Category: หัวใจ
-
ปวดท้อง ปวดยังไง ขนาดไหนจึงไปหาหมอ?
ปวดท้อง ปวดยังไง ขนาดไหนจึงไปหาหมอ? ปวดท้อง เป็นอาการป่วยพื้นฐานที่พบได้บอ่ย ๆ บางคนก็เป็นอยู่เป็นประจำจนไม่ได้ใส่ใจมากนัก คิดว่าเป็นได้เดี๋ยวก็หายไปเอง แต่หารู้ไม่ว่าอาการปวดท้องบางอย่างเป็นสัญญาณเตือนให้คุณรู้ว่า ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้ละเอียดดีกว่า ก่อนที่จะกลายเป็นโรคลุกลามได้ อาการปวดท้องนั้นเกิดได้หลายสาเหตุ ตั้งแต่ปวดเล็กน้อย จนถึงปวดรุนแรงมาก อาการปวดอาจสัมพันธ์กับอวัยวะโดยตรงเช่น รังไข่ กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ที่พบได้บ่อยจะเป็นการปวดท้องเพราะอวัยวะในทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ ไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งจะเป็นโรคใดก็ต้องวินิจฉัยว่าปวดที่ตำแหน่งไหน อาการปวดเป็นอย่างไร รวมไปถึงความรุนแรงและช่วงเวลาที่ปวดท้องด้วย นอกจากนี้ยังมีอาการของโรคอื่น ๆ ที่ทำให้ปวดท้องได้ด้วย เช่น โรคหลอดเลือดขนาดใหญ่ในช่องท้อง อาการหัวใจวายเฉียบพลัน ตับอักเสบ นิ่วในไต โรคลำไส้ โรคหัวใจและปอดอักเสบก็ทำให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรงได้เช่นกัน หากเป็นเพศหญิงก็ต้องนึกถึงสาเหตุของอวัยวะสืบพันธุ์ต่าง ๆ แม้แต่ผู้ป่วยโรคงูสวัดที่บริเวณท้องก็อาจทำให้ปวดท้องรุนแรงได้ ฯลฯ แต่กว่าครึ่งของคนที่ปวดท้องจะวินิจฉัยหาสาเหตุได้ผล ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งอาจหาสาเหตุไม่ได้ เมื่ออาการทุเลาหายไปก็ยังไม่สามารถทราบสาเหตุที่แน่ชัดอยู่ดี อาการปวดท้องที่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษานั้นก็ได้แก่ – ปวดนานกว่า 6 ชั่วโมงและมีอาการมากขึ้น – ปวดจนกินอะไรไดม่ได้ – ปวดท้องและอาเจียนมากกว่า 3-4 ครั้ง –…
-
ออกกำลังกายพัฒนาสุขภาพ บรรเทาโรคต่าง ๆ ได้
ออกกำลังกายพัฒนาสุขภาพ บรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ การหาเวลาการออกกำลังกายวันละ 30 นาที เพียงแต่สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ยังผลให้สุขภาพกายเราดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วยต่อต้านโรคภัยได้หลากหลาย ซึ่งการออกกำลังกายนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณดังต่อไปนี้ 1. ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกายออกทางรูขุมขนซึ่งก็คือเหงื่อนั่นเอง ช่วยลดสารพิษตกค้างในร่างกายด้วย 2. ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น กว่าร้อยละ 70 ของคนที่ออกกำลังกายจะนอนหลับได้สนิทกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย ทั้งนี้ควรออกกำลังกายก่อนเวลา 3 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยค่ะ 3. ช่วยเสริมสร้างความจำ ทำให้ความจำดีขึ้น กระตุ้นความคิดและทำให้สุขภาพจิตดี ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์และโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ได้ 4. ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดีขึ้น ลดเวลาการย่อยลง ลดความเจ็บปวดจากโรคริดสีดวงทวารและลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ดี ส่งเสริมให้หลอดเลือดและหัวใจทำงานได้มากขึ้น เพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารด้วย 5. ทำให้มีสุขภาพจิตทีดี ลดความเครียด บรรเทาอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวลต่าง ๆ ลดความคิดในการฆ่าตัวตายได้ 6. ช่วยให้กระดูกแข็งแรง มวลกระดูกเพิ่มขึ้นและหนาแน่นขึ้น ลดความเจ็บปวดจากหลังได้ร้อยละ 80 กระตุ้นการทำงานของกระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกรานและกล้ามเนื้อโดยรอบ ช่วยขับของเสียออกจากล้ามเนื้อและกระดูกให้มีความแข็งแรงมากขึ้นได้ 7. ป้องกันโรคหวัด ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวทำงานต่อสู้กับเชื้อโรคได้รวดเร็วและตอบสนองได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงติดโรคเรื้อรังได้…
-
วัคซีนที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรฉีด
วัคซีนที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรฉีด เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และเด็กในครรภ์ คุณผู้หญิงทุกคนที่กำลังตั้งครรภ์ควรได้รับวัคซีนตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ แต่ก็มีบางรายที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนการตั้งครรภ์ หรือได้รับไม่ครบทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคระหว่างการตั้งครรภ์ได้ วัคซีนที่แนะนำให้ฉีดไว้เพื่อป้องกันสุขภาพได้แก่ – วัคซีนป้องกันไอกรน คอตีบ บาดทะยัก แม้ว่าหญิงตั้งครรภ์ผู้นั้นจะเคยได้รับวัคซีนมาก่อนก็ยังต้องฉีดไว้อยู่ดี ซึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการฉีดเพื่อให้ภูมิคุ้มกันนี้ไปสู่ลูกด้วยก็คือ ในช่วงอายุครรภ์ 27-36 สัปดาห์ เป็นวัคซีนที่มีอยู่ครบในเข็มเดียว สาเหตุที่ต้องฉีดเป็นเพราะว่าขณะนี้โรคคอตีบอาจกลับมาระบาดได้อีก โรคไอกรนเด็กมักจะติดเชื้อมาจากแม่ และบาดทะยักก็ยังเป็นการป้องกันการติดเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์และคลอดด้วย – วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพราะเป็นโรคที่ทำอันตรายกับคนท้องได้มากกว่าคนธรรมดา หากติดเชื้อขึ้นมาจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงมากกว่าปกติได้ ทั้งเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ปอดบวม หัวใจวาย 1 เข็มจะป้องกันได้ 1 ปี – วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เป็นวัคซีนสำคัญที่จำเป็นต้องฉีด หากไม่เคยได้รับวัคซีนเลยหรือเจาะเลือดแล้วไม่มีภูมิต้านทานเลย หญิงตั้งครรภ์จะมีโอกาสเสี่ยงได้ง่าย เช่น ได้รับจากสามีที่เป็นพาหะของโรคไวรัสตับอักเสบบี – หากในบ้านเลี้ยงสัตว์ไว้ ไม่ว่าจะเป็น สุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ ถ้าไม่แน่ใจว่ามีเชื้อพิษสุนัขบ้าหรือไม่ก็ให้ฉีดวัคซีนได้ทันที นอกจากนี้แล้วยังมีวัคซีนอีกหลายชนิดที่อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ไข้สมองอักเสบ หัด คางทูม หัดเยอรมัน โปลิโอ วัณโรค ฯลฯ…
-
ประโยชน์ 14 ข้อจากการออกกำลังกาย
—
by
ประโยชน์ 14 ข้อจากการออกกำลังกาย 1. ลดความเจ็บปวดของร่างกายลงได้หากเกิดอุบัติเหตุหรือความเจ็บป่วย เพราะข้อต่อ กล้ามเนื้อต่าง ๆ จะมีความแข็งแรง จึงทำให้ได้รับผลกระทบจากความเจ็บป่วยหรือเหตุไม่คาดฝันต่าง ๆ ได้น้อยลง 2. ภูมิใจในรูปร่างที่เซ็กซี่ของตนเอง มีความมั่นใจมากขึ้น ทำให้รู้สึกดีต่อตัวเองมากขึ้น ช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศให้มากขึ้นด้วย 3. การออกกำลังกายลดการอักเสบในช่องปากได้ จึงมีปัญหาโรคปริทันต์น้อยลงด้วย 4. ช่วยปลอดปล่อยพลังงานสะสมในร่างกายออกมา ลดอาการอ่อนเพลีย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า อารมณ์ดีขึ้น 5. ลดปริมาณไขมันที่เกิดขึ้นจากความเครียด หรือน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นจากความวิตกกังวล 6. ลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดลงได้ถึงร้อยละ 33 สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้มากขึ้น 7. บำรุงสายตาได้ด้วยนะ ลดภาวะจุดรับภาพเสื่อมที่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุได้ถึงร้อยละ 70 แต่ระหว่างกายออกกำลังกายกลางแจ้งควรสวมแว่นกันรังสียูวีไว้ด้วยล่ะ 8. ช่วยให้นอนหลับได้ลึกขึ้น ยาวนานขึ้น นอนหลับสนิทขึ้น สุขภาพคุณจึงดีขึ้นหลายส่วน 9. แม้แต่การเดินก็ยังช่วยให้คุณห่างไกลโรคเบาหวานได้อีกหลายก้าวแล้ว 10. การออกกำลังกายช่วยลดไขมันรอบเอว ลดแก๊สในร่างกาย กระตุ้นการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้ ป้องกันอาการท้องผูก ท้องเฟ้อ เร่งให้กระบวนการย่อยอาหารเร็วขึ้น 11. ทำให้สมองสดใสขึ้น มีความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ลดลง ป้องกันภาวะสมองตื้นสร้างกล้ามเนื้อให้สมองของตนเองได้…
-
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน
—
by
in กระเพาะ, ข่าวสุขภาพ, ความจำเสื่อม, ต้อหิน, ท้องผูก, นิ่ว, ปอด, มะเร็ง, มะเร็งตับ, วัณโรค, หลอดเลือดหัวใจ, หัวใจ, ไตภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่มักเป็นตลอดชีวิต หากปล่อยปละละเลยหรือขาดการดูแล ก็อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงจนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ รวมไปถึงอาจเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่จะค่อย ๆ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายเสื่อมสภาพลงจนเกิดโรคแทรกซ้อนได้ทุกระบบ ซึ่งได้แก่ – หลอดเลือดแดงทั้งเล็กและใหญ่ทั่วร่างกายแข็งและตีบ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ เกิดความเสื่อมได้ เช่น จอประสาทตาเสื่อม ตามัว ตาบอด ไตวายเรื้อรัง ประสาทเสื้อ ทำให้มีอาการชาปลายมือปลายเท้า ท้องเดินหรือท้องผูก – โรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง – หน้าซีดเป็นลมเวลาลุกขึ้นยืน – องคชาตไม่แข็งตัว – หลอดเลือดหัวใจตีบ ทำให้หัวใจวายเสียชีวิตได้ – อัมพาต – ความจำเสื่อม – ติดเชื้อได้ง่าย เพราะเบาหวานทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง และอาจติดเชื้อซ้ำซาก เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ โรคเชื้อราที่ผิวหนัง ฝี พุพอง – การติดเชื้อรุนแรง เช่น กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ปอดอักเสบ วัณโรค –…
-
เคล็ดลับการวิ่งเพื่อลดความอ้วน
เคล็ดลับการวิ่งเพื่อลดความอ้วน การออกกำลังกายด้วยการวิ่งนั้น เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดความอ้วนได้อย่างรวดเร็ว ทำได้ง่าย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรมากก็สามารถทำได้ มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ป้องกันโรคหัวใจ เพิ่มสมรรถภาพให้กับร่างกาย ฯลฯ แต่สำหรับผู้ที่เริ่มต้นวิ่งใหม่ ๆ ควรรู้จักวิธีการวิ่งเสียก่อน มิเช่นนั้นอาจเหนื่อยหอบจนล้าหรือบาดเจ็บได้ค่ะ ท่าวิ่งและการลงน้ำหนักที่ถูกต้อง ควรวิ่งด้วยแรงจากกล้ามเนื้อโคนขา ไม่ควรลงน้ำหนักที่ปลายเท้า ควรวิ่งก้าวยาว ๆ จนกว่าจะเมื่อย เพราะกล้ามเนื้อนั้นจะใช้พลังงานจากไกลโคเจน เมื่อใช้ไกลโครเจนหมดแล้วร่างกายจะเริ่มสร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะทำให้สะสมได้มากกว่าเดิม ช่วยให้เราออกกำลังด้วยการวิ่งได้ไกลและนานมากขึ้น ควรวิ่งให้เร็ว ๆ บ้าง เพราะการวิ่งเร็วจะทำให้หัวใจต้องทำงานให้หนักขึ้นเพื่อลำเลียงออกซิเจนและพลังงาน เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจจึงขยายตัว เป็นการป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันได้ไปในตัว อีกทั้งในขณะที่วิ่งควรจะใช้กระบังลมในการหายใจ จะสามารถหายใจได้ลึกและยาวขึ้นกว่าปกติ ซึ่งการหายใจด้วยกระบังลมสามารถฝึกได้โดยการนอนหงายแล้วใช้หนังสือวางบริเวณท้อง หายใจให้หนังสือขยับขึ้นลงในขณะที่สูดลมหายใจ การหายใจแบบนี้จะทำให้ปอดขยายตัว ทำงานได้เต็มที่ ทำให้ไม่เหนื่อยง่าย วิ่งได้ระยะทางที่มากกว่าเดิม การวิ่งสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นนั้น มีคำแนะนำว่า ควรเลือกรองเท้าสำหรับวิ่งที่สวมสบาย สวมถุงเท้า ดื่มน้ำให้พอเพียงก่อนวิ่ง จิบบ่อย ๆ ระหว่างวิ่ง และดื่มทดแทนหลังจากวิ่ง ควรวอร์มร่างกายก่อนและหลังการออกกำลังกาย เลือกสนามวิ่งที่มีความปลอดภัย เช่น ตามสนามกีฬา ในฟิตเนสหรือตามสวนสาธารณะ ฯลฯ หากเป็นระยะแรกที่เพิ่งออกกำลังกาย…
-
ธัญพืช อาหารที่ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจได้
ธัญพืช อาหารที่ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจได้ มีการศึกษาวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า การทานธัญพืชไม่ขัดสีเป็นจำนวนมากจะช่วยส่งเสริมให้หลอดเลือดมีสุขภาพดีป้องกันความเสี่ยง ในการเป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจได้ด้วย ซึ่งการวิจัยหนนี้เป็นของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย เวคฟอคเรสต์ โดยการสำรวจจากอาสาสมัครชายหญิงหลายวัยและอาชีพ พบว่า ผู้ที่ทานธัญพืชไม่ขัดสีมากที่สุด จะมีผนังหลอดเลือดบางที่สุด และเมื่อเวลาผ่านไปห้าปี ผนังหลอดเลือดสมองจะมีความหนาขึ้นช้าที่สุด อนึ่ง ผนังหลอดเลือดที่หนาตัวขึ้นเป็นตัวบ่งชี้ถึงภาวะหลอดเลือดแข็ง อันเกิดจากไขมันสะสม ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย และโรคหลอดเลือดสมองอื่น ๆ ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีผู้วินัยไว้แล้วว่าการทานธัญพืชไม่ขัดสีเป็นจำนวน จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นเบาหวานชนิดที่สองและโรคหัวใจได้ด้วย ธัญพืชไม่ขัดสีนี้เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูงและมีความซับซ้อน มีเส้นใยอาหารสูงมาก และยังมีวิตามินบี วิตามินบี และสารอาหารอีกมากมาย ปัจจุบันยังมีชาวอเมริกันไม่ถึงร้อยละ 10 ที่ทานธัญพืชไม่ขัดสีวันละสามมื้อ ส่วนมากทานวันละไม่ถึงมื้อ ซึ่งนักวิจัยได้แนะนำให้เพิ่มขนมปังแป้งไม่ขัดขาวหนึ่งแผ่น หรือซีเรียลไม่ขัดสีอีกหนึ่งถ้วย ในอาหารแต่ละมื้อเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองและโรคเบาหวานด้วย คนไทยเองก็ควรหันมารับประทานธัญพืชไม่ขัดสีเหล่านี้ให้มากขึ้นนะคะ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคดังกล่าว ยังทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่อ้วน อิ่มอยู่ท้องได้นาน ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นไปด้วยดี อีกทั้งธัญพืชเหล่านี้ยังมีราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับอาหารอื่น ๆ อีกด้วยค่ะ
-
ผู้หญิงวัยทอง อ้วนง่ายขึ้นนะจ๊ะ
ผู้หญิงวัยทอง อ้วนง่ายขึ้นนะจ๊ะ ในผู้หญิงวัยทองเมื่อฮอร์โมนหมดไปแล้วจะมีอาการหงุดหงิดได้ง่าย อารมณ์แปรปรวน นอนไม่หลับและใจสั่น ซึ่งอาการก็ไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่สิ่งที่รุนแรงกว่าคือโรคเรื้อรังที่เกิดจากวัยหมดประจำเดือน เกิดจากความชราภาพของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายตามกระบวนการธรรมชาติ ซึ่งฮอร์โมนก็เป็นส่วนหนึ่งด้วย หากร่างกายมีภาวะอ้วนน้ำหนักเกิน ความเสี่ยงก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกที่จะเป็นโรคความดันโลหิต เบาหวาน ไขมันเลือด โรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาตได้ง่ายมากยิ่งขึ้นด้วย ในช่วงวัยหมดประจำเดือนจึงต้องเป็นช่วงเวลาที่ควบคุมการเพิ่มของน้ำหนักอย่างเข้มงวด เพราะเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุของโรคร้ายแรงที่อาจคร่าชีวิตก่อนวัยอันควรได้ ในวัยอื่นนั้น ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายมีความอ้วนน้ำหนักเกินขึ้นอยู่กับการทานอาหารเป็นสำคัญ แต่ในวัยหมดประจำเดือน บางครั้งแม้จะควบคุมอาหารอย่างเต็มที่แล้วก็ยังไม่สามารถควบคุมน้ำหนักไว้ได้ ซึ่งทางที่ดีที่สุดก็คือควรควบคุมไว้ตั้งแต่วัยก่อนหมดประจำเดือน ในสังคมคนเมืองปัจจุบันนี้อาหารการกินกลับเริ่มแย่ลง คนเรากินอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีไขมันสูง ไม่มีคุณค่าทางอาหารมากขึ้น ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้ง่าย จริงอยู่ว่าเราอาจไม่สามารถทำอาหารทานเองได้ทุกมื้อ แต่เป็นไปได้ก็ควรเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ มีไขมันต่ำ มีรสหวานน้อย ๆ เค็มน้อย ๆ แล้วทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ก็จะช่วยลดความเสี่ยงได้ตั้งแต่วัยก่อนหมดประจำเดือน ในส่วนของการออกกำลังกาย อย่างน้อยที่สุดควรให้ร่างกายได้ออกกำลังกายบ้าง แต่ละวันให้มีเวลาเดินเล่นอย่างน้อย 30-60 นาที จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นมาก ควรเดินในเวลาที่มีแดดอ่อน ๆ อย่างช่วงเช้า ช่วงเย็น การตากแดดอ่อน ๆ จะช่วยให้ผิวหนังได้รับวิตามินดี ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย เพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันรุดหน้าไปมาก…
-
“ข่า” สมุนไพรบรรเทาอาการปวดข้อเท้า
“ข่า” สมุนไพรบรรเทาอาการปวดข้อเท้า คนทำงานบางคนมีสภาพการทำงานที่ไม่เหมือนคนอื่น ๆ บางคนต้องยืนทั้งวันหรือใช้เท้าในการทำงานมาก ไม่ว่าจะเป็นพนักงานขายที่ต้องยืนทั้งวัน พนักงานต้อนรับ หรือแม้แต่พนักงานประกอบอุปกรณ์ในโรงงาน ฯลฯ อาชีพเหล่านี้ทำให้เกิดความเมื่อยล้ากล้ามเนื้อน่อง ต้นขา เท้า ได้ง่ายมาก วันนี้จะมาแนะนำสมุนไพรสำหรับบรรเทาอาการปวดข้อเท้าค่ะ ซึ่งนั่นก็คือสมุนไพรที่เราคุ้นตากันอยู่แล้ว “ข่า” นั่นเองค่ะ “ข่า” ไม่ได้เป็นแค่สมุนไพรสำหรับการปรุงอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคได้มากหมายหลายโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคระบบทางเดินอาหาร เพราะข่าช่วยย่อย ช่วยขับลม ขับน้ำดีได้ รักษาระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี รักษาอาการลมพิษ ผดผื่นคัน รักษากลากเกลื้อนได้ และยังช่วยแก้ปวดและแก้อักเสบได้ดีด้วย การนำเอาข่ามารักษาบรรเทาอาการปวดข้อเท้านั้น ก็ทำเองได้ง่าย ๆ โดยนำข่าแก่ ๆ มาโขลกแล้วคั้นน้ำออกบ้าง แล้วนำมาพอกบริเวณที่ปวดแล้วพันผ้าทิ้งเอาไว้ ที่สำคัญก็คือก่อนการพอกข่าทุกครั้งต้องทาน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าวบนผิวหนังก่อน เพราะข่ามีฤทธิ์ร้อน อาจทำให้ผิวหนังพองหรือไหม้ได้ และอย่าใช้ข่ามากเกินไป หรือพอกทิ้งไว้นานเกินไป เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผิวหนังได้เช่นกัน แต่เผลอลืมนำข่าพอกลงไปบนผิวหนังก่อนที่จะทาน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว จะทำให้ผิวหนังพองหรือไหม้ดำ การรักษานั้นให้นำเอามะขามเปียกมาถูบริเวณที่ไหม้เบา ๆ จนกว่าผิวหนังจะเป็นปกติ จะเห็นได้ว่าสมุนไพรของไทยเป็นภูมิปัญญาที่มีค่า มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เป็นของที่หาได้ง่ายและรักษาโรคต่าง ๆ ได้ผลเป็นอย่างดี เราคนไทยควรร่วมกันรักษาภูมิปัญญานี้ไว้นาน ๆ…
-
สรรพคุณมากคุณค่าของเห็ดหลากหลายชนิด
สรรพคุณมากคุณค่าของเห็ดหลากหลายชนิด ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเห็ด พืชที่ชอบขึ้นตามขอนไม้และที่ชื้นแฉะทั้งหลาย มีหลายสายพันธุ์ที่เป็นพิษ แต่ก็มีอีกหลายชนิดที่สามารถนำมาทานได้ และสามารถเพาะพันธุ์ขายได้ด้วย มาดูกันดีกว่าค่ะว่าเห็ดแต่ละชนิดที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ให้คุณค่าต่อร่างกายอย่างไรกันบ้าง – เห็ดชิตาเกะ หรือเห็ดหอม เป็นยาทางแพทย์แผนจีน รักษาโรคได้หลากหลายชนิด ป้องกันเชื้อไวรัสและการก่อกำเนิดของเซลล์มะเร็งได้ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ให้กรดอะมิโน ให้วิตามินบี 1 บี 2 และวิตามินดีสูง บำรุงกระดูก มีปริมาณของโซเดียมต่ำจึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไต ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ลดกรดในกระเพาะอาหาร บรรเทาหวัดได้ – เห็ดหลินจือ มีคุณสมบัติช่วยต้านมะเร็ง โดยประเทศญี่ปุ่นมักใช้ควบคู่กับการรักษาโรคมะเร็งและโรคชรา เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น – เห็ดหูหนู ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาว เพิ่มภูมิต้านทาน รักษาโรคกระเพาะและริดสีดวง บำรุงไตและปอด – เห็ดแชมปิญอง หรือเห็ดกระดุม ช่วยป้องกันและต้านทานมะเร็งเต้านมได้ ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง จึงลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วยนั่นเอง – เห็ดนางฟ้า เห็ดนางรม และเห็ดเป๋าฮื้อ เป็นเห็ดในตระกูลเดียวกัน เชื่อว่าป้องกันโรคไข้หวัด ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้ –…