Category: ข่าวสุขภาพ

  • ช่วงที่อากาศอบอุ่นขึ้น ให้ระวังไข้เลือดออก

    ช่วงที่อากาศอบอุ่นขึ้น ให้ระวังไข้เลือดออก

    ช่วงที่อากาศอบอุ่นขึ้น ให้ระวังไข้เลือดออก นอกจากช่วงหน้าฝนแล้ว ช่วงที่อากาศอบอุ่นขึ้นอย่างในช่วงหน้าหนาวต่อหน้าร้อนนั้น มีผลต่อการเพิ่มจำนวนยุงลายซึ่งเป็นพาหะของเชื้อไข้เลือดออกอีกด้วยเช่นกัน ในระยะนี้จึงเป็นอีกช่วงหนึ่งที่ควรเฝ้าระวังและกำจัดต้นตอของยุงลาย เพื่อตัดตอนการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออก ปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยเป็นไข้เลือดออกมากขึ้นในทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะป่วยเป็นไข้เลือดออกมากที่สุด เพราะมีพฤติกรรมเสี่ยงในการถูกยุงกัด เช่น การไปนั่งเล่นเกมส์ในร้านอับทึบ หมกตัวอยู่คนเดียวในห้องทึบ ๆ หรืออยู่ในสถานบันเทิงเป็นเวลานาน อีกทั้งในบ้านก็ยังกรุมุ้งลวดทำให้อับลม เมื่อยุงลายเล็ดลอดเข้าไปภายในบ้าน ก็จะพัฒนาตัวเองโดยหาที่วางไข่ตามจุดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคอห่าน ข้อต่อน้ำทิ้ง ใต้ซิงค์หรืออ่างล้างมือ ดังนั้นหากสังเกตได้ว่ามียุงบินในบ้าน ก็เป็นสัญญาณเตือนว่ามีแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้านแน่นอน ควรรีบกำจัดทันที โดยการล้างภาชนะขังน้ำและควรเทราดซิงค์ด้วยน้ำต้มเดือดทุก ๆ สัปดาห์ด้วย โรคไข้เลือดออกนี้สามารถติดเชื้อได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ถือเป็นโรคที่อาจเป็นอันตรายได้หากไม่ได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์ ดังนั้นการเฝ้าระวังบริเวณบ้านอย่างต่อเนื่องจึงเป็นเรื่องสำคัญค่ะ

  • ออกกำลังกายพัฒนาสุขภาพ บรรเทาโรคต่าง ๆ ได้

    ออกกำลังกายพัฒนาสุขภาพ บรรเทาโรคต่าง ๆ ได้

    ออกกำลังกายพัฒนาสุขภาพ บรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ การหาเวลาการออกกำลังกายวันละ 30 นาที เพียงแต่สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ยังผลให้สุขภาพกายเราดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วยต่อต้านโรคภัยได้หลากหลาย ซึ่งการออกกำลังกายนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณดังต่อไปนี้ 1. ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกายออกทางรูขุมขนซึ่งก็คือเหงื่อนั่นเอง ช่วยลดสารพิษตกค้างในร่างกายด้วย 2. ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น กว่าร้อยละ 70 ของคนที่ออกกำลังกายจะนอนหลับได้สนิทกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย ทั้งนี้ควรออกกำลังกายก่อนเวลา 3 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยค่ะ 3. ช่วยเสริมสร้างความจำ ทำให้ความจำดีขึ้น กระตุ้นความคิดและทำให้สุขภาพจิตดี ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์และโรคทางจิตเวชอื่น ๆ ได้ 4. ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดีขึ้น ลดเวลาการย่อยลง ลดความเจ็บปวดจากโรคริดสีดวงทวารและลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ดี ส่งเสริมให้หลอดเลือดและหัวใจทำงานได้มากขึ้น เพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารด้วย 5. ทำให้มีสุขภาพจิตทีดี ลดความเครียด บรรเทาอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวลต่าง ๆ ลดความคิดในการฆ่าตัวตายได้ 6. ช่วยให้กระดูกแข็งแรง มวลกระดูกเพิ่มขึ้นและหนาแน่นขึ้น ลดความเจ็บปวดจากหลังได้ร้อยละ 80 กระตุ้นการทำงานของกระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกรานและกล้ามเนื้อโดยรอบ ช่วยขับของเสียออกจากล้ามเนื้อและกระดูกให้มีความแข็งแรงมากขึ้นได้ 7. ป้องกันโรคหวัด ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวทำงานต่อสู้กับเชื้อโรคได้รวดเร็วและตอบสนองได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงติดโรคเรื้อรังได้…

  • วัคซีนที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรฉีด

    วัคซีนที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรฉีด

    วัคซีนที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรฉีด เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และเด็กในครรภ์ คุณผู้หญิงทุกคนที่กำลังตั้งครรภ์ควรได้รับวัคซีนตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ แต่ก็มีบางรายที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนการตั้งครรภ์ หรือได้รับไม่ครบทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคระหว่างการตั้งครรภ์ได้ วัคซีนที่แนะนำให้ฉีดไว้เพื่อป้องกันสุขภาพได้แก่ – วัคซีนป้องกันไอกรน คอตีบ บาดทะยัก แม้ว่าหญิงตั้งครรภ์ผู้นั้นจะเคยได้รับวัคซีนมาก่อนก็ยังต้องฉีดไว้อยู่ดี ซึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการฉีดเพื่อให้ภูมิคุ้มกันนี้ไปสู่ลูกด้วยก็คือ ในช่วงอายุครรภ์ 27-36 สัปดาห์ เป็นวัคซีนที่มีอยู่ครบในเข็มเดียว สาเหตุที่ต้องฉีดเป็นเพราะว่าขณะนี้โรคคอตีบอาจกลับมาระบาดได้อีก โรคไอกรนเด็กมักจะติดเชื้อมาจากแม่ และบาดทะยักก็ยังเป็นการป้องกันการติดเชื้อระหว่างการตั้งครรภ์และคลอดด้วย – วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เพราะเป็นโรคที่ทำอันตรายกับคนท้องได้มากกว่าคนธรรมดา หากติดเชื้อขึ้นมาจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงมากกว่าปกติได้ ทั้งเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ปอดบวม หัวใจวาย 1 เข็มจะป้องกันได้ 1 ปี – วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เป็นวัคซีนสำคัญที่จำเป็นต้องฉีด หากไม่เคยได้รับวัคซีนเลยหรือเจาะเลือดแล้วไม่มีภูมิต้านทานเลย หญิงตั้งครรภ์จะมีโอกาสเสี่ยงได้ง่าย เช่น ได้รับจากสามีที่เป็นพาหะของโรคไวรัสตับอักเสบบี – หากในบ้านเลี้ยงสัตว์ไว้ ไม่ว่าจะเป็น สุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ ถ้าไม่แน่ใจว่ามีเชื้อพิษสุนัขบ้าหรือไม่ก็ให้ฉีดวัคซีนได้ทันที นอกจากนี้แล้วยังมีวัคซีนอีกหลายชนิดที่อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ไข้สมองอักเสบ หัด คางทูม หัดเยอรมัน โปลิโอ วัณโรค ฯลฯ…

  • ต้อหิน อาจทำให้คุณตาบอดได้แบบไม่รู้ตัว

    ต้อหิน อาจทำให้คุณตาบอดได้แบบไม่รู้ตัว

    ต้อหิน อาจทำให้คุณตาบอดได้แบบไม่รู้ตัว โรคต้อหิน เป็นโรคอันตรายที่ทำให้คนไทยตาบอดมากเป็นอันดับต้น ๆ เพราะเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการให้รู้ตัว จึงมักไม่ได้รับการรักษา ปัจจุบันมีคนไทยเป็นโรคนี้เพิ่มมากขึ้น ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งมีโอกาสมาก และพบว่าผู้หญิงมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายถึง 3 เท่าตัว อาการของโรคต้อหินนี้ หมายถึงการเสียสมดุลระหว่างน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา คือเมื่อมีการระบายออกไปน้อยกว่าการสร้างขึ้น จะเกิดการคั่งของน้ำในลูกตา ทำให้เกิดแรงดันในลูกตาสูงขึ้น บางครั้งสูงมากจนลูกตาแข็งเหมือนหิน ความดันในลูกตานี้จะมากจนไปกดเซลล์ประสาทจนตาเสื่อม ทำให้ลานสายตาแคบลง ตามัว และบอดได้ในที่สุด กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ ก็มักเป็นคนที่มีกรรมพันธุ์ในครอบครัวอยู่แล้ว, ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี, คนที่เคยกินหรือฉีด หรือทาสตีรอยด์มาก่อน, เคยผ่าตัดโรคทางตาหรือมีอุบัติเหตุทางตามาก่อน ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน คอพอกเป็นพิษ คนที่สายตาสั้นหรือยาวมาก ทำให้การระบายน้ำในลูกตาออกยาก ฯลฯ อาการของต้อหิน หากเป็นแบบเฉียบพลันผู้ป่วยจะปวดหัว ปวดตารุนแรงมาก มองเห็นไฟเป้นวงแบบรุ้งกินน้ำ ผู้ป่วยจะไปรับการรักษาได้ทัน แต่ส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวเพราะความดันเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ดังนั้นจึงทุกคนที่อายุเกิน 35 ปีขึ้นไปจึงควรไปตรวจคัดกรองเป็นประจำ เพื่อเฝ้าระวังโรคต้อหิน เพราะหากมีการสูญเสียการมองเห็นแล้ว ก็ไม่สามารถรักษาให้กลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีก การตรวจสายตาแบบง่าย ๆ ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ก็เพียงนำเอามือปิดตาไว้ทีละข้าง แล้วอ่านหนังสือหรือมองสิ่งของ เปรียบเทียบดูทั้งสองข้างว่าชัดเจนหรือเห็นได้กว้างเท่ากันหรือไม่ หากมีความผิดปกติควรไปขอรับการตรวจจากจักษุแพทย์เพิ่มเติม…

  • ประโยชน์ 14 ข้อจากการออกกำลังกาย

    ประโยชน์ 14 ข้อจากการออกกำลังกาย

    ประโยชน์ 14 ข้อจากการออกกำลังกาย 1. ลดความเจ็บปวดของร่างกายลงได้หากเกิดอุบัติเหตุหรือความเจ็บป่วย เพราะข้อต่อ กล้ามเนื้อต่าง ๆ จะมีความแข็งแรง จึงทำให้ได้รับผลกระทบจากความเจ็บป่วยหรือเหตุไม่คาดฝันต่าง ๆ ได้น้อยลง 2. ภูมิใจในรูปร่างที่เซ็กซี่ของตนเอง มีความมั่นใจมากขึ้น ทำให้รู้สึกดีต่อตัวเองมากขึ้น ช่วยกระตุ้นความรู้สึกทางเพศให้มากขึ้นด้วย 3. การออกกำลังกายลดการอักเสบในช่องปากได้ จึงมีปัญหาโรคปริทันต์น้อยลงด้วย 4. ช่วยปลอดปล่อยพลังงานสะสมในร่างกายออกมา ลดอาการอ่อนเพลีย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า อารมณ์ดีขึ้น 5. ลดปริมาณไขมันที่เกิดขึ้นจากความเครียด หรือน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นจากความวิตกกังวล 6. ลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดลงได้ถึงร้อยละ 33 สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้มากขึ้น 7. บำรุงสายตาได้ด้วยนะ ลดภาวะจุดรับภาพเสื่อมที่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุได้ถึงร้อยละ 70 แต่ระหว่างกายออกกำลังกายกลางแจ้งควรสวมแว่นกันรังสียูวีไว้ด้วยล่ะ 8. ช่วยให้นอนหลับได้ลึกขึ้น ยาวนานขึ้น นอนหลับสนิทขึ้น สุขภาพคุณจึงดีขึ้นหลายส่วน 9. แม้แต่การเดินก็ยังช่วยให้คุณห่างไกลโรคเบาหวานได้อีกหลายก้าวแล้ว 10. การออกกำลังกายช่วยลดไขมันรอบเอว ลดแก๊สในร่างกาย กระตุ้นการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้ ป้องกันอาการท้องผูก ท้องเฟ้อ เร่งให้กระบวนการย่อยอาหารเร็วขึ้น 11. ทำให้สมองสดใสขึ้น มีความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ลดลง ป้องกันภาวะสมองตื้นสร้างกล้ามเนื้อให้สมองของตนเองได้…

  • ระวังการใช้สมุนไพร “ปอบิด” เสี่ยงไตวายได้

    ระวังการใช้สมุนไพร “ปอบิด” เสี่ยงไตวายได้

    ระวังการใช้สมุนไพร “ปอบิด” เสี่ยงไตวายได้ ปัจจุบันนี้มีการนิยมนำเอาสมุนไพรบางชนิดมาช่วยบรรเทาและรักษาโรคเบาหวานกันมากขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือ “ปอบิด” หรือ “ปอกะบิด” นั่นเอง ซึ่งแม้จะมีฤทธิ์ช่วยในการลดน้ำตาลได้เลือดได้ แต่ก็พบว่ามีผู้ป่วยบางรายมีอาการไตวายเป็นผลข้างเคียงด้วย อันตรายมาก! ซึ่งมีรายงานจากการวิจัยพบว่า ปอบิดนี้ช่วยรักษาเบาหวานได้จริง สามารถลดระดับน้ำตาลในหนูทดลองได้ แต่ก็ทำลายตับของหนู และกระตุ้นหัวใจของกบได้ด้วย ซึ่งสมุนไพรดังกล่าวยังไม่มีงานวิจัยในด้านพิษวิทยาล่าสุดนี้มีงานวิจัยจาก รศ.รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่าแม้ปอบิดจะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ให้ผลใกล้เคียงกับยาแผนปัจจุบัน แต่ก็ไม่สามารถทดแทนยารักษาเบาหวานได้จริง ผ็ป่วยควรตรวจการทำงานของตับและไตทุก 3 เดือน และห้ามใช้สมุนไพรชนิดนี้ในผู้ที่มีประวัติเป็นโรคตับหรือโรคไต รวมไปถึงผู้ที่มีพันธุกรรมเป็นโรคตับโรคไตในครอบครัวด้วย ผู้ป่วยเบาหวานนั้นมักจะมีตับ ไต ตับอ่อน หัวใจไม่แข็งแรงอยู่แล้ว เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย หากต้องการใช้สมุนไพรไม่ควรกินติดต่อกันเกิน 7 วัน เพราะปริมาณสารเคมีจากสมุนไพรควบคุมได้ยาก และไม่ควรกินแทนยา จึงควรมีช่วยหยุดพักในการกินหรือทานสมุนไพรชนิดอื่น ๆ สลับกันไป เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่คาดไม่ถึงได้อีกในอนาคตค่ะ

  • ว่ายน้ำ หรือดำน้ำนาน ๆ ร่างกายขาดน้ำได้นะคะ

    ว่ายน้ำ หรือดำน้ำนาน ๆ ร่างกายขาดน้ำได้นะคะ

    ว่ายน้ำ หรือดำน้ำนาน ๆ ร่างกายขาดน้ำได้นะคะ คนที่ชอบว่ายน้ำ หรือดำน้ำนาน ๆ จะเกิดการสูญเสียความร้อนผ่านทางผิวหนัง เร็วกว่าอยู่บนบกถึง 20 เท่า ร่างกายจึงมีกลไกป้องกันการสูญเสียความร้อน โดยหลอดเลือดที่ผิวหนังของคนเราจะมีการหดตัว เพื่อให้มีการไหลเวียนเลือดที่จะนำพาความร้อนให้สูญเสียไปกับน้ำที่ผิวหนังนั้นลดลง เลือดในร่างกายเราจะถูกส่งไปยังอวัยวะภายในแทน เช่น หัวใจ ไต สมอง เป็นต้น การที่มีเลือดไหลผ่านไตมากขึ้นนั้นจะเกิดกระบวนการกรองที่ไตสูงขึ้น มีการผลิตปัสสาวะมากขึ้น ร่างกายจึงสูญเสียน้ำไปในรูปแบบของปัสสาวะ ทำให้เกิดภาวะร่างกายขาดน้ำ เมื่อเราแช่อยู่ในน้ำนาน ๆ นั่นเอง การขาดน้ำนาน ๆ จะส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ความเข้มข้นของเลือดสูงขึ้น เลือดไหลเวียนได้ช้าลง เกิดการปลดปล่อยก๊ายในร่างกายจากเนื้อเยื่อต่าง ๆ สู่เลือดช้าและยากขึ้น ทำให้มีการสะสมของก๊าซไนโตรเจนมากกว่าปกติ จนเกิดอาการ DCS ได้ ดังนั้นจึงควรป้องกันไว้ก่อน ด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอ ทั้งก่อนและหลังดำน้ำ วิธีการสังเกตก็คือให้ดื่มน้ำจนกว่าจะปัสสาวะออกมาจึงถือว่าเพียงพอ หลีกเลี่ยงครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ กาแฟ ช็อกโกแลต เพราะมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะได้ รวมไปถึงยากลุ่มยาขับปัสสาวะด้วย เพราะจะยิ่งทำให้การขาดน้ำรุนแรงมากขึ้น หากในระหว่างต้องดำน้ำเกิดเจ็บป่วยเป็นโรคท้องเสีย เมาเรือ เมาคลื่น ก็ควรดูแลในเรื่องของปริมาณน้ำในร่างกายมากเป็นพิเศษด้วยนะคะ

  • ชาอู่หลง ลดความอ้วนได้จริงหรือไม่

    ชาอู่หลง ลดความอ้วนได้จริงหรือไม่

    ชาอู่หลง ลดความอ้วนได้จริงหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนชาติไหนๆ ก็มักจะค้นหาเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มาช่วยให้สิ่งที่ต้องการบรรลุเป้าหมายโดยเร็วและใช้แรงกายน้อยที่สุดกันทั้งนั้น การหาทางลัดที่ว่าไม่เว้นแม้กระทั่งการลดความอ้วนให้ได้เร็ว ๆ โดยไม่ต้องลดอาหารหรือออกกำลังกาย สินค้าที่เป็นทางลดในการลดความอ้วนจึงเกิดขึ้นมาแรงเป็นระยะ ๆ แล้ววูบหายไป ล่าสุดที่เป็นกระแสขึ้นมาอีกก็คือ การดื่มชาอู่หลงด้วยความหวังว่าจะลดน้ำหนักได้นั่นเอง แต่นี่จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ มาดูกันค่ะ เชื่อว่าแนวคิดการดื่มชาอู่หลงเพื่อการลดน้ำหนัก น่าจะมาจากสารโพลีฟีนอลในชา ที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งเอนไซม์ไลเปสจากตับอ่อน มีบทบาทสำคัญในการช่วยย่อยสลายไขมันจากอาหาร ไขมันจึงถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายลดลง เป็นกลไกเดี่ยวกับการยาลดน้ำหนักบางตัวในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเคยมีการศึกษาในหญิงชาวญี่ปุ่นพบว่าการดื่มชาอู่หลงนี้ช่วยเพิ่มการเผาผลาญขณะนั่งพักเป็นเวลาสองชั่วโมงหลังดื่มได้ราวร้อยละ 10 ซึ่งมากกว่าชาเขียวที่ให้เพียงร้อยละ 4 และยังมีการศึกษาจีนอีกพบว่าการให้คน 102 คนดื่มชาอู่หลงทุกวันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ช่วยลดน้ำหนักได้เกินกว่า 3 กิโลกรัม และส่วนที่ลดเป็นไขมันที่พุงเป็นส่วนใหญ่ แม้จะมีงานวิจัยสนับสนุนอยู่หลายชิ้น แต่ก็ยังพบข้อบกพร่องว่าการวิจัยเหล่านั้นไม่มีการทดลองแบบเปรียบเทียบโดยมีกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ ไม่มีการควบคุมปัจจัยอื่น ๆ ที่ดีพอ และชาอู่หลงที่พวกเขาดื่มนั้นเป็นชาอู่หลงจริง ๆ ไม่ใช่ชาบรรจุขวดที่วางขายด้วย เคยมีงานวิทยานิพนธ์ในเมืองไทยที่น่าสนใจได้วิจัยว่า ความสามารถต้านอนุมูลอิสระและปริมาณของโพลีฟีนอลในชาเขียวขวดที่วางขายในเมืองไทยนั้น มีน้อยกว่าชาเขียวชงสด ดังนั้นจึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าสารโพลีฟีนอลในชาอู่หลงบรรจุขวดนั้นจะมีประสิทธิภาพคงอยู่ครบถวน และแน่นอนว่าหากคุณผู้อ่านจะสังเกตฉลากโภชนาการก่อนซื้อ จะเห็นได้ว่า บางยี่ห้อนั้นเติมน้ำตาลลงไปถึง 28 กรัมต่อขวด ดื่มแล้วหวานชื่นใจดับกระหาย แต่ไขมันรอบพุงคุณไม่หายแน่ๆ กลับจะเพิ่มขึ้นไปอีกด้วยซ้ำไปค่ะ หากอยากจะดื่มจริง…

  • หลับง่ายสบายตัว ด้วยเคล็ดไม่ลับ 7 ข้อ

    หลับง่ายสบายตัว ด้วยเคล็ดไม่ลับ 7 ข้อ

    หลับง่ายสบายตัว ด้วยเคล็ดไม่ลับ 7 ข้อ อาการนอนไม่ค่อยหลับ หรือนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ นั้น มันพาลทำให้หงุดหงิดและง่วงเหงาในเวลากลางวันจริง ๆ ลองมาใช้วิธีง่าย ๆ ต่อไปนี้ช่วยปรับปรุงการนอนของคุณหน่อยดีไหมคะ 1. ก่อนนอนไม่ควรทานอาหารหนักท้องมากเกินไป เน้นอาหารจำพวกผัก ผลไม้ ลดแป้งลง ทานเนื้อสัตว์และไขมันให้น้อยลงด้วย 2. ชาจากสมุนไพรบางชนิด ช่วยย่อยให้คุณสบายท้องได้ ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยขับลม แล้วยังทำให้หลับสบายขึ้นด้วยเพียงชงอุ่นๆ ก่อนนอนดื่มสักถ้วย มีให้เลือกหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น ชาคาโมไมล์ ชาเปปเปอร์มิ้นท์ ชาตะไคร้ ชะเอมเทศ ฯลฯ 3. หากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ เช่น ฟังเพลงคลาสสิกเบาๆ เล่นโยคะ แช่น้ำอุ่น ๆ หรือนั่งสมาธิก็ได้ 4. ลองใช้น้ำมันหอมระเหยดู มีหลายกลิ่นที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด หลับสบายได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นลาเวนเดอร์ คาโมไมล์ วานิลลา ส้ม ลองหยดบนหมอนเล็กน้อย จะทำให้คุณหลับได้สนิทขึ้นมากค่ะ 5. สำหรับคนที่มีคู่รัก…

  • ขอเถอะนะ… อย่าเลี้ยงลูกให้อ้วน

    ขอเถอะนะ… อย่าเลี้ยงลูกให้อ้วน

    ขอเถอะนะ… อย่าเลี้ยงลูกให้อ้วน เด็กอ้วนจ้ำม่ำนั้นอาจจะดูน่ารักน่าอุ้ม แต่ความจริงแล้วการเลี้ยงเด็กให้อ้วนทำให้เด็กมีปัญหาสุขภาพหลายประการ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เด็กอ้วนก็เป็นไปได้ดังนี้ค่ะ – เด็กทานอาหารเก่ง ทานอะไรก็อร่อยไปหมด – เด็กไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เพื่อการเผาผลาญอาหาร – เป็นเด็กที่มีความผิดปกติของฮอร์โมน พบได้น้อย แต่ก็สามารถรักษาได้ – เด็กมีความเครียด จึงระบายด้วยการกินอาหาร ความเครียดดังกล่าวอาจจะเป็นปัญหาเรื่องเพื่อน เรื่องการเรียน หรือความไม่อบอุ่นในครอบครัว การปล่อยให้เด็กอ้วนน้ำหนักเกินนาน ๆ นั้น อาจทำให้เกิดผลเสียได้ ไม่ว่าจะเป็น การเกิดเบาหวานในเด็ก ที่มักพบในครอบครัวที่มีกรรมพันธุ์เบาหวาน ทำให้เกิดโรคไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง นอนกรน จนหยุดหายใจขณะหลับ ทำให้กระดูกและข้อต่อเสื่อมก่อนวัยอันควรเพราะต้องรับน้ำหนักมาก ๆ เป็นเวลานาน ตลอดจนอาจทำให้พัฒนาการล่าช้าลง ทั้งการหัดนั่ง หัดคลาน เดิน อาจล่าช้ากว่าเด็กทั่วไป และส่วนใหญ่เด็กอ้วนก็มักถูกเพื่อนล้อ จึงมีนิสัยเก็บตัว เข้ากับผู้อื่นไม่ค่อยได้ การเรียนและสมาธิแย่ลง หากสังเกตเห็นว่าเด็กด้วนแล้ว ควรหันมาเอาใจใส่กับสุขภาพของลูก ๆ ดังต่อไปนี้ 1. ดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของอาหารการกิน ควบคุมปริมาณของแป้ง ไม่ว่าจะเป็นข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง ของทอด…