Category: ภูมิแพ้

  • ยอมรับความเสื่อมของร่างกายตามกาลเวลา

    ยอมรับความเสื่อมของร่างกายตามกาลเวลา

    ยอมรับความเสื่อมของร่างกายตามกาลเวลา เมื่ออายุยิ่งมากขึ้นเท่าไร การดูแลสุขภาพก็ยิ่งเป็นเรื่องจำเป็นมากขึ้นเท่านั้น หากจะเปรียบไปแล้วร่างกายของคนก็เหมือนกับรถที่เก่าลงทุกปี จำเป็นต้องเข้าอู่เพื่อตรวจเช็คสภาพ บำรุงรักษาอยู่เนือง ๆ ร่างกายเราเมื่ออายุมากขึ้นก็ย่อมมีความเสื่อมโทรมลงเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะส่วนใดก็หลีกเลี่ยงความจริงข้อนี้ไปไม่ได้ ซึ่งอาการหรือโรคที่บ่งบอกว่าร่างกายเรากำลังเสื่อมโทรมเอาที่เห็นกันได้ชัด ๆ นั้นก็คือ ตาฝ้าฟาง หูตึง ปวดกล้ามเนื้อ และปวดกระดูก อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ รวมไปถึงโรคเรื้อรังไม่ติดต่อจำพวก เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือด โรคอ้วน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดในผู้สูงอายุเท่านั้น แต่พบได้แม้ในคนที่อายุยังน้อยอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เกิดจากวิธีการใช้ชีวิตนั่นเอง แต่คนเราก็ไม่เหมือนรถไปซะหมดทุกอย่าง เพราะคนเราก็ยังมีจิตใจ และจิตวิญญาณ ซึ่งสุขภาพของคนจะดีได้นั้นผู้ที่เป็นเจ้าของร่างกายก็จำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่ทุกสัดส่วน ร่างกายจึงจะอยู่กับเรานาน ๆ ไม่เสื่อมโทรมไว หรือเสียบ่อย ๆ แล้วก็ยังใช้การได้ดีจนสิ้นอายุขัย พึงตระหนักไว้ว่าสุขภาพของผู้ที่เข้าวัยชรานั้นเปรียบเหมือนรถเก่าก็ตรงที่ มักจะเสียง่าย ใช้งานหนักมากไม่ไหว แล้วก็ต้องเข้าอู่บ่อย สุดท้ายก็ต้องพัง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดูแลอย่างเหมาะสม เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นก็ซ่อมแซมตามจำเป็น แต่หากมีปัญหาซับซ้อนก็ควรแยกแยะให้ออกว่าจะปล่อยไปหรือนำไปซ่อม ควรมีสติ มีความรู้ และอย่างกังวลมากเกินไป นอกจากนี้แล้วยังควรหากช่างซ่อม หรือหมอ พร้อมอู่ หรือโรงพยาบาลที่ไว้ใจได้มาดูแลด้วย ผู้สูงวัยทุกท่านจำเป็นต้องแยกแยะให้ได้ว่า อาการชนิดไหนเป็นโรคที่ไม่ต้องรักษา…

  • 4 โรคต้องระวังสำหรับคนชอบขึ้นภู

    4 โรคต้องระวังสำหรับคนชอบขึ้นภู

    4 โรคต้องระวังสำหรับคนชอบขึ้นภู สำหรับคนที่ชอบเดินทางไปขึ้นภู ดูหมอกสวย ๆ ในหน้าหนาวทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศนั้น ทางคลินิกเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทาง โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เตือนว่านักท่องเที่ยวที่มีความนิยมการท่องเที่ยวแบบดังกล่าวมักพบอาการป่วยได้ง่ายถึง 4 โรคด้วยกัน ซึ่งควรระวังป้องกันไว้รวมทั้งควรฟิตร่างกายให้มีความแข็งแรงก่อนออกไปเผชิญอาการหนาวเย็นดังกล่าวด้วย โรคทั้ง 4 ได้แก่.. – ปอดบวม เกิดจากการติดเชื้ออักเสบของปอด หลอดลม ถุงลมซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส ทำให้มีของเหลวเกิดขึ้นในถุงลง มักเป็นโรคที่แทรกซ้อนเข้ามาหลังจากการป่วยเป็นไข้หวัดได้ 2-3 วันซึ่งมีอาการก็คือไอ เจ็บหน้าอก มีไข้สูง และหอบ – โรคหัด ระบาดมากในช่วงฤดูหนาวถึงฤดูร้อน มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสที่ติดต่อกันทางน้ำลายของผู้ป่วย ที่สัมผัสการไอ จาม หรือการหายใจรดกัน ตลอดจนใช้สิ่งของร่วมกัน มีอาการระยะแรกคล้ายไข้หวัด มีไข้สูง กินยาแก้ไขก็ไม่ลด และถ่ายเหลวบ่อย ๆ เหมือนท้องเสีย สำหรับเด็กอาจชักได้เพราะมีไข้สูง – ภูมิแพ้อากาศ มักเป็นได้ในช่วงฤดูหนาว เพราะร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ทางการหายใจ มีอาการชัด ๆ ก็คือคันตา คันจมูก น้ำมูกใส จามบ่อย และแน่นจมูกในตอนเช้า…

  • การรักษาโรคภูมิแพ้ และทางเดินหายใจ

    การรักษาโรคภูมิแพ้ และทางเดินหายใจ

    การรักษาโรคภูมิแพ้ และทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้นั้น เป็นโรคที่สมัยนี้คนรุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ท่ามกลางมลพิษเริ่มเป็นกันมากขึ้น โรคภูมิแพ้เป็นภาวะที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายมีปฏิกิริยากับ “สารก่อภูมิแพ้” เช่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ หรือขนสัตว์ชนิดต่าง ๆ ฯลฯ จนร่างกายปล่อยสารที่เรียกว่าฮิสตามีนอกมา จึงทำให้เยื่อบุของร่างกายนั้นเกิดอาการระคายเคืองขึ้น ซึ่งอาการหลัก ๆ ของผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจก็คือ มีน้ำมูกใส จาม คัดจมูก คันจมูก บางท่านก็มีอาการของไซนัสอักเสบ และมีอาการที่ดวงตาด้วย เช่น คันตา ตาแดง ขอบตาคล้ำ หรือบางคนก็มีอาการที่หูก็คือหูอื้อ หรือหูชั้นกลางอักเสบได้ด้วย ซึ่งการจะหลีกเลี่ยงอาการภูมิแพ้ได้นั้น ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าเราแพ้อะไรบ้าง ซึ่งวิธีการที่จะรู้ได้ก็คือการทดสอบภูมิแพ้ โดยแพทย์จะทำการหยดน้ำยาสลัดจากสารก่อภูมิแพ้บนผิวหนังของเราแล้วใช้เข็มสะกิดที่ผิวหนัง ซึ่งการทดสอบนี้จะไม่เจ็บและจะทราบผลภายในระยะเวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น และเมื่อเราได้ทราบแล้วว่าเราแพ้สารอะไร ก็จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงสารก่ออาการแพ้นั้นได้ดียิ่งขึ้น ในส่วนของการรักษาและดูแลตนเองร่วมกันทั้งแพทย์และผู้ป่วยจะเป็นดังต่อไปนี้ 1. ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่ตนเองแพ้ เช่น หากแพ้ขนสัตว์ก็ไม่ควรเลี้ยงสัตว์ไว้ในบ้าน หรือหากแพ้ไรฝุ่น ก็ไม่ควรปูพรมในห้องนอน หรือควรทำความสะอาดเครื่องนอนด้วยน้ำร้อนทุกสองสัปดาห์ หรืออาจเปลี่ยนไปใช้เครื่องนอนที่สามารถกันไรฝุ่นได้ 2. หากสัมผัสกับสารก่ออาการแพ้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้ทานยาแก้แพ้พวกยาแอนตี้ฮิสตามีนบางชนิด แต่ก็อาจทำให้มีอาการง่วงนอน คอแห้ง ปากแห้ง หรือปัสสาวะลำบากได้ด้วย 3.…

  • ประโยชน์ของวิตามินซีที่มีต่อร่างกายของเรา

    ประโยชน์ของวิตามินซีที่มีต่อร่างกายของเรา

    ประโยชน์ของวิตามินซีที่มีต่อร่างกายของเรา คุณสมบัติเด่น ๆ ของวิตามินซีเลยก็คือ การที่มีคุณสมบัติเป็นวิตามินที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ นั่นเอง ซึ่งประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับจากการบริโภควิตามินซีอย่างพอเพียงและเป็นประจำก็คือ 1. ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานสูงขึ้น 2. ช่วยป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็งในร่างกาย 3. ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัน 4. ป้องกันโรคเหงือก โรคในช่องปากต่าง ๆ เช่น โรคลักปิดลักเปิด หรือโรคเหงือกอักเสบได้ ฯลฯ และในทางกลับกันหากร่างกายของเราได้รับวิตามินซีไม่เพียงต่อความต้องการ ก็อาจก่อผลเสียได้ดังต่อไปนี้ 1. มีภูมิต้านทานโรคต่ำ เป็นหวัดและติดเชื้อได้ง่าย กับทั้งความสามารถในการกำจัดพิษยังลดลงอีกด้วย 2. ผิวหนังเหี่ยวย่น ไม่สดใส ขาดความยืดหยุ่น ปรากฏจุดด่างดำ และเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน 3. ประสาทสัมผัสด้อยลง อ่อนเพลีย ไม่สดใส ไม่มีเรี่ยวแรง 4. มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งในส่วนอื่น ๆ 5. การทำงานของต่อมหมวกไตลดลง และเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่าย 6. ทำให้เป็นโรคโลหิตจาง หรือโรคอื่น ๆ ได้ง่าย แผลหายช้า อ่านแล้วอย่าเพิ่งเครียดไป…

  • อาการอักเสบของหูชั้นกลางในเด็ก (Ear Infection)

    อาการอักเสบของหูชั้นกลางในเด็ก (Ear Infection)

    อาการอักเสบของหูชั้นกลางในเด็ก (Ear Infection) อาการหูอักเสบในเด็กนั้นมักจะเกิดกับเด็กเล็กหรือทารกแบะเบาะเป็นส่วนใหญ่  และสาเหตุของอาการนี้ก็ไม่ใช่น้ำเข้าหูด้วย แต่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ลุกลามจากคอและจมูกไปสู่หู  จึงทำให้เกิดเป็นไข้หวัด ต่อมทอนซิลอักเสบและบางรายอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัด ไข้หวัดใหญ่ ไอกรน หรืออาการอักเสบเพราะภูมิแพ้ได้ด้วย ซึ่งการจะดูว่าลูกของเรามีอาการหูชั้นกลางอักเสบหรือไม่ก็คือ ให้ดูว่าลูกร้องไห้งอแง มีอาการปวดหู หรือเอามือปัดหูบ่อย ๆ หรือเปล่า  เด็กบางคนอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย  หากปล่อยไว้อาจจะทำให้เป็นหนองอักเสบ มีกลิ่นเหม็น ทำให้กระดูกสามชิ้นภายในถูกทำลาย หนองจะทะลุแก้วหูออกมาจนกลายเป็นโรคหูน้ำหนวกได้    ส่วนวิธีการป้องกันคือเมื่อเด็ก ๆ เป็นหวัดควรให้ความอบอุ่น หากมีไข้ควรให้ทานยาแก้ปวดลดไข้ และยาแก้หวัดคัดจมูก ซึ่งจะช่วยให้ท่อระหว่างหูและคอระบายความดันได้ดีขึ้น  แต่หากไม่มั่นใจพาลูกไปพบแพทย์จะดีที่สุดค่ะ

  • ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคไซนัสอักเสบ

    ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคไซนัสอักเสบ

    ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโรคไซนัสอักเสบ โรคไซนัสอักเสบ ที่หลายคนรู้จักชื่อกันดีนี้  มักจะมีหลายคนที่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรคนี้ ทั้งที่ป่วยเป็นไข้หวัดคัดจมูกธรรมดาเท่านั้น กับทั้งยังคิดว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย เป็นแล้วต้องกลับมาเป็นอีก  ซึ่งนี่คือความเข้าใจที่ผิดทั้งสิ้น ความจริงแล้วโรคไซนัสอักเสบนั้นมักเกิดจากเชื้อไวรัสหวัดทั่วไปแล้วติดเชื้อในโพรงจมูกจนลุกลามเข้าไปในโพรงไซนัส  ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะหายได้เอง แต่ในบางครั้งอาจมีเชื้อแบคทีเรียติดมาบ้างทำให้โรคไม่หายขาดและรุนแรงขึ้น  การรักษาเพื่อที่จะไม่กลับมาเป็นอีกก็คือต้องพบแพทย์เพื่อรักษาให้หายขาดนั่นเอง อาการของไซนัสอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการคัดแน่นจมูก มีน้ำมูกหรือเสมหะลงคอสีเหลืองหรือเขียว   มีอาการปวดบริเวณ  หัวตา หว่างคิ้ว ใบหน้า และตามโหนกแก้ม การได้กลิ่นลดลงและมีอาการเกิน 10 วัน หรือมีอาการแย่ลงใน  5 วันแรกก็ควรมาพบแพทย์ได้แล้ว  อาการของโรคแบ่งออกเป็นกลุ่มเฉียบพลันและเรื้อรัง  ซึ่งกลุ่มเฉียบพลันจะมีอาการน้อยกว่า 12 สัปดาห์ และกลุ่มเรื้อรังจะมีอาการมาเกิน 12 สัปดาห์ขึ้นไป ทำให้การรักษามีความแตกต่างกัน  โดยกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากจะเป็นกลุ่มที่ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่รับยากดภูมิระหว่างการทำเคมีบำบัด หรือภาวะขาดภูมิคุ้มกันตั้งแต่เกิดเป็นต้น โรคไซนัสอักเสบไม่มีสาเหตุจากพันธุกรรม อีกทั้งยังเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้เข้าใจผิดคิดว่าตนป่วยเป็นโรคไซนัสอักเสบได้ ดังนั้นจึงควรพบแพทย์เพื่อรักการวินิจฉัย  โดยในปัจจุบันนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดได้ว่าผู้ป่วยจมูกอักเสบภูมิแพ้เกิดจากไซนัสอักเสบได้บ่อยกว่าคนที่เป็นภูมิแพ้หรือไม่  แต่การสูบบุหรี่ทำให้การงานของเยื่อบุโพรงไซนัสทำงานบกพร่องได้ ในส่วนของการรักษา  โรคไซนัสอักเสบเฉียบพลันหากมีสาเหตุจากเชื้อไวรัสมักจะหายได้เอง แต่ถ้าติดเชื้อแบคทีเรียกควรมาพบแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก  เพื่อทำการส่องกล้องเข้าไปตรวจช่องโพรงจมูกและไซนัส  ซึ่งหากมิใช่แพทย์เฉพาะทางหรือไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญโรคไซนัสมักให้คนไข้ทำการเอกซเรย์ วิธีนี้ไม่แม่นยำนัก ทั้งยังทำให้เสียค่าใช้จ่ายโดยสิ้นเปลือง…

  • วิธีดีๆ ที่จะช่วยป้องกันลูกน้อยจากอาการภูมิแพ้!

    วิธีดีๆ ที่จะช่วยป้องกันลูกน้อยจากอาการภูมิแพ้!

    วิธีดีๆ ที่จะช่วยป้องกันลูกน้อยจากอาการภูมิแพ้! ปัจจุบันนี้นั้นพบผู้ป่วยที่มีอาการภูมิแพ้ได้มากขึ้น  เป็นเพราะว่าสภาวะของสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยสารที่เป็นมลพิษ ไม่ว่าจะอยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครหรือไม่ก็ตาม  อีกทั้งปัจจัยเสี่ยงทางด้านพันธุกรรมก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ดังนั้นหากมีญาติพี่น้องหรือพ่อแม่ที่เป็นโรคภูมิแพ้แล้ว เด็กที่เกิดมาใหม่ก็จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้นด้วย  หากได้สัมผัสกับสารที่ก่อความระคายเคืองบางประเภท เช่น ฝุ่นควัน ฝุ่นละออง ไรฝุ่น อาจทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้  และจากสถิติในปัจจุบันนั้นพบว่าประชากรถึง 1 ใน 3 เป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูก  และประชากรถึง 1 ใน 5 ของไทยเป็นโรคหอบหืดและภูมิแพ้ทางผิวหนังด้วย  ซึ่งมักพบได้ในช่วงอายุระหว่าง 6-18 ปี  หากพบว่าในครอบครัวของเรามีผู้ป่วยที่มีอาการภูมิแพ้  เราจึงควรมีวิธีป้องกันการเกิดภูมิแพ้และหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเหล่านี้  ด้วยการหมั่นทำความสะอาดบ้านบ่อย ๆ  เพื่อลดปริมาณไรฝุ่นและฝุ่นละอองดังกล่าว ทั้งภายในบ้านและนอกบ้าน  ควรจัดบ้านให้โล่งและปลอดโปร่งที่สุด  ใช้ของตกแต่งและเครื่องใช้ในครัวเรือนให้น้อยที่สุด อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งที่ทำจากผ้า เพราะเป็นแหล่งเก็บกักฝุ่น และหากจำเป็นต้องมีก็ให้ทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์นั้นบ่อย ๆ หมั่นนำพรม ที่นอน หมอน ผ้าปูที่นอนไปซักทำความสะอาดบ่อย ๆ และเลือกใช้ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ชนิดป้องกันไรฝุ่นด้วย จึงจะเป็นการช่วยป้องกันเด็ก ๆ และลูกน้อยจากการกำเริบของโรคภูมิแพ้ได้ เท่านั้นยังไม่พอ การรักษาสุขภาพของลูก ๆ ให้แข็งแรงเพื่อมีภูมิต้านทานที่สูงขึ้นก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน  ด้วยการให้ลูกน้อยทานอาหารที่มีประโยชน์อยู่เสมอ  รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง  พาลูกไปออกกำลังกายเป็นประจำ …

  • โรคหวัดภูมิแพ้ อาการ การรักษา วิธีป้องกัน

    โรคหวัดภูมิแพ้ อาการ การรักษา วิธีป้องกัน

    โรคหวัดภูมิแพ้ อาการ การรักษา วิธีป้องกัน โรคหวัดภูมิแพ้ หรือโรคแพ้อากาศ เป็นโรคที่พบบ่อยในคนทุกเพศทุกวัย และมักจะเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง ส่วนมากไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เพียงแต่สร้างความรำคาญให้กับคนที่เป็นโรค การใช้ยาแก้แพ้สามารถบรรเทาอาการได้เป็นครั้งคราว ผู้ที่เป็นโรคนี้จำเป็นต้องดูแลตนเองด้วยการหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ และขยันออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ก็อาจช่วยให้โรคทุเลาไปได้ สาเหตุ  เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาไวต่อสิ่งที่แพ้ แล้วปล่อยสาร (เช่น ฮิสตามีน) ออกมา ทำให้เกิดอาการคัดแน่นจมูก จาม น้ำมูกไหล โรคนี้สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ มักจะพบว่ามีพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือญาติพี่น้องเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดใดชนิดหนึ่ง (เช่น ลมพิษ ผื่นคัน หวัดภูมิแพ้ เยื่อตาขาวอักเสบจากการแพ้ โรคหืด เป็นต้น) อยู่ด้วย สิ่งที่แพ้ มักได้แก่ ฝุ่น ละอองเกสร ขนสัตว์ ความเย็น (อากาศเย็น น้ำเย็น) นุ่น (ที่นอน หมอน) สารเคมี เป็นต้น อาการของหวัดภูมิแพ้ จะมีอาการเป็นหวัดคัดจมูก จามบ่อย…

  • เคล็ดลับง่ายๆ ช่วยให้ลูกน้อยของคุณห่างไกลจากโรคภูมิแพ้

    เคล็ดลับง่ายๆ ช่วยให้ลูกน้อยของคุณห่างไกลจากโรคภูมิแพ้

    เคล็ดลับง่ายๆ ช่วยให้ลูกน้อยของคุณห่างไกลจากโรคภูมิแพ้ ในปัจจุบัน โรคภูมิแพ้ เป็นโรคอันดับต้นๆที่เกิดขึ้นได้ในเด็กเล็ก หรือเด็กแรกเกิด ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้นั้นมีหลายปัจจัย ทั้งสาเหตุที่ได้รับโดยตรง หรือสาเหตุที่ได้รับจากทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็น จากไรฝุ่น ควันบุหรี่ ขนสัตว์ กลิ่นเหม็นของสารเคมีหรือสารตกค้างในอากาศ ซึ่งโรคภูมิแพ้นี้มีทั้งการแพ้หลายอย่างแยกออกไป ไม่ว่าจะเป็นโรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ หรือโรคภูมิแพ้อากาศ มักจะเกิดบริเวณระบบทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้เด็กมีอาการคัน จาม คัดจมูก และยังส่งผลในระยะยาวที่จะทำให้เด็กป่วยบ่อย อาจส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการช้าได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ ต้องหันมาใส่ใจกับเรื่องสิ่งแวดล้อมทั้งในและนอกบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงสารกระตุ้นที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ โดยภายในบ้านควรหมั่นทำความสะอาดทุกวัน เพื่อลดสารก่อภูมิแพ้ พวกไรฝุ่น เชื้อรา และสารพิษตกค้างในอากาศ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดสารพิษฟอร์มาลดีไฮด์หรือสารพิษอื่นๆ ส่วนภายนอกบ้านให้หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีควันบุหรี่ ควันรถยนต์ ขนสัตว์ หรือเกสรดอกไม้ ทั้งยังต้องให้ลูกน้อยได้พักผ่อนอย่างเพียงพอและออกกำลังกายสม่ำเสมอ แค่นี้เด็กๆ ก็จะมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์ ส่งผลให้มีพัฒนาการที่เติบโตแข็งแรงได้