Category: มะเร็ง
-
ประโยชน์ของข้าวกล้องที่ดีกว่าข้าวขาว
ประโยชน์ของข้าวกล้องที่ดีกว่าข้าวขาว ตั้งแต่โบราณมาแล้วที่ปู่ย่าตายายเราทานแต่ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือกัน จึงทำให้คนในสมัยก่อนแข็งแรง และไม่ค่อยเจ็บป่วยได้ง่าย แต่ในสมัยปัจจุบันกลับทานข้าวขาวที่มีคุณภาพด้อยกว่าทุกด้านกันวันละสามมื้อ เราจึงแข็งแรงสู้บรรพบุรุษเราไม่ได้ อีกทั้งการกินข้าวกล้องยังอิ่มอยู่ท้องได้นาน มีวิตามินและเกลือแร่มหาศาล ระบบการขับถ่ายก็ดี อีกทั้งเวลาเคี้ยวในปากยังหวานและกรุบกรอบนิด ๆ มากกว่าข้าวขาวอีกด้วยนะคะ ข้าวซ้อมมือหรือข้าวกล้องเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับคนทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนชรา เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่กำลังฟื้นฟูสภาพด้วย และเป็นอาหารที่ดีสำหรับผู้ที่ป่วยเรื้อรัง หากในครอบครัวใดมีคนป่วยลองนำสูตรครีมข้าวกล้องนี้ไปทำทานดู เพียงเลือกใช้ข้าวกล้องที่เม็ดสมบูรณ์ ล้างให้สะอาดแล้วใส่หม้อสเตนเลสเติมน้ำ 3-5 ส่วนแล้วปิดฝาตั้งไฟปานกลางจนข้าวเดือด 15 นาทีใส่เกลือทะเล 1 ก้อนเล็กแล้วหรี่ไฟอ่อนนาน 1 ชม. หลังจากนั้นนำมาครูดกับกระชอนก็จะได้ครีมข้าวกล้องที่อร่อยและมีประโยชน์มาก สามารถทานคู่กับซุปผักก็ได้ เป็นอาหารที่ทานง่ายสบายท้องมาก แล้วในข้าวกล้องมีประโยชน์อะไรบ้างล่ะ 1. ในข้าวกล้องมีโปรตีนมากว่าร้อยละ 20-30 แต่มีแป้งน้อยกว่าข้าวขาว จึงช่วยลดความอ้วนได้ดี และคนที่รูปร่างซูบผอมจะสมบูรณ์แข็งแรงขึ้นได้ด้วยสารอาหารต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ 2. ข้าวกล้องมีวิตามินบีมากกว่าในข้าวขาว ป้องกันโรคเหน็บชา มีวิตามินบีสองป้องกันโรคปากนกกระจอก และวิตามินบีรวมป้องกันและบรรเทาอาการอ่อนเพลีย ปวดขา ปวดน่อง ลิ้นแตก ปลายประสาทอักเสบและโรคทางระบบประสาท ช่วยบำรุงสมอง ทำให้ความจำดีและเจริญอาหารมากขึ้น 3. มีธาตุเหล็กมากว่าในข้าวขาวถึงสองเท่า จึงช่วยป้องกันโลหิตจางได้ 4. มีฟอสฟอรัสและแคลเซียมมากกว่า…
-
หลีกเลี่ยงโซเดียมในอาหาร หลีกห่างได้หลายโรค
หลีกเลี่ยงโซเดียมในอาหาร หลีกห่างได้หลายโรค บรรดาอาหารที่มีรสเค็มจัดทั้งหลายล้วนมีส่วนประกอบของโซเดียมทั้งสิ้น รวมไปถึงอาหารที่ไม่มีรสเค็มแต่มีโซเดียมอย่าง ผงฟู ชูรส เนยเทียม น้ำสลัดต่าง ๆ ก็ด้วยนั้น สร้างปัญหาต่อสุขภาพได้เช่นกันหากบริหารมากเกินพอดี และมีความเสี่ยงทำให้เป็นโรคความดันโลหิตได้ง่าย ทั้งยังทำให้เกิดการสะสมของน้ำตามส่วนต่าง ๆ ทำให้เกิดภาวะบวมน้ำ แล้วยังทำให้เกิดเลือดแข็งตัวได้ง่ายหากมีระดับเกลือแร่ในเลือดสูงเกินไป อันจะนำไปสู่ภาวะไม่ว่าจะเป็นเส้นเลือดในสมองตีบตัน หัวใจวาย ไตวายได้ มีผลการวิจัยพบว่า การกินเกลือแกงมากกว่า หกกรัมหรือ 1 ช้อนชาต่อวัน จะทำให้มีความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูงได้ รวมไปถึงมีโอกาสเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารด้วย ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันโรคดังกล่าว เราจึงควรทานอาหารที่มีโซเดียมน้อย ๆ และเค็มน้อย ๆ ด้วย โดยมีเคล็ดลับดังต่อไปนี้ค่ะ 1. ลดการปรุงอาหารด้วยเครื่องปรุงรสต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กะปิ น้ำปลา ซีอิ๊ว เกลือ ซอส เต้าเจี้ยว ผงชูรส ฯลฯ และชิมก่อนเติมทุกครั้งด้วย รวมทั้งลดการจิ้มน้ำจิ้ม หรือทานน้ำพริก พริกแกงต่าง ๆ เพราะมีเกลืออยู่เยอะมากด้วยเช่นกัน 2. ควรทานอาหารที่ผ่านกระบวนการน้อย ๆ หรืออาหารจากธรรมชาติ…
-
กลูต้าไทโอนทำให้ผิวขาวใสได้จริงหรือ?
กลูต้าไทโอนทำให้ผิวขาวใสได้จริงหรือ? กลูต้าไทโอนเป็นสารที่พบได้ในพืช ผัก ผลไม้ทั่วไป รวมทั้งเนื้อสัตว์ด้วย แหล่งของกลูต้าไทโอนที่พบได้มากได้แก่ อะโวคาโด หน่อไม้ฝรั่ง สตรอเบอ์รี่ มะเขือเทศ ส้ม บร็อกโคลี่ ผักโขม เกรปฟรุต ฯลฯ และกลูต้าไทอนนี้ยังพบได้ในเซลล์ตับของเราเอง ซึ่งมนุษย์ผลิตได้เองตามธรรมชาติ แต่ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น กลูต้าไทโอนเป็นกรดอมิโนที่สำคัญในการต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายได้ ช่วยให้ตับขับสารพิษออกจากร่างกายด้วย นอกจากนี้แล้วยังเป็นสารที่นำมารักษาโรคข้ออักเสบ มะเร็ง พาร์กินสัน โรคตับ โรคไต โรคเอดส์ รักษาอาการหูตึงจากเสียงดัง รักษาภาวะเป็นหมันในเพศชายได้ ส่วนที่ทานแล้วผิวขาวขึ้นนั้นเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น เพราะกลูต้าไทโอนนั้นจะเข้าไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินบนผิวหนังและตามร่างกายด้วย ด้วยความที่สารนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายเทียบเท่าวิตามินซีหรือวิตามินอี การเพิ่มสารนี้เข้าไปในร่างกายจะช่วยให้มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น ช่วยให้อายุยืนยาวขึ้น ซึ่งนั่นเป็นวัตถุประสงค์หลักของกลูต้าไทโอนมากกว่าผิวขาวใส แต่ก็ใช่ว่าจะกินกลูต้าไทโอนเข้าไปแล้วจะได้รับผลอย่างที่ต้องการทุกครั้ง หากคุณดื่มเหล้า เบียร์ สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ หรือทานยาพาราเซตามอลอยู่บ่อย ๆ ตลอดจนออกกำลังกายหนัก ๆ ก็จะทำให้กลูต้าไทโอนสูญเสียประสิทธิภาพลงไปได้ และการกินกลูต้าไทโอนนี้ก็อาจทำให้มีผลข้างเคียงด้วยคือ ทำให้ผิวหนังแดง ความดันโลหิตต่ำ หอบหืดเฉียบพลัน จึงควรสังเกตอาการหลังการกินไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามการทานอาหารทุกหมู่ที่มีความสดใหม่จากธรรมชาติ และดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้ผิวพรรณดูสดใส เปล่งปลั่งร่างกายแข็งแรงได้อย่างเต็มที่ที่สุดแล้วค่ะ
-
ดูแลพ่อแม่ ผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านให้ดีก่อนเกิดอันตราย
ดูแลพ่อแม่ ผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านให้ดีก่อนเกิดอันตราย เวลาผ่านไปเร็วนะคะ แป๊บ ๆ เราก็โตกันเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว และในทางเดียวกันพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ของเราก็แก่ลงไปด้วยเช่นกัน หันไปดูแลท่านกันหน่อยนะคะว่าสุขภาพท่านเป็นอย่างไรบ้าง แม้จะไม่มีโรคร้ายปรากฎออกมาให้เห็นแต่การที่ท่านอายุมากขึ้นแล้ว ก็อาจต้องการความเชื่อเหลือดูแลอยู่บ้างแล้วล่ะค่ะ ลองสังเกตดูว่า… 1. ท่านมีน้ำหนักลดลงบ้างหรือไม่ หากจู่ ๆ ก็น้ำหนักลดลงโดยไม่มีสาเหตุ แสดงว่าอาจมีบางอย่างผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคขาดสารอาหาร ซึมเศร้า ความจำเสื่อม โรคมะเร็งหรือหัวใจล้มเหลว ควรพาไปพบแพทย์ตรวจสุขภาพให้เป็นประจำนะคะ 2. ดูว่าชีวิตประจำวันท่านเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เช่น ยังมีแรงอาบน้ำแปรงฟันเองหรือเปล่า มีแรงทำกับข้าว หรือแต่งเนื้อแต่งตัวอยู่หรือเปล่า หรือยังทำงานบ้านอยู่เหมือนเดิมได้หรือเปล่า 3. ลองสังเกตการณ์เดินของท่านดูว่ายังเดินเป็นปกติหรือเปล่า สามารถเดินไกล ๆ ไหวหรือเปล่า หรือต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง 4. อีกทั้งยังควรสังเกตในบ้านด้วยว่ายังเรียบร้อยอยู่หรือไม่ เช่น หลอดไฟขาดเปลี่ยนหรือเปล่า หญ้าตัดหรือไม่ หนังสือพิมพ์หน้าบ้านเก็บหรือเปล่า จานไม่ได้ล้างหลาย ๆ วันเพราะอะไร เครื่องใช้ไฟฟ้าเปิดทิ้งไว้บ่อย ๆ หรือเปล่า เป็นต้น เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติก็ได้ 5. ท่านยังสามารถเดินขึ้นลงบันไดชันๆ…
-
ดูแลตัวเองทั้งผู้ป่วยมะเร็งและผู้เฝ้าไข้
ดูแลตัวเองทั้งผู้ป่วยมะเร็งและผู้เฝ้าไข้ โรคร้ายแรงอย่างโรคมะเร็งนี่ หากมีใครในบ้านที่เกิดเป็นขึ้นมาแล้ว ความรุนแรงของโรคมักจะกระทบกระเทือนทั้งจิตใจและร่างกายของผู้ป่วยและผู้ที่อยู่ใกล้ชิดได้ไม่แตกต่างกันเลยนะคะ บางคนใกล้ชิดดูออกจะหมดกำลังใจมากกว่าผู้ป่วยเองเสียอีก ในส่วนของผู้ป่วยนั้นบางคนที่รับรู้มาว่าตัวเองป่วยด้วยโรคร้ายอย่างมะเร็งแล้วก็มักจะแสดงอาการตกใจจนช็อก ไม่ยอมพูดยอมจา นิ่งไปเสียก็มีอยู่มาก และที่โวยวายปฏิเสธไม่ยอมรับความจริง จนต้องเปลี่ยนหมอ เปลี่ยนโรงพยาบาล จนวุ่นวายกว่าจะได้เริ่มต้นรักษาก็มีไม่ใช่น้อย โดยทั่วไปนั้นกลไกลการปรับตัวของผู้ป่วยโรคร้ายจะมีอยู่หกระยะได้แก่ ระยะช็อก ระยะปฏิเสธ ระยะโกรธ ระยะต่อรอง ระยะซึมเศร้า จนไปสุดที่ระยะยอมรับความจริง ผู้ป่วยบางคนอาจมีครบทั้งหกระยะ บางรายก็เริ่มที่ข้อใดข้อหนึ่ง แล้วไปจบไม่ครบหกระยะก็ได้ด้วย ดังนั้นผู้ที่ดูแลก็จำเป็นต้องเข้าใจจิตใจและอารมณ์ของผู้ป่วย ที่มักจะขึ้น ๆ ลง ๆ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อีกประการก็คือหากยิ่งผู้ป่วยยอมรับอาการป่วยของตนเองได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งเข้ารับการรักษาได้เร็วเท่านั้น ทั้งยังมีสิทธิที่จะหายป่วยได้มากขึ้นอีกด้วย ผู้เฝ้าไข้เองก็จำเป็นต้องดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจของตนเองด้วย เพราะตนเองนั้นเป็นเสาหลักที่ไม่ควรล้ม ต้องมีสติให้มากกว่าผู้ป่วยเสมอ คุณอาจจำเป็นต้องสละเวลาส่วนตัวในการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย เป็นไปได้ก็คือควรมีผู้ช่วยหรือมีมือสำรองในการผลัดเปลี่ยนกันดูแล อย่าให้ความรับผิดชอบตกอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งมากเกินไป หากมีพี่น้องหลายคนก็คนผลัดกันมาดูแลช่วยเหลือด้วย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเวลา กำลังกาย กำลังใจ เงินทอง และการไปรับไปส่งตามหมอนัด เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาและฟื้นตัวให้เร็วที่สุดได้นั่นเอง การดูแลผู้ป่วยโรคร้ายหรือโรคมะเร็งนั้น จะดีที่สุดก็คือเมื่อผู้เฝ้าไข้เองได้เรียนรู้และหันมาดูแลตัวเอง ป้องกันตนเองและคนที่ใกล้ชิดไม่ให้เป็นมะเร็ง และร่วมกันหาวิธิที่จะทำให้ผู้ป่วยได้อยู่กับโรคมะเร็งที่เขากำลังเผชิญอยู่ใกล้มีความสุขให้ได้ให้มากที่สุด
-
เนื้อสัตว์ดิบๆ ทำให้คุณเสียชีวิตโดยไม่ทันรู้ตัว
เนื้อสัตว์ดิบๆ ทำให้คุณเสียชีวิตโดยไม่ทันรู้ตัว แทบทุกภาคของประเทศไทย ต่างก็มีอาหารประจำภาคที่นำเอาเนื้อสัตว์ดิบ ๆ มาทำเป็นอาหารทั้งนั้น นัยว่าอร่อยถูกปากกว่าเนื้อสัตว์ที่ปรุงจนสุก เช่น ลาบหรือหลู้ทางภาคเหนือมักนิยมใช้เนื้อหมูปนเลือดสด หรือเนื้อวัว เนื้อควายมาปรุงทาน เพราะมีรสอร่อยกว่า ทั้งที่ความจริงแล้วอาหารแบบนี้เสี่ยงต่ออันตรายอย่างมาก เพราะในเนื้อดิบ ๆ นั้นมีเชื้อแบคทีเรียและพยาธิอื่น ๆ ปะปนอยู่มาก ดังที่มีข่าวการเสียชีวิตจากการทานของดิบ ๆ อยู่เนือง ๆ เพราะมีคนที่มักเข้าใจผิดเอาความอร่อยเพียงไม่กี่มื้อแลกกับชีวิตของตัวเองมากนักต่อนักแล้วนั่นเอง เนื้อสัตว์ดิบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นหมู วัว ควาย นก สัตว์ป่าต่าง ๆ รวมไปถึงปลาน้ำจืด กุ้ง ปลาดิบ อาหารหมักดองพวก แหนม ปลาส้ม ปลาจ่อม อาหารทะเลสุก ๆ ดิบ ๆ ทำให้เกิดความเสี่ยงการเกิดโรคภัยต่อร่างกายนับไม่ถ้วน ทั้งโรคจากพยาธิที่ปนเปื้อนในเนื้อสัตว์ พยาธิใบไม้ตับ พยาธิขึ้นสมอง มะเร็งท่อน้ำดี เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ที่ทำให้มีไข้สูง ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน หูดับ ตาบอด ชัก เป็นอัมพาต บางอาจก็อาจทำให้เยื่อหุ้มหัวใจ…
-
อ้วนตั้งแต่เด็ก….เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสูง
อ้วนตั้งแต่เด็ก….เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสูง เพราะการกินอยู่เดี๋ยวนี้สะดวกขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ขายตามหน้าโรงเรียน ตามทางเท้า ตามร้านสะดวกซื้อหรือห้างซุปเปอร์สโตร์ขนาดใหญ่ที่เปิดอยู่แทบทุกหัวถนน อีกทั้งพ่อแม่ยังเก็บอาหาร ขนมต่าง ๆ เอาไว้ให้ลูกเพราะกลัวตัวเองจะมีเวลาว่างไม่มากพอสำหรับการดูแลอาหาร เด็ก ๆ จึงไม่ค่อยได้ทานอาหารที่มีประโยชน์มากนัก กลับถึงบ้านก็กินขนมดูทีวี ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายวิ่งเล่นมากเท่าที่ควร เด็กสมัยนี้จึงอ้วนลงพุงแต่เล็กกันเยอะมาก ปัจจุบันนี้มีผลสำรวจพบว่าเด็กหรือเด็กวัยรุ่นที่มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ระดับช่วงต้นของชีวิตนั้นจะทำให้เด็ก ๆ มีโอกาสการเป็นมะเร็งสูงกว่าเด็กวัยเดียวกันที่มีน้ำหนักในเกณฑ์มาตรฐานถึงร้อยละ 35 และเมื่อโตขึ้นแล้วเริ่มออกกำลังกายหรือลดน้ำหนัก และปรับการกินอาหารแล้วความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งก็มิได้ลดลงไปอยู่ดี นอกจากนี้แล้วค่าดัชนีมวลกายที่สูงตั้งแต่อายุ 18 ปี จะนำไปสู่การเป็นมะเร็งในเวลาต่อมาสูงยิ่งกว่าคนที่มีค่าดัชนีมวลกายสูงในช่วงวัยกลางคนเสียอีก ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การรักษาสุขภาพที่ดีไว้ตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการมาดูแลสุขภาพในช่วงวัยโตหรือวัยกลางคนแล้ว ดังนั้นเด็กและวัยรุ่นจึงไม่ควรปล่อยตัวให้อ้วนน้ำหนักเกิน เพื่อลดโอกาสการเป็นมะเร็งนั้นเอง ความรับผิดชอบนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวของเด็กเท่านั้น แต่ผู้ปกครองที่ดูแลเด็กควรมีส่วนร่วมและเป็นผู้นำในการจัดการปรับวิถีการกินและการใช้ชีวิตของเด็ก ให้มีสุขภาวะที่ดี ปรับตารางการเรียน การเล่น ให้เด็กได้มีโอกาสออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ได้ทานอาหารที่สะอาดปลอดภัย และมีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน ลดละการให้เด็กทานอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลมาก แป้งมาก โดยเฉพาะจังค์ฟู้ดทุกสัญชาตินั่นล่ะตัวดี และที่สำคัญที่สุดก็คือหากอยากให้เด็กหรือวัยรุ่นมีสุขภาพแข็งแรงแล้วล่ะก็ การมีพ่อแม่เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตัวกลับเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้ลูก ๆ ของเรามีอายุยืนยาวและสุขภาพแข็งแรง กับมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลดลงอีกด้วยค่ะ
-
หลักการดูแลสุขภาพ…เพื่อชีวิตห่างไกลมะเร็ง
หลักการดูแลสุขภาพ…เพื่อชีวิตห่างไกลมะเร็ง ไม่มีใครอยากให้ร่างกายที่เราแสนรักนี้เป็นโรคหรอกค่ะ ไม่ว่าจะเป็นโรคใดก็ตาม ยิ่งหากเป็นโรคร้ายที่รักษายากหรือมีเกณฑ์การเสียชีวิตสูงแล้ว เราคงแทบจะตายกันไปในวันที่ทราบข่าวนั้นเลย โรคมะเร็งนี้เป็นหนึ่งในโรคที่คุกคามร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยและคนใกล้ชิดมาก ดังนั้นเรามาใช้ชีวิตตามหลักธรรมดาเพื่อดูแลร่างกายของเราให้ห่างไกลจากมะเร็งกันดีกว่าค่ะ 1. เลิกบุหรี่ ไม่ควรสูบบุหรี่ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ในรูปแบบไหน อีกทั้งยังไม่ควรเข้าไปสูดดมควันบุหรี่จากผู้อื่นด้วย เพราะพิษจากควันบุหรี่นั้นสามารถทำให้เป็นมะเร็งได้หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ การเลิกสูบบุหรี่สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดได้ถึงร้อยละ 90 แล้วยังทำให้คนใกล้ชิดปลอดภัยจากโรคนี้เพิ่มขึ้นด้วย 2. เลิกมีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ ไม่ว่าจะเพศใดการสำส่อนทางเพศก็เป็นต้นตอของโรคมะเร็งได้ทั้งนั้น ยิ่งโดยเฉพาะเพศหญิงที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย และมีหลายคู่ รวมไปถึงการติดเชื้อไวรัสหูดจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูกมาก ดังนั้นทุกครั้งจึงควรสวมถุงยางอนามัยและเลิกพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ 3. เลิกเหล้า หากดื่มอยู่ก็ควรลดละเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้หมด หรือไม่ดื่มเลยจะดีที่สุด หากต้องการดื่มให้ดื่มได้วันละ 2 แก้ว สำหรับเพศชายและ 1 แก้วเท่านั้นสำหรับเพศหญิง เพราะการดื่มหนัก ๆ จะทำให้สะสมสารก่อมะเร็งในช่องปาก กดภูมิต้านทานโรค ทำให้เป็นพิษต่อตับและตับอ่อน จึงเสี่ยงต่อมะเร็งตับมาก 4. หลบแดดเสมอ โดยเฉพาะแสงแดดที่มีรังสียูวีจัดจ้าในช่วงเวลาตั้งแต่แปดโมงเช้า ถึงบ่ายสี่โมงหรือจำเป็นต้องออกแดดก็ให้ทาครีมกันแดด แล้วสวมหมวก กางร่ม สวมแว่นกันแดด หรือสวมเสื้อแขนยาวสำหรับการรังสียูวีด้วยจะดีค่ะ 5. หลีกเลี่ยงการทานปลาน้ำจืดดิบ ๆ สุก ๆ…
-
สาเหตุการเป็นมะเร็ง พันธุกรรมหรือการใช้ชีวิต?
สาเหตุการเป็นมะเร็ง พันธุกรรมหรือการใช้ชีวิต? มีเรื่องราวจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดท่านหนึ่ง ที่เรื่องราวในชีวิตของทั้งตัวผู้ป่วยเองและคุณแม่ของผู้ป่วยน่าจะเป็นเรื่องราวที่บอกอะไรบางอย่างได้บ้างเกี่ยวกับโรคมะเร็งและการใช้ชีวิตนะคะ เผื่อคุณผู้อ่านจะนำไปพิจารณาและปรับใช้ชีวิตกันดูค่ะ ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดท่านนี้อาศัยอยู่กับแม่ที่ต่างจังหวัด แม่ของเธอเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารักคนหนึ่งแม้จะอายุเข้า 80 ปีแล้วแต่ก็ยังแข็งแรง ใช้ชีวิตเป็นสาวบ้านนามาตลอดชีวิต ไม่เคยทานวิตามินหรืออาหารเสริมใด ๆ มีผิวสีน้ำตาลเข้มเรียบเป็นมันไม่ได้ใช้โลชั่นบำรุงผิว มีริ้วรอยเหี่ยวย่อนบ้าง แต่ผมยังมีสีดำเงาสวย มีผมหงอกแค่ประปราย ดวงตามีประกายสดใสใจดีน่ารัก คุณยายใช้ชีวิตในสวนปลูกผักไว้กินเองและขายด้วย แล้วก็ยังทำไร่ทำนาทำสวยได้ทั้งที่อายุแปดสิบแล้ว แต่ลูกสาวอายุเพียง 47 กลับเป็นมะเร็งปอด การที่คุณยายมีสุขภาพแข็งแรง อารมณ์ดีอยู่เช่นนี้ แล้วก็ดูสบาย ๆ เพราะคุณยายออกกำลังกายทำสวน จึงมีเหงื่อทุกวัน ทั้งถางหญ้า รดน้ำต้นไม้ พรวนดิน ปลูกผักสวนครัวตั้งเกือบครึ่งไร่ ทั้งแตงกวา ผักกาด พริก ถั่วฝักยาว ตะไคร้ ใบโหะรา กะเพราะ ฯลฯ โดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลงเลย คุณยายใช้ผักในสวนของตัวเองในการทำกับข้าว ที่ใช้น้ำมันน้อยมาก ส่วนใหญ่มักทานเป็นน้ำพริกผักจิ้ม หรือแกง หรือนึ่ง ทานปลาเป็นส่วนใหญ่ เนื้อสัตว์ใหญ่ไม่ค่อยกิน ไม่ใช่ชูรส ปรุงรสด้วยเกลือนิดหน่อย กินขนมบ้างส่วนใหญ่เป็นกล้วยน้ำว้าในสวน ไม่มีโรคประจำตัว และสวดมนต์ไหว้พระ ใส่บาตรบ่อย ๆ…
-
5 ข้อควรทำเพื่อป้องกันมะเร็งร้าย
5 ข้อควรทำเพื่อป้องกันมะเร็งร้าย เดี๋ยวนี้เราได้ยินข่าวการตายด้วยโรคมะเร็งมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเกิดในญาติผู้ใหญ่ คนใกล้ชิด หรือเพื่อนสนิทคนใกล้ตัวก็ตาม เพราะการเกิดมะเร็งเกิดขึ้นได้หลายปัจจัยที่ล้วนก็อยู่ใกล้ตัวและอยู่ภายในตัวเราทั้งสิ้น ป้องกันได้บ้างและบ้างก็ป้องกันไม่ได้ สิ่งอันตรายที่เราควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันมะเร็งก็คือ ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ อย่ามีเพศสัมพันธ์มั่วซั่ว ไม่ควรออกแดดจ้า รวมทั้งไม่ควรทานปลาน้ำจืดสุก ๆ ดิบ ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังควรปฏิบัติตัวตาม 5 ข้อดังต่อไปนี้เพื่อป้องกันโรคมะเร็งด้วยค่ะ 1. หมั่นออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละครั่งชั่วโมง 3-4 วันต่อสัปดาหื เพื่อให้ระบบภายในร่างกายทำงานอย่างสมดุล เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย และเสริมสร้างสมรรถนะของร่างกายให้แข็งแรง 2. รักษาจิตใจให้สดใส สดชื่น ด้วยการฝึกปล่อยวาง และผ่อนคลายจิตใจ ง่าย ๆ ก็อาจจะเริ่มด้วยการทำงานอดิเรกที่ชอบบ้าง อย่าไปหมกมุ่นกับการงานหรือการเรียนเพียงอย่างเดียว สวดมนต์ทำจิตใจให้ป็นสมาธิ ฝึกหายใจช้า ๆ เข้าออกลึก ๆ เพื่อฝึกลมปราณทุกวัน ๆ ละอย่างน้อย 10 ครั้ง รักษาความสุขใจจิตใจ การทำเช่นเช่นนี้จะทำให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เสริมสร้างระบบประสาท ต่อมไร้ท่อ…