Category: ตับ
-
6 สัญญาณเตือนโรคไต
6 สัญญาณเตือนโรคไต หากร่างกายของท่านส่งสัญญาณเตือนหกประการออกมาเช่นนี้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะอาจเป็นโรคไตได้ 1. ถ่ายปัสสาวะขัดหรือถ่ายปัสสาวะลำลาก ท่านมีปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะและอาจเป็นโรคไตด้วยก็ได้ 2. ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะในตอนกลางคืน โดยปกติกระเพาะปัสสาวะคนเราจะสามารถเก็บกักไว้ได้ประมาณหนึ่งแก้ว จึงไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะกลางดึก แต่คนที่เป็นโรคไตเรื้อรังจะไม่สามารถดูดน้ำกลับเข้าร่างกายได้ตามปกติ กลางคืนจึงปวดปัสสาวะมาก ทำให้ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ แต่หากท่านดื่มน้ำเป็นปกติก่อนนอนครั้งละ 1-2 แก้วแล้ว การลุกขึ้นมาปัสสาวะอาจไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่หากมากกว่านี้หรือไม่เคยเป็นมาก่อนควรรีบปรึกษาแพทย์ค่ะ 3. ปัสสาวะสีเลือด หรือสีน้ำล้างเนื้อ หรือขุ่นผิดปกติ แสดงว่าอาจมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ อาจเกิดจากการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ มีนิ่ว ไตอักเสบหรือเนื้องอกในทางเดินปัสสาวะเป็นต้น 4. บวมรอบดวงตา หน้า เท้า มักพบได้ในคนที่เป็นโรคหัวใจ โรคตับ โรคไต ส่วนอาการบวมที่พบได้ไตเรื้อรังคือบวมที่หลังเท้าและหน้าแข็ง ถ้าเป็นมากจะกดแล้วเป็นรอยบุ๋มลงไป 5. ปวดเอว ปวดหลัง มักมีสาเหตุมาจากมีนิ่วอยู่ในไต หรือในท่อไต อาการปวดเกิดจากการอุดตันของท่อไตหรือ ไตเป็นถุงน้ำพองออกมา จะปวดที่บริเวณบั้นเอวหรือชายโครงด้านหลัง มักปวดร้าวลงไปที่ท้องน้อย ขาอ่อน และอวัยวะเพศ และตามมาด้วยปัสสาวะสีน้ำล้างเนื้อหรือขุ่นขาว กะปริบกะปรอย หรือปวดหัวเหน่ารวมด้วย หากหมอเคาะที่หลังเบา ๆ จะปวดมากจนสะดุ้ง…
-
ไม่ต้องตกใจ.. เลือดกำไหลหยุดได้ง่าย ๆ
ไม่ต้องตกใจ.. เลือดกำไหลหยุดได้ง่าย ๆ ยิ่งในหน้าร้อนด้วยแล้ว ภาวะเลือดกำเดาไหลพบได้บ่อยยิ่งขึ้นและพบได้ทุกเพศทุกวัย ทั้งในเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่และวัยชรา มักทำให้ตนเองและคนรอบข้างตกใจได้ง่าย ๆ สาเหตุของเลือดกำเดาไหลอาจเกิดจากหลอดเลือดที่เลี้ยงเยื่อบุจมูก ซึ่งในเด็กอายุน้อยมากเกิดจากส่วนหน้าของจมูก ส่วนผู้สูงอายุมักเกิดจากส่วนหลังของจมูก แบ่งสาเหตุออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ได้แก่ 1. มาจากบริเวณจมูก เช่น ได้รับการกระแทกซึ่งพบได้บ่อยมากที่สุด หรือเกิดจากการถูก แคะ, สั่งน้ำมูกแรง ๆ, ความกดดันอาการเปลี่ยนแรงอย่างกระทันหัน เช่น การขึ้นเครื่องบิน การอักเสบในจมูก เนื้องอกในจมูกบริเวณไซนัสและโพรงหลังจมูก รวมไปถึงการได้รับอุบัติเหตุบริเวณหัวและกระดูกใบหน้าด้วย ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีเลือดกำเดาไหลปริมาณมากและเป็นซ้ำ ๆ รวมไปถึงอาจเกิดจากการผิดรูปของผนังกั้นช่องจมูกและภาวะอากาศเย็น ความชื้นต่ำได้ด้วย เยื่อบุจมูกจึงแห้งมีเลือดไหลออกมาได้ง่าย 2. เกิดจากโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, โรคไต ไตวายเรื้อรังทำให้เกร็ดเลือดทำงานผิดปกติ , ผู้ป่วยที่กินยาบางประเภท เช่น ยาสลายลิ่มเลือด แอสไพริน ซึ่งยาเหล่านี้จะทำให้เลือดไหลได้ง่ายกว่าปกติ รวมไปถึงผู้ป่วยด้วยโรคตับแข็งและโรคเลือดต่าง ๆ ที่มีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติได้อีกด้วย การบรรเทาอาการเลือดกำเดาไหลและการดูแล – ให้ผู้เงยหน้าขึ้น บีบจมูกด้วยนิ้วชี้และนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้แน่นประมาณ 5-10 นาทีจนกว่าเลือดจะหยุดไหล…
-
พิษของสุราที่มีต่อตับ!!!
พิษของสุราที่มีต่อตับ!!! สุรานั้น ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกเป็นเวลายาวนานกว่าสี่พันปีแล้ว มีหลากหลายชนิดและรสชาติแตกต่างกันไปตามแต่เชื้อต้นกำเนิดและผลไม้ที่นำมาหมัก ไม่ว่าจะเป็น เหล้า วิสกี้ ไวน์ เบียร์ พันช์ ฯลฯ และสุราเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เป็นพิษต่อสุขภาพของมนุษย์ด้วย แม้แต่ในศาสนาพุทธเองก็ยังให้พึงละเว้นสุราไว้เพื่อมิให้ขาดสติ เพราะผลของการดื่มเหล้านั้นนอกจากอุบัติเหตุที่ส่งผลเสียแก่ผู้อื่นโดยรอบตัวแล้ว ก็ยังส่งผลให้ตัวเองได้รับอันตรายจากสุราไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตับนั่นเอง สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ ตับเป็นอวัยวะหลักที่ย่อยแอลกอฮอล์ การดื่มเหล้าเป็นประจำจะเกิดปัญหากับตับในสี่แบบก็คือ ไขมันพอกตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง จนถึงมะเร็งตับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่ดื่มจะเป็นโรคตับเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้ – ขึ้นอยู่กับปริมาณและระยะเวลาที่ดื่ม ซึ่งมีการศึกษาพบว่าเมื่อดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 30 กรัมต่อวันในเพศชาย และ 20 กรัมในเพศหญิงแล้ว จะถือว่าอยู่ในข่ายที่ได้รับความเสี่ยงในการเป็นโรคตับ – ขึ้นอยู่กับอายุและเพศ หากดื่มในปริมาณเท่ากันแล้ว ผู้หญิงจะเสี่ยงเป็นโรคตับมากกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า – ขึ้นอยู่กับเชื้อไวรัสตับอักเสบที่มีอยู่เดิม หากมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซีอยู่แล้วจะทำให้การดำเนินโรคแย่กว่าผู้ที่เป็นโรคตับจากแอลกอฮอล์อย่างเดียว – พันธุกรรมและยาบางชนิดก็เป็นปัจจัยเสี่ยงกระตุ้นโรคด้วยเช่นกัน อาการของโรคตับนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของโรค ผู้ที่ไขมันพอกตับ หรือตับอักเสบเล็กน้อยจะไม่มีอาการผิดปกติหรืออาการจะไม่เฉพาะเจาะจงมากนัก เช่น ปวดชายโครงขวา มีไข้ อ่อนเพลีย ฯลฯ ส่วนผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง จะมีอาการคือ…
-
กลูต้าไทโอนทำให้ผิวขาวใสได้จริงหรือ?
กลูต้าไทโอนทำให้ผิวขาวใสได้จริงหรือ? กลูต้าไทโอนเป็นสารที่พบได้ในพืช ผัก ผลไม้ทั่วไป รวมทั้งเนื้อสัตว์ด้วย แหล่งของกลูต้าไทโอนที่พบได้มากได้แก่ อะโวคาโด หน่อไม้ฝรั่ง สตรอเบอ์รี่ มะเขือเทศ ส้ม บร็อกโคลี่ ผักโขม เกรปฟรุต ฯลฯ และกลูต้าไทอนนี้ยังพบได้ในเซลล์ตับของเราเอง ซึ่งมนุษย์ผลิตได้เองตามธรรมชาติ แต่ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น กลูต้าไทโอนเป็นกรดอมิโนที่สำคัญในการต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายได้ ช่วยให้ตับขับสารพิษออกจากร่างกายด้วย นอกจากนี้แล้วยังเป็นสารที่นำมารักษาโรคข้ออักเสบ มะเร็ง พาร์กินสัน โรคตับ โรคไต โรคเอดส์ รักษาอาการหูตึงจากเสียงดัง รักษาภาวะเป็นหมันในเพศชายได้ ส่วนที่ทานแล้วผิวขาวขึ้นนั้นเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น เพราะกลูต้าไทโอนนั้นจะเข้าไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินบนผิวหนังและตามร่างกายด้วย ด้วยความที่สารนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายเทียบเท่าวิตามินซีหรือวิตามินอี การเพิ่มสารนี้เข้าไปในร่างกายจะช่วยให้มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น ช่วยให้อายุยืนยาวขึ้น ซึ่งนั่นเป็นวัตถุประสงค์หลักของกลูต้าไทโอนมากกว่าผิวขาวใส แต่ก็ใช่ว่าจะกินกลูต้าไทโอนเข้าไปแล้วจะได้รับผลอย่างที่ต้องการทุกครั้ง หากคุณดื่มเหล้า เบียร์ สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ หรือทานยาพาราเซตามอลอยู่บ่อย ๆ ตลอดจนออกกำลังกายหนัก ๆ ก็จะทำให้กลูต้าไทโอนสูญเสียประสิทธิภาพลงไปได้ และการกินกลูต้าไทโอนนี้ก็อาจทำให้มีผลข้างเคียงด้วยคือ ทำให้ผิวหนังแดง ความดันโลหิตต่ำ หอบหืดเฉียบพลัน จึงควรสังเกตอาการหลังการกินไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามการทานอาหารทุกหมู่ที่มีความสดใหม่จากธรรมชาติ และดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้ผิวพรรณดูสดใส เปล่งปลั่งร่างกายแข็งแรงได้อย่างเต็มที่ที่สุดแล้วค่ะ
-
เคล็ดลับ 5 ประการห่างไกลมะเร็งตับ
เคล็ดลับ 5 ประการห่างไกลมะเร็งตับ “ตับ” ถือได้ว่าเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดภายในร่างกาย จะอยู่ภายในช่องท้องบริเวณชายโครงด้านขวา หน้าที่ขอตับก็คือช่วยขจัดของเสียสะสมในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ยา สารเคมี หรือสารพิษที่ร่างกายไม่ต้องการ ทำหน้าที่เหมือนคลังสะสมอาหารเพื่อเป็นพลังงานไปหล่อเลี้ยงและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วย นับเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมากของร่างกาย แต่หากเราดูแลร่างกายเราไม่ดีก็อาจทำให้เกิดโรคตับขึ้นได้ โดยโรคตับนี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบทุกชนิด การดื่มเหล้า การทานยาบางชนิด ทั้งยาฆ่าเชื้อ ยาคุมกำเนิด และที่พบบ่อยก็คือไขมันพอกตับในผู้ที่เป็นโรคอ้วน ซึ่งสาเหตุเหล่านี้อาจทำให้ตับอักเสบ และกลายเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ด้วย เคล็ดลับ 5 ประการที่จะช่วยให้เราห่างไกลมะเร็งตับมีดังต่อไปนี้ 1. ผู้ที่มีอาการป่วยเกี่ยวกับโรคตับควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และไปพบแพทย์ตามนัดอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติตามแพทย์แนะนำ ส่วนคนทั่วไปที่ยังไม่เป็นโรคตับก็ควรป้องกันตนเองจากอาการอักเสบ 2. ห่างไกลอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษทั้งหลาย รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด เพราะอาจทำลายเซลล์ตับได้มากกว่าอวัยวะอื่น ๆ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงได้อีกก็คือของหมักดอง ที่อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค อาหารปิ้ง ๆ ย่าง ๆ หรือทอดน้ำมัน เพราะมีสารก่อมะเร็งเป็นจำนวนมาก อาหารที่มีไขมันสูงก็เช่นเดียวกัน และรวมไปถึงยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดข้อ ยาคุม ยาฆ่าเชื้อที่อาจส่งผลเสียต่อตับได้ 3. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม…
-
ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ที่มีต่อสุขภาพของเรา
ผลกระทบของแอลกอฮอล์ ที่มีต่อสุขภาพของเรา สุราหรือแอลกอฮอล์นั้นเป็นพิษภัยต่อสุขภาพร่างกาย ทำให้เกิดโรคได้ถึงกว่าหกสิบชนิด เมื่อดื่มสุราลงไป แล้วร่างกายดูซึมเข้าสู่กระแสเลือด แอลกอฮอล์จะกระจายตัวไปทั่วร่างกาย ทำให้หัวใจเต้นเร็วและถี่ขึ้น ความดันเลือดจึงเพิ่มขึ้น แล้วยังมีฤทธิ์ต่อสมองส่วนกลางด้วยการไปกดสมองทำให้เซลล์สมองเสื่อม มีปัญหาความจำเสื่อม และสมองลีบฝ่อ หากเป็นมากเข้าก็จะอาจเกิดอาการประสาทหลอนได้ อีกทั้งสุราเข้าออกฤทธิ์เข้ากดศูนย์กลายใจและศูนย์ควบคุมการไหลเวียนของโลหิตในสมองจะทำให้เสียชีวิตได้ การดื่มสุรายังทำให้เกิดการระคายเคืองเฉพาะที่ สังเกตง่าย ๆ เลยก็คือเมื่อดื่มลงคอไปก็จะรู้สึกบาดคอแล้ว แล้วลามลงไปสร้างความระคายเคืองที่หลอดอาหาร จนทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุชั้นในสุดของผนังหรือกระเพาะอาหาร แล้วยังทำให้ลำไส้เล็กเกิดทะลุได้อีก นอกจากนั้นแอลกอฮอล์ยังเข้าขัดขวางการดูดซึมของอาหารบางชนิด ไม่ว่าจะเป็น ไขมัน กรดอะมิโน กรดโฟลิก วิตามินบี 1 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 ที่อาจทำให้เซลล์ของตับได้รับการระคายเคือง และทำให้ตับโตขึ้น แอลกอฮอล์ยังทำให้การน้ำย่อยจากตับอ่อนไม่สามารถไหลเข้าไปในลำไส้เล็กได้ น้ำย่อยจึงย่อยตับอ่อนเอง ทำให้ตับอ่อนเลือดออกอย่างฉับพลันและทำให้อักเสบได้ มักพบว่าผู้ที่มีอาการเช่นนี้ 20% ของจะเสียชีวิตตั้งแต่ครั้งแรกที่มีปัญหากับตับอ่อน ทำให้การสร้างอินซูลินบกพร่อง จนกลายเป็นโรคเบาหวานได้ในที่สุด และทำให้เกิดอาการตับแข็งขึ้นทุกครั้งที่ดื่มด้วย แต่กลับมีนักวิจัยบางกลุ่มที่บอกว่าแอลกอฮอล์มีประโยชน์ต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจของทั้งเพศชายและหญิง โดยได้กล่าวว่า หากได้ดื่มแอลกอฮอล์อย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มระดับของคอเลสเตอรอลตัวดี ๆ ที่จะช่วยป้องกันระบบภายในหลอดเลือดได้ หากยิ่งเป็นคนที่ไม่ทานอาหารทอด ๆ มัน ๆ แล้วยังออกกำลังกายอยู่เสมอแล้ว การดื่มแอลกอฮอล์วันละเล็กน้อยแบบนี้จะสร้างคอเลสเตอรอลตัวดี ๆ…
-
ทำไม? เราจึงควรงดดื่มเหล้าในช่วงเข้าพรรษา
ทำไม? เราจึงควรงดดื่มเหล้าในช่วงเข้าพรรษา เพราะคนไทยเรานับถือศาสนาพุทธ คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นวัยไหน รุ่นไหน จึงมักจะใช้วันสำคัญทางศาสนามาเป็นฤกษ์งามยามดีในการเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ หรือการลดเลิกสิ่งที่ไม่เป็นมงคลกับชีวิต ดังนั้นทุกปี วันเข้าพรรษานอกจากจะเป็นวันที่พ่อแม่มักจะบวชลูกชายตามประเพณี เพราะเชื่อว่าได้บุญมากแล้ว ไม่กี่ปีมานี้ยังเป็นวันที่ร่วมกันรณรงค์เพื่อเริ่มต้นงดดื่มสุราด้วย ซึ่งการงดดื่มสุรานี้ก็ถือเป็นการถือบวชในรูปแบบหนึ่งด้วย เรียกว่าการบวชทางใจนั้นเอง เป็นการตั้งจิตอธิษฐานเพื่อขอละเว้นหรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งหลาย รวมไปถึงการดื่มเหล้าที่จะทำให้เกิดผลเสียหายตามมาอีกมากมาย ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นในสังคม รวมทั้งการดื่มสุรายังทำลายความอบอุ่นในครอบครัวมากกว่าครอบครัวที่ไม่ดื่มสุรา 4 เท่า (จากผลการสำรวจ) รวมทั้งยังเป็นต้นเหตุของการหย่าร้างในคู่สามีภรรยาอีกมากด้วย การดื่มเหล้าไม่ได้สร้างปัญหาให้กับสังคมและคนรอบข้างเท่านั้น แม้สุขภาพของผู้ที่ดื่มเองก็ถูกทำลายด้วยเช่นกัน จากการวิจัยพบว่าผู้ที่ดื่มสุราวันละ 20-40 กรัม (ของแอลกอฮอล์บริสุทธิ์) หรือเทียบเท่ากับเบียร์ 1-2 ขวด จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคตับแข็งมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มถึงเกือบ 10 เท่า! นั่นเป็นเพราะเมื่อคุณดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป มันจะเข้าทำลายตับ ร่างกายจึงยึดพังผืดเพื่อยึดเซลล์ไว้ทำให้ตับที่อ่อนนุ่มอยู่แข็งตัวขึ้น และทุกครั้งที่คุณดื่มเหล้าเข้าไป ตับก็จะยิ่งแข็งขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นตับแข็งในที่สุด อีกทั้งนอกจากทำอันตรายกับตับแล้ว ยังทำเกิดมะเร็งชนิดส่วนต่าง ๆ ได้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งช่องปาก ฯลฯ มากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มถึง 3 เท่า! เมื่อเห็นได้ชัดแล้วว่าการดื่มเหล้าไม่ทำให้เกิดประโยชน์ใด…
-
ล้างพิษตับด้วยอาหารเพื่อสุขภาพ
ล้างพิษตับด้วยอาหารเพื่อสุขภาพ ตับมีความสำคัญต่อร่างกายเราอย่างไร?.. ตับทำหน้าที่ในการขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยกระบวนการย่อยอาหาร ช่วยเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงานมากขึ้น หากตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วก็จะส่งผลให้ร่างกายมีกำลังวังชา กำจัดของเสียออกจากระบบอวัยวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการติดเชื้อให้กับร่างกายได้ด้วย ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องล้างพิษตับด้วยผัก และอาหารที่มีคุณประโยชน์ดังต่อไปนี้ – ผักที่ช่วยล้างพิษตับได้แก่ กระเทียม หัวหอม มะนาว ผักใบเขียว ดอกกะหล่ำ ฯลฯ ช่วยละลายสารพิษที่ปะปนมากับอาหารอื่นให้เจือจางลง เพิ่มการผลิตน้ำดี ทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้การขับถ่ายดีขึ้น – ส่วนผลไม้ที่ช่วยฟอกพิษให้ตับก็ได้แก่ ผลไม้ตระกูลเบอรี่ องุ่น ส้ม มะละกอ แคนตาลูป พรุน ลูกเกรด มีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ช่วยในกรระบวนการขับสารพิษ ทำให้ตับทำงานน้อยลง – อาหารที่มีวิตามินบีสูง เช่นธัญพืชไม่ขัดสีต่าง ๆ – อาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม มะนาว พริก ฝรั่ง ผักใบเขียว ช่วยในกระบวนการล้างพิษของตับ – เลซิทิน ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของตับ พบมากในไข่แดง ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ผักตระกูลกะหล่ำ เนื้อปลา…
-
โด๊ปด้วย “หอยนางรม” ทำได้จริงเหรอ?
โด๊ปด้วย “หอยนางรม” ทำได้จริงเหรอ? ผู้ชายทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลาย มักจะชอบหาอาหารที่ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ มีพละกำลังแล้วก็อึดได้นาน ๆ เพื่อเอาใจสาวให้ติดใจกันไงล่ะค่ะ แล้ว “หอยนางรม” เนี่ยก็เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่เชื่อกันว่าเป็นอาหารเพิ่มสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย ซึ่งก็เป็นเพราะว่า 1. ในหอยนางรมนั้นมีแร่ธาตุที่ทำให้สเปิร์มเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว ซึ่งก็สังกะสีที่มีอยู่ในปริมาณสูงกว่าอาหารชนิดอื่น ๆ 2. แล้วยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการต่อมลูกหมากอักเสบได้ 3. รวมไปถึงหอยนางรมและอาหารทะเลต่าง ๆ ยังมีกรดไขมันโอเมก้าสาม ที่เป็นสารอีกชนิดหนึ่งที่สร้างฮอร์โมนที่ชื่อว่า พรอสตาแกลนดิน มีความสำคัญต่อการตอบสนองทางเพศ แต่ในขณะเดียวกัน หอยนางรมก็อาจเป็นพิษได้ เพราะหากหอยนางรมนั้นไม่สดพอ ก็อาจมีเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคลำไส้อักเสบ หรืออหิวาตกโรคได้ และผู้ที่ภูมิคุ้มกันไม่ปกติและเป็นโรคตับ ก็มักจะติดเชื้อในกระแสเลือด ทำให้มีอาการป่วยอย่างรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ รวมไปถึงปริมาณของคอเลสเตอรอลในหอยนางรมนั้นสูงมาก จึงแนะนำให้ทานแต่พอดีจะดีกว่าค่ะ
-
ดูแลตับให้เป็น…ต้องรู้เวลาทำงานของร่างกาย
ดูแลตับให้เป็น…ต้องรู้เวลาทำงานของร่างกาย พฤติกรรมที่เราทำกันจนเคยชินทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการนอนดึกตื่นสาย กินมากจนล้นกระเพาะ ไม่ยอมกินอาหารเช้า กินยามากเกินไป และกินแต่อาหารปรุงแต่งไปด้วยสีผสมอาหาร วัตถุกันเสีย วัตถุปรุงแต่ง ร่วมทั้งกินอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันด้อยคุณภาพและไม่เป็นประโยชน์ ซึ่งนอกการลดการบริโภคน้ำมันลง แล้วเปลี่ยนน้ำมันมาเป็นน้ำมะกอกที่ดีต่อสุขภาพแล้ว ก็ยังควรดูแลร่างกายตามตารางเวลาที่อวัยวะต่าง ๆ ทำงานอย่างถูกต้องด้วย ตับของเราและอวัยวะต่าง ๆ ของเราจึงจะมีสุขภาพดีไม่เสื่อมสภาพไปก่อนวัยอันควร ต่อไปนี้คือตารางเวลาการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ที่เราควรนำไปปรับใช้ให้ดีต่อร่างกายเราค่ะ 1. ช่วงเวลา 21.00-23.00 น. ช่วงนี้ร่างกายจะกำจัดสารพิษต่าง ๆ โดยระบบต่อต้านเชื้อโรคภายในร่างกาย หรือระบบน้ำเหลือง ซึ่งช่วงเวลานี้ควรเอาไว้พักผ่อน และผ่อนคลายด้วยการเข้านอน 2. ช่วงเวลา 23.00-01.00 น. ช่วงนี้ตับจะเริ่มกระบวนการกำจัดสารพิษ ช่วงนี้จึงควรหลับอย่างสนิท เพื่อให้ช่วงเวลาหลังจากนี้ ก็จะเป็นช่วงเวลากำจัดสารพิษในน้ำดีซึ่งควรได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่เช่นกัน 3. ช่วงเวลา 01.00-03.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ปอดจะกำจัดสารพิษ ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับปอดจึงมักไอรุนแรงในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นระบบการกำจัดสารพิษโดยอัตโนมัติ จึงไม่จำเป็นต้องทานยาแก้ไขใด ๆ 4. ช่วงเวลา 05.00-07.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ลำไส้ใหญ่กำจัดสารพิษ เราจึงควรขับถ่ายในเวลานี้ 5.…