มีภาวะโรคอ้วน สูบบุหรี่ – ฯลฯ ผู้ที่มีอาการดังต่อไปนี้ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่โดยด่วน ได้แก่ อุจจาระมีมูกเลือดหรือเป็นสีดำ หรือสีดำแดง หรือการขับถ่ายเปลี่ยนไป เช่น ท้องผูกสลับท้องเสีย หรือท้องผูกและท้องเสีย ขนาดของอุจจาระเล็กกว่าปกติ รู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด แน่นท้อง อึดอัดท้อง ปวดท้อง อาเจียน อ่อนเพลีย น้ำหนักลดโดยไม่รู้ตัว ฯลฯ การรักษานั้นสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็งและตำแหน่งของโรค ทั้งการผ่าตัด การใช้เคมีบำบัด การรักษาด้วยรังสี การใช้หลายวิธีร่วมกัน เป็นต้น การปฏิบัติตัวเพื่อลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งได้แก่ การกินอาหารที่ปรุงสุกสะอาด กินผักและผลไม้มาก ๆ เพิ่มกากใยในลำไส้ เพื่ออุจจาระได้ง่าย หลีกเลี่ยงอาหารรสหวานจัด มีไขมันสูง รักษาน้ำหนักตัวให้ได้มากตรฐาน ออกกำลังกายสม่ำเสมอและงดการสูบบุหรี่…

  • โรคมะเร็งและแนวทางการรักษา

    โรคมะเร็งและแนวทางการรักษา

    โรคมะเร็งและแนวทางการรักษา โรคมะเร็งในปัจจุบันนี้ พบได้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งในเพศชายและเพศหญิง ยิ่งโดยเฉพาะเพสหญิงด้วยแล้ว ทั้งวิถีชีวิตและการกินอาหรก็เลียนแบบไปทางตะวันตกมากขึ้น โรคมะเร็งที่พบมากในผู้หญิงจึงเปลี่ยนแปลงไปตามแนวทางผู้หญิงตะวันตกมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งอาการผิดปกติสำหรับผู้ที่เริ่มต้นเป็นมะเร็งนั้นจะได้แก่อาการอ่อนเพลีย ร่วมกับอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลงไปประมาณร้อยละ 10 ของร่างกายภายในหกเดือน (แต่ถ้าขึ้น ๆ ลง ๆ ถือว่าปกติ) แต่อาการเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นโรคมะเร็งอย่างเดียว อาจเกี่ยวข้องกับโรคอื่นได้ด้วย การรักษามะเร็งนั้นมีการรักษาร่วมกันหลายวิธี ทั้งการผ่าตัด การรักษาด้วยเคมี การฉายแสง ในส่วนของการผ่าตัดนั้นใช้ได้กับมะเร็งแทบทุกชนิดแต่ต้องดูความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นระยะของโรค หรืออวัยวะนั้นผ่าตัดได้หรือไม่ ส่วนมะเร็งที่เลือกผ่าตัดเป็นอันดับแรก ๆ ก็คือ มะเร็งตับ มะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งช่องปากระยะต้น มะเร็งเต้านม มดลูก ต่อมลูกหมากระยะต้น เป็นต้น สำหรับวิธีเคมีบำบัด จะใช้เพื่อลดการกระจายตัวของโรคไปที่อื่นหลังการผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ก็มีมะเร็งบางชนิดที่ทำได้แค่การให้เคมีบำบัดอย่างเดียว เช่น มะเร็งเม็ดเลือด และบางครั้งก็มีการให้ยาเคมีบำบัด ร่วมกับการฉายรังสี เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น มะเร็งศีรษะและลำคอ ในส่วนของการให้ยาเคมีบำบัดส่วนใหญ่แล้วจะเป็นยาฉีดที่ให้ทางหลอดเลือดดำ หรืออาจให้ยาเคมีบำบัดทางอุปกรณ์พิเศษที่ต่อเข้าสู่เส้นเลือดดำใหญ่ได้โดยตรง เนื่องจากการให้ยาเคมีบำบัดต้องให้หลายครั้ง ซึ่งต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ เพราะอาจมีอาการหลังจากให้ยาได้ ไม่ว่าจะเป็น คลื่นไส้…

  • ใส่ใจสุขภาพ ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

    ใส่ใจสุขภาพ ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

    ใส่ใจสุขภาพ ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา มีรายงานการพบมะเร็งแล้วในคนกว่าร้อยชนิด และคนไทยเองก็ตายด้วยโรคมะเร็งเป็นอันหนึ่งหนึ่งมาโดยตลอด และยังมีแนวโน้มการป่วยและตายมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งทวารหนัก โดยผู้ที่ป่วยกว่าครึ่งจะเป็นผู้สูงอายุ เนื่องจากมะเร็งเป็นโรคที่ค่อย ๆ คืบคลานอย่างช้า ๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นจึวควรดูแลตัวเองให้แข็งแรงจะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งได้ด้วยการดูแลเอาใจใส่สุขภาพดังต่อไปนี้ 1. รักษาตัวไม่ให้อ้วนเกินมาตรฐาน ทานอาหารแต่พอดีและออกกำลังกายเป็นประจำ รักษาสภาพจิตใจให้สดใสสดชื่นทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคมากขึ้น 2. ทานอาหารให้ครบถ้วนให้ได้วิตามินและแร่ธาตุที่หลากหลาย แต่ลดอาหารที่มีไขมันสูง อาหารทอดหรือย่าง รวมไปถึงอาหารหมักดอง อาหารแปรรูปใส่ดินประสิว หรือเสี่ยงมีเชื้อรา และอาหารที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ ด้วย ควรทานอาหารสด ๆ ผักสด ผลไม้สด นอกจากจะมีสารต้านอนุมูลอิสระแล้วยังมีกากใยอาหารช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย 3. งดสูบบุหรี่ สามารถลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งปอดได้ร้อยละ 60 4. งดสุรา หากสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงในการมะเร็งถึงเก้าเท่าและหากสูบบุหรี่ด้วยอีกจะเพิ่มความเสี่ยงสูงถึง 50 เท่า! 5. มีเพศสัมพันธ์เมื่อพร้อม เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อยและมีคู่หลายคนมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น 6.…

  • รักษาสุขภาพป้องกันมะเร็งไว้ก่อน

    รักษาสุขภาพป้องกันมะเร็งไว้ก่อน

    รักษาสุขภาพป้องกันมะเร็งไว้ก่อน สาเหตุการตายของคนไทยนั้นเกิดจากโรคมะเร็งเป็นอันดับหนึ่งมานานหลายปีแล้ว ปีหนึ่ง ๆ กว่าสามแสนรายเลยทีเดียว มะเร็งนั้นก็รู้กันอยู่แล้วว่ารักษาได้ยาก บางรายก็รักษาไม่หาย อีกทั้งยังมีหลายปัจจัยในการก่อโรคที่ระบุให้แน่ชัดลงไปไม่ได้อีกด้วย แต่การดูแลสุขภาพตัวเองไว้อย่างเหมาะสม เชื่อได้ว่าจะป้องกันการเกิดมะเร็งได้ ซึ่งการดูแลตัวเองดังกล่าวนั้นได้แก่ 1. เน้นทานอาหารที่สะอาด ปลอดภัย มีไขมันน้อย และมีเส้นใยอาหารสูง ๆ อย่างผักผลไม้ทั้งหลาย ที่ยังให้วิตามินแร่ธาตุกับร่างกาย ช่วยต้านทานอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งได้ ไม่ควรทานอาหารปิ้งย่างไหม้เครียด ของหมักดองหรือแปรรูป ตลอดจนอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อรา และอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อย่างปลาร้า ปลาจ่อมด้วยนะคะ 2. ทำให้การออกกำลังกายเป็นกิจวัตรของคุณ และควบคุมน้ำหนักตัวให้พอดีกับส่วนสูง เพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรงกระฉับกระเฉง และเสริมภูมิต้านทานให้มีประสิทธิภาพ 3. เลิกสูบบุหรี่ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอด และงดดื่มสุราด้วยเพราะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งในช่องปาก มะเร็งกล่องเสียง คอหอย มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งเต้านมด้วย 4. หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดจัดจ้าในช่วงเวลาตั้งแต่ 10.00-16.00 น. แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่าลืมทาครีมกันแดดก่อนทุกครั้งด้วยค่ะ 5. ไม่สำส่อนในกามารมณ์ และมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีอันเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกด้วย 6.…

  • พิษของสุราที่มีต่อตับ!!!

    พิษของสุราที่มีต่อตับ!!!

    พิษของสุราที่มีต่อตับ!!! สุรานั้น ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกเป็นเวลายาวนานกว่าสี่พันปีแล้ว มีหลากหลายชนิดและรสชาติแตกต่างกันไปตามแต่เชื้อต้นกำเนิดและผลไม้ที่นำมาหมัก ไม่ว่าจะเป็น เหล้า วิสกี้ ไวน์ เบียร์ พันช์ ฯลฯ และสุราเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เป็นพิษต่อสุขภาพของมนุษย์ด้วย แม้แต่ในศาสนาพุทธเองก็ยังให้พึงละเว้นสุราไว้เพื่อมิให้ขาดสติ เพราะผลของการดื่มเหล้านั้นนอกจากอุบัติเหตุที่ส่งผลเสียแก่ผู้อื่นโดยรอบตัวแล้ว ก็ยังส่งผลให้ตัวเองได้รับอันตรายจากสุราไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตับนั่นเอง สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ตับเป็นอวัยวะหลักที่ย่อยแอลกอฮอล์ การดื่มเหล้าเป็นประจำจะเกิดปัญหากับตับในสี่แบบก็คือ ไขมันพอกตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง จนถึงมะเร็งตับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ดื่มจะเป็นโรคตับเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้ – ขึ้นอยู่กับปริมาณและระยะเวลาที่ดื่ม ซึ่งมีการศึกษาพบว่าเมื่อดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 30 กรัมต่อวันในเพศชาย และ 20 กรัมในเพศหญิงแล้ว จะถือว่าอยู่ในข่ายที่ได้รับความเสี่ยงในการเป็นโรคตับ – ขึ้นอยู่กับอายุและเพศ หากดื่มในปริมาณเท่ากันแล้ว ผู้หญิงจะเสี่ยงเป็นโรคตับมากกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า – ขึ้นอยู่กับเชื้อไวรัสตับอักเสบที่มีอยู่เดิม หากมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีอยู่แล้วจะทำให้การดำเนินโรคแย่กว่าผู้ที่เป็นโรคตับจากแอลกอฮอล์อย่างเดียว – พันธุกรรมและยาบางชนิดก็เป็นปัจจัยเสี่ยงกระตุ้นโรคด้วยเช่นกัน อาการของโรคตับนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของโรค ผู้ที่ไขมันพอกตับ หรือตับอักเสบเล็กน้อยจะไม่มีอาการผิดปกติหรืออาการจะไม่เฉพาะเจาะจงมากนัก เช่น ปวดชายโครงขวา มีไข้ อ่อนเพลีย ฯลฯ ส่วนผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง จะมีอาการคือ…

  • ประมวลผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง

    ประมวลผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง

    ประมวลผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง จากสถิตินับถึงปีปัจจุบันพบว่าคนไทยนั้นเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และมีอัตราการตายจากโรคนี้เพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้โรคมะเร็งกลายเป็นสาเหตุการตายอันดับที่หนึ่ง แซงหน้าอุบัติเหตุ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหลอดเลือดสมอง รวมทั้งโรคปอดไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตคนไทยมากเป็นอันดับหนึ่งก็คือ มะเร็งตับ รองลงมาเป็นมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และก็มะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งได้แก่ – ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก นั่นคือการได้รับสารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนจากอาหาร, การได้รับรังสีเอกซ์, รังสียูวีจากแสงแดด, การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบทุกชนิด, การติดเชื้อไวรัสแพบพิลโลมา, พยาธิใบไม้ตับ รวมถึงการดื่มเหล้าสูบบุหรี่ด้วย ฯลฯ – ปัจจัยจากความผิดปกติภายใน เช่น พันธุกรรม, ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ภาวะทุพโภชนาการ ฯลฯ ซึ่งเราสามารถสรุปกลุ่มผู้ที่เสี่ยงต่อการมะเร็งได้ดังนี้ 1. กลุ่มที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ 2. กลุ่มที่สูบบุหรี่ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทางเดินหายใจ มะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง แล้วหากดื่มเหล้าด้วยก็อาจเป็นมะเร็งช่องปากในลำคอได้อีก 3. กลุ่มที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือทานอาหารที่ปนเปื้อนอะฟลาทอกซิล ที่เป็นเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหาร ทั้งพริกป่น ถั่วลิสงป่น ฯลฯ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ แล้วถ้าได้รับทั้งสองชนิดก็มีโอกาสในการเป็นมะเร็งตับเพิ่มมากขึ้น 4. กลุ่มที่ติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ และทานอาหารที่ใส่ดินประสิว…

  • เคล็ดลับ 5 ประการห่างไกลมะเร็งตับ

    เคล็ดลับ 5 ประการห่างไกลมะเร็งตับ

    เคล็ดลับ 5 ประการห่างไกลมะเร็งตับ “ตับ” ถือได้ว่าเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดภายในร่างกาย จะอยู่ภายในช่องท้องบริเวณชายโครงด้านขวา หน้าที่ขอตับก็คือช่วยขจัดของเสียสะสมในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ยา สารเคมี หรือสารพิษที่ร่างกายไม่ต้องการ ทำหน้าที่เหมือนคลังสะสมอาหารเพื่อเป็นพลังงานไปหล่อเลี้ยงและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วย นับเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมากของร่างกาย แต่หากเราดูแลร่างกายเราไม่ดีก็อาจทำให้เกิดโรคตับขึ้นได้ โดยโรคตับนี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบทุกชนิด การดื่มเหล้า การทานยาบางชนิด ทั้งยาฆ่าเชื้อ ยาคุมกำเนิด และที่พบบ่อยก็คือไขมันพอกตับในผู้ที่เป็นโรคอ้วน ซึ่งสาเหตุเหล่านี้อาจทำให้ตับอักเสบ และกลายเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ด้วย เคล็ดลับ 5 ประการที่จะช่วยให้เราห่างไกลมะเร็งตับมีดังต่อไปนี้ 1. ผู้ที่มีอาการป่วยเกี่ยวกับโรคตับควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และไปพบแพทย์ตามนัดอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติตามแพทย์แนะนำ ส่วนคนทั่วไปที่ยังไม่เป็นโรคตับก็ควรป้องกันตนเองจากอาการอักเสบ 2. ห่างไกลอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษทั้งหลาย รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด เพราะอาจทำลายเซลล์ตับได้มากกว่าอวัยวะอื่น ๆ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงได้อีกก็คือของหมักดอง ที่อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค อาหารปิ้ง ๆ ย่าง ๆ หรือทอดน้ำมัน เพราะมีสารก่อมะเร็งเป็นจำนวนมาก อาหารที่มีไขมันสูงก็เช่นเดียวกัน และรวมไปถึงยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดข้อ ยาคุม ยาฆ่าเชื้อที่อาจส่งผลเสียต่อตับได้ 3. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม…

  • ระวัง! ดื่มน้ำอัดลมมากตับอ่อนเสื่อม เสี่ยงเป็นมะเร็ง

    ระวัง! ดื่มน้ำอัดลมมากตับอ่อนเสื่อม เสี่ยงเป็นมะเร็ง

    ระวัง! ดื่มน้ำอัดลมมากตับอ่อนเสื่อม เสี่ยงเป็นมะเร็ง เคยมีการวิจัยเกิดขึ้นในประเทศสวีเดน ซึ่งได้ติดตามการกินของชายหญิงที่มีสุขภาพดีจำนวนกว่าแปดหมื่นคน เป็นเวลาแปดปี  โดยพบว่ามีคน 131 คนในจำนวนนี้เป็นมะเร็งตับอ่อน  เมื่อศึกษาเข้าไปก็ได้พบว่าในจำนวนนี้ก็คือคนที่ดื่มน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีความหวานมาก  ซึ่งกลุ่มนี้ดื่มเครื่องดื่มดังกล่าวถึงวันละมากกว่าสองกระป๋องขึ้นไป  จึงมีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มที่ไม่ดื่มเกือบร้อยละร้อย  ส่วนคนอื่น ๆ ที่ทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่เติมน้ำตาลลงไปอย่างน้อยวันละ 5 ครั้งก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 เช่นเดียวกัน ซึ่งโรคมะเร็งที่ทำให้กลุ่มตัวอย่างดังกล่าวเสียชีวิตนั้นเป็นโรคมะเร็งที่ร้ายแรงและตรวจพบได้ยากที่สุดชนิดหนึ่งเลยค่ะ สาเหตุก็เกิดจากการที่ตับผ่อนผลิตอินซูลินมากขึ้น  เพราะเป็นผลจากความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญกลูโคส    โดยการกินน้ำตาลมาก ๆ ก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินมากขึ้น ก็เท่ากับเป็นการทรมานให้ตับอ่อนทำงานหนักขึ้น ผลก็คือตับอ่อนกลายเป็นมะเร็ง  รวมไปถึงการสูบบุหรี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งของมะเร็งตับอ่อนด้วย ดังนั้นหากต้องการหลีกหนีให้ไกลจากโรคมะเร็งตับอ่อน ก็จำเป็นต้องควบคุมการบริโภคน้ำตาล รวมทั้งเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลทั้งหลาย ไม่ว่าจะในเด็กหรือในผู้หญิงก็ตาม  ยิ่งโดยเฉพาะผู้หญิงแล้ว การดื่มน้ำอัดลมจะส่งผลให้กระดูกพรุนจากกรดฟอสฟอริกที่พบในน้ำอัดลมได้อีกด้วย  ซึ่งการวิจัยในสวีเดนที่กล่าวไว้ข้างต้นนี้ไม่ได้มีการแยกเฉพาะว่าเป็นน้ำอัดลมอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลทั้งหมด รวมทั้งน้ำผลไม้ที่ผสมน้ำอัดลมด้วย

  • แพทย์ชี้ ใบทุเรียนเทศ แก้มะเร็งตับได้นั้น เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง

    แพทย์ชี้ ใบทุเรียนเทศ แก้มะเร็งตับได้นั้น เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง

    แพทย์ชี้ ใบทุเรียนเทศ แก้มะเร็งตับได้นั้น เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ตอนนี้เป็นกระแสในสังคมออนไลน์อย่างหนักว่า ใบทุเรียนเทศ สามารถช่วยรักษาโรคมะเร็งตับได้ดีกว่าคีโมนั้น ยังเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง หลังจากมีการเผยแพร่สรรพคุณต่างๆ ว่าใบทุเรียนเทศสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้นั้น ทางสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้กล่าวว่า รายงานเรื่องนี้มีการวิจัยเกิดขึ้นในต่างประเทศบ้างแล้ว แต่ยังไม่เป็นที่สรุปได้อย่างแน่ชัด จากการสำรวจ วิจัย พบว่า ใบทุเรียนเทศมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ สามารถเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งเต้านม ปอด ตับ ตับอ่อน และผิวหนังได้ก็จริง แต่ใบทุเรียนเทศก็ยังมีพิษที่สามารถเกิดได้กับเซลล์ประสาทของมนุษย์ด้วยอีกเช่นกัน และผลการวิจัยจากต่างประเทศ ยังได้ทดลองกับหนูทดลอง หนูทดลองที่ได้รับสารสกัดจากใบทุเรียนเทศนี้ ในปริมาณที่มาก ยังส่งผลให้มีผลต่อการทำงานของไตอีกด้วย ทั้งนี้จึงไม่อยากให้เชื่อตามกระแสสังคมออนไลน์ อยากให้รอผลสำรวจการใช้สารสกัดจากใบทุเรียนเทศว่ามีผลดีผลเสียอย่างไรให้แน่ชัดก่อน ส่วนในเรื่องนี้ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ก็ได้มีแผนวิจัยเรื่องนี้ในอนาคตแล้ว