Category: มะเร็ง

  • ทีมนักวิจัยในสหรัฐ พัฒนาการบำบัดโรคมะเร็งแบบใหม่ โดยใช้อนุภาคนาโนเรืองแสง

    ทีมนักวิจัยในสหรัฐ พัฒนาการบำบัดโรคมะเร็งแบบใหม่ โดยใช้อนุภาคนาโนเรืองแสง

    ทีมนักวิจัยในสหรัฐ พัฒนาการบำบัดโรคมะเร็งแบบใหม่ โดยใช้อนุภาคนาโนเรืองแสง ทีมนักวิจัยในสหรัฐได้พัฒนาเทคนิคบำบัดมะเร็งแบบใหม่ที่ใช้อนุภาคนาโนเรืองแสงเป็นตัวนำยาบำบัดมะเร็งไปยังก้อนมะเร็งโดยตรงและใช้เเสงเลเซอร์เป็นตัวควบคุมให้อนุภาคนาโนเรืองเเสงทำการปล่อยยาบำบัดโดยตรงไปที่ก้อนมะเร็งทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาสูงขึ้น ทีมนักวิจัยที่มหาวิทยาลัย University of California ที่ Los Angles ทำการทดลองบำบัดมะเร็งด้วยเทคนิคนี้โดยใช้อนุภาคนาโนเรืองเเสงที่บรรจุยาบำบัดมะเร็ง สามารถทะลุผ่านเซลล์ในร่างกายเพื่อเข้าไปให้ถึงก้อนมะเร็ง ทีมนักวิจัยสามารถติดตามการเคลื่อนไหวของตัวอนุภาคนาโนในร่างกายผู้ป่วยได้เพราะมีการเรืองเเสง เมื่ออนุภาคนาโนเรืองเเสงบรรจุยาต้านมะเร็งเข้าไปรวมตัวกันในก้อนมะเร็งเเล้ว ทีมนักวิจัยจะใช้เเสงเลเซอร์อินฟาเรดที่ทะลุผ่านลงไปใต้ผิวหนังคนเราได้เป็นตัวควบคุมให้อนุภาคนาโนปล่อยยาบำบัดมะเร็งออกมาเพื่อกำจัดก้อนมะเร็ง ศาสตราจารย์ Jeffery Zink กล่าวว่าในการทดลองรักษาด้วยเทคนิคการบำบัดด้วยอนุภาคนาโน ในห้องทดลองหลายครั้ง ทีมงานพบว่าเป็นวิธีที่ได้ผลดีในการทำลายเซลล์มะเร็ง เเม้ในกรณีที่ไม่มีการใช้เเสงเลเซอร์เป็นตัวควบคุมศาสตราจารย์ Jeffery Zink กล่าวว่าเมื่อดูจากผลการทดลองหลายครั้งในหนูทดลองที่ผ่านมา ทีมงานเชื่อว่าการบำบัดมะเร็งด้วยยาต้านมะเร็งโดยใช้เทคนิคอนุภาคนาโนเรืองแสงจะได้ผลในการกำจัดเซลล์มะเร็งในคนทีมนักวิจัยกล่าวว่าในขั้นต่อไป จะต้องทำการศึกษาทดลองเพื่อให้มั่นใจว่าการบำบัดมะเร็งวิธีนี้ปลอดภัยหากใช้บำบัดมะเร็งในคนและเพื่อให้มั่นใจว่าเเสงเลเซอร์สามารถทะลุทะลวงลงไปถึงตัวอนุภาคนาโนบำบัดทุกตัวที่อยู่ภายใต้ผิวหนังของผู้ป่วยได้

  • องค์การอนามัยโลก กล่าวเตือนผู้คนทั่วโลก มีเปอร์เซ็นต์เป็นโรคมะเร็งมากขึ้น กว่าร้อยละ 57

    องค์การอนามัยโลก กล่าวเตือนผู้คนทั่วโลก มีเปอร์เซ็นต์เป็นโรคมะเร็งมากขึ้น กว่าร้อยละ 57

    องค์การอนามัยโลก กล่าวเตือนผู้คนทั่วโลก มีเปอร์เซ็นต์เป็นโรคมะเร็งมากขึ้น กว่าร้อยละ 57 องค์การอนามัยโลกรายงานว่าจำนวนคนเป็นมะเร็งทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจากประมาณ 14 ล้านคนต่อปีในปีนี้เป็นปีละ 22 ล้านคนภายใน 20 ปีข้างหน้าและยังคาดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากมะเร็งจะเพิ่มขึ้นจาก 8 ล้าน 2 เเสนคนเป็น 13 ล้านคนต่อปี Dr. Bernard Stewart ผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมร่างรายงานดังกล่าวเปิดเผยว่าผู้ป่วยมะเร็งส่วนมากอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา ปัจจุบันมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของผู้เป็นมะเร็งทั้งหมดเป็นคนในอาฟริกา เอเชีย อเมริกากลางและอเมริกาใต้และจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากมะเร็งทั้งหมดทั่วโลก ราว 70 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้ป่วยมะเร็งจากทวีปต่างๆ สำหรับประเทศรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง การเกิดมะเร็งมีความเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อ อาทิ มะเร็งปากมดลูกที่เกิดจากการติดเชื้อ human papillomavirus และมะเร็งตับที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ สาเหตุที่คนเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นในประเทศกำลังพัฒนายังเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตยุคอุตสาหกรรมและไม่มีการตรวจหามะเร็งแต่เนิ่นๆ Dr. Stewart ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าประเทศรายได้น้อยและปานกลางมักขาดการบริการด้านการตรวจสุขภาพเพื่อตรวจหาโรค ทำให้ไม่รู้ว่าเป็นมะเร็งจนกระทั่งโรคกำเริบ ดังนั้นอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยจึงมีน้อย รายงานขององค์การอนามัยโลกเตือนว่าการบำบัดมะเร็งเพียงอย่างเดียวไม่สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งได้ จะต้องใช้มาตรการป้องกันการเกิดมะเร็งที่มีประสิทธิภาพร่วมด้วยและต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน Dr. Stewart กล่าวว่าการรณรงค์ให้มีการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสบางชนิดสามารถช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งบางประเภทลงได้ นอกจากนี้การรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่และการดื่มสุรา การสร้างความตื่นตัวเกี่ยวกับการป้องกันโรคอ้วนและลดการบริโภคน้ำตาลน่าจะมีบทบาทในการช่วยลดการเกิดมะเร็งบางชนิดลงได้เช่นกัน รายงานการศึกษาการเกิดมะเร็งทั่วโลกขององค์การอนามัยโลกนี้เป็นผลงานการวิจัยจากความร่วมมือของบรรดานักวิทยาศาสตร์มากกว่า 250 คนจาก 40 ประเทศ

  • ผลการวิจัย ตรวจพบว่า สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเร่งให้มะเร็งในหนูทดลองโตเร็วขึ้น

    ผลการวิจัย ตรวจพบว่า สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเร่งให้มะเร็งในหนูทดลองโตเร็วขึ้น

    ผลการวิจัย ตรวจพบว่า สารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเร่งให้มะเร็งในหนูทดลองโตเร็วขึ้น ผลการวิจัยชิ้นใหม่ในหนูทดลองชี้ว่าการรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งมากขึ้นเนื่องจากไปแทรกแซงการทำงานของระบบภูมิต้านทานธรรมชาติในร่างกายในการต่อต้านการเกิดมะเร็ง สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) เป็นสารที่ร่างกายผลิตขึ้นเองตามธรรมชาติหรืออาจจะได้จากการรับประทานผลไม้และผัก คุณ Martin Bergo ศาสตราจารย์ด้านนี้แห่งมหาวิทยาลัย University of Gothenburg เเม้ว่าจะมีการศึกษาวิจัยเรื่องนี้กันมากมาย นักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่ยืนยันว่าการรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระเสริมในรูปเม็ดจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้ ศาสตราจารย์ Bergo กล่าวว่า การรับประทานวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระเสริมเเบบเม็ด ในปริมาณมากเกินไป อาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดีต่อร่างกาย ผลการศึกษามากกว่า 10 การศึกษาชี้ว่า การรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินเสริม มีประโยชน์เพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่มีประโยชน์เลย เขากล่าวว่ามีการทดลองในคนเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมในการป้องกันมะเร็งต้องล้มเลิกไปเพราะทีมนักวิจัยพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระเสริมกลับไปเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งในอาสาสมัครในการทดลอง รายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science Translational Medicine เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เขียนถึงผลการศึกษาของทีมนักวิจัยสองทีม ทีมเเรกนำโดยศาสตราจารย์ Bergo และอีกทีมหนึ่งนำโดยคุณ Par Lindahl นักวิจัยมะเร็งที่ค้นพบโดยบังเอิญว่า การรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินเสริมสองชนิด คือ วิตามินอีและวิตามิน N-A-C หรือ อะเซทิล ซิสเทอีน (N-acetyl-cysteine) ซึ่งมีผลให้มะเร็งในปอดของหนูทดลองกำเริบรุนแรงขึ้น ทีมนักวิจัยยังค้นพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระเสริมในระดับสูงไปลดระดับการทำงานของโปรตีน P-53…

  • ผลการวิจัยเผยว่า การตรวจ mammogram เต้านม เพื่อตรวจหามะเร็ง อาจให้โทษมากกว่าประโยชน์

    ผลการวิจัยเผยว่า การตรวจ mammogram เต้านม เพื่อตรวจหามะเร็ง อาจให้โทษมากกว่าประโยชน์

    ผลการวิจัยเผยว่า การตรวจ mammogram เต้านม เพื่อตรวจหามะเร็ง อาจให้โทษมากกว่าประโยชน์ ในสหรัฐ มีการใช้ x-ray เพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม หรือการทำ mammogram ราวๆ 37 ล้านรายต่อปี และเกือบสามในสี่ของผู้หญิงที่มีวัย 40 ปี และสูงกว่านั้น กล่าวว่า ได้รับการทำ mammogram ในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งมีคำถามจากนักวิจัยทางการแพทย์กำลังต้องการหาคำตอบ คือ การที่ตรวจพบมะเร็งเต้านม ที่มีขนาดเล็กมากจนไม่สามารถใช้มือคลำพบ แต่กลับใช้การ x-ray แบบ mammogram แล้วตรวจพบนั้น จะช่วยป้องกันการเสียชีวิตจากการเป็นมะเร็งเต้านมได้ผล จริงหรือไม่ นักวิจัยจากประเทศแคนาดา ได้วิจัยเรื่อง mammogram ที่กระทำในประเทศแคนาดา ซึ่งถือเป็นงานใหญ่ที่สุดและละเอียดรอบคอบมากที่สุดชิ้นหนึ่ง โดยมีผู้หญิงเข้าร่วมโครงการ 90,000 คน และใช้เวลาติดตามศึกษานานถึง 25 ปี และผลการวิจัยชิ้นนี้ที่เพิ่งเปิดเผยออกมา ระบุว่า อัตราการเสียชีวิตของผู้หญิงจากโรคมะเร็งเต้านมและจากโรคอื่นๆ ไม่แตกต่างกันไม่ว่าจะได้รับการทำ mammogram หรือไม่ งานวิจัยชิ้นนี้กล่าวต่อไปด้วยว่า การทำ mammogram ยังให้โทษได้อีกด้วย…