Category: เอดส์ AIDS & เอชไอวี HIV
-
AVAC สรุปความคืบหน้าเรื่อง โรคเอดส์ ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา
AVAC สรุปความคืบหน้าเรื่อง โรคเอดส์ ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา รายงานฉบับนี้ชื่อว่า Research and Reality ที่ถูกนำเสนอที่งานประชุมนานาชาติว่าด้วยเรื่อง AIDS และโรคที่แพร่จากการมีเพศสัมพันธ์ในทวีปแอฟริกา AVAC ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่หวังผลกำไรซึ่งมีภารกิจรณรงค์ต่อสู้การแพร่ของเชื้อ HIV เปิดเผยรายงานล่าสุดที่สรุปความคืบหน้าของการวิจัยเรื่อง AIDS ในรอบ 30 กว่าปีที่ผ่านมา รายงานฉบับนี้ชื่อว่า Research and Reality ที่ถูกนำเสนอที่งานประชุมนานาชาติว่าด้วยเรื่อง AIDS และโรคที่แพร่จากการมีเพศสัมพันธ์ในทวีปแอฟริกา ซึ่งมีแอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ Mitchel Warren ผู้อำนวยการบริหารของ AVAC กล่าวว่า หน่วยงานของสหประชาชาติตั้งเป้าหมายว่า ภายในอีก 2 ปีจากนี้ ควรจะมีประชากรโลก 15 ล้านคนที่ได้รับการบำบัดโรค AIDS ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายที่ต้องอาศัยการเตรียมตัวหลายเรื่อง ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจุบันจะมีการคิดค้นวิธีลดการแพร่ของเชื้อ HIV เช่น เจลฆ่าเชื้อและยาต้านไวรัส แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่ได้ถูกใช้อย่างสม่ำเสมอและกว้างขวางเท่าที่ควร Mitchel Warren แนะนำว่านอกจากการเพิ่มช่องทางการแก้ปัญหาแล้ว ควรมีการณรงค์ในระดับท้องถิ่นด้วย
-
นักวิทยาศาสต์แก้ปัญหา การเข้าถึงเครื่องมือวัดระดับเม็ดเลือดขาว ในผู้ป่วยโรคเอดส์
นักวิทยาศาสต์แก้ปัญหา การเข้าถึงเครื่องมือวัดระดับเม็ดเลือดขาว ในผู้ป่วยโรคเอดส์ ปัญหาของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ในประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญขณะนี้คือข้อจำกัดเรื่องการเข้าถึงเครื่องมือแพทย์ที่ใช้วัดระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 เซลล์ดังกล่าวจะถูกทำลายโดยเชื้อ HIV ดังนั้นแพทย์จึงต้องคอยจับตาดูระดับ CD4 อย่างใกล้ชิด นักวิศวกรรมชีววิทยา พยายามช่วยหาวิธีแก้ปัญหาเรื่องข้อจำกัดในการเข้าถึงเครื่องมือวัด CD4 ด้วยการพัฒนาอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ใช้ได้สะดวก ทีมงานของอาจารย์ผู้นี้สามารถสร้างเครื่องมือต้นแบบขนาด 3 เซนติเมตร คูณ 4 เซนติเมตร ที่สะดวกใช้ เหมือนกับว่านำบริการวัดเซลล์เม็ดเลือดขาวมาสู่คนไข้ แทนที่นำคนไข้ไปสถานพยาบาล Rashid Bashir มีหุ้นอยู่ในบริษัท Daktari Diagnostics ซึ่งกำลังพัฒนาอุปกรณ์นี้เชิงพาณิชย์อยู่ เขาบอกว่าเป็นไปได้ว่าเครื่องมือนี้อาจวัดผลเม็ดเลือดขาวของผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในขั้นตอนเคมีบำบัดได้ด้วย ผู้เชี่ยวชาญอีกคนหนึ่ง Xuanhong Cheng ที่มหาวิทยาลัย Lehigh บอกว่าน่าจะใช้เวลาอีกหลายปีกว่าอุปกรณ์ต้นแบบ จะสามารถนำไปใช้ผลิตเพื่อวางจำหน่ายอย่างกว้างขวางได้
-
สหประชาชาติ รายงานถึงผู้ติดเชื้อเอดส์ ที่มีความลดลงถึง 30%
สหประชาชาติ รายงานถึงผู้ติดเชื้อเอดส์ ที่มีความลดลงถึง 30% โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติรายงานว่าจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ทั่วโลกได้ลดลงอย่างมากโดยลดลงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สถาบันสุขภาพแห่งหสรัฐ ชี้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ลดลงเพราะว่ามีการบำบัดผู้ติดเชื้อรายเดิมด้วยยาต้านไวรัส ด็อกเตอร์เฟาชี่ กล่าวว่าหากผู้ติดเชื้อได้รับยาต้านไวรัส นอกจากจะช่วยยืดชีวิตแล้วยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อต่อไปผู้อื่น ค่าใช้จ่ายของยาต้านไวรัสเอดส์ได้ลดลงมาจาก 10,000 ดอลล่าร์สหรัฐต่อปีต่อคนหรือสามแสนบาทไปอยู่ที่ประมาณ 140 ดอลล่าร์สหรัฐเท่านั้น หรืออยู่ที่ 4,200 บาทต่อปีต่อคน ด็อกเตอร์เฟาชี่กล่าวว่าค่ายาต้านไวรัสว่าคุ้มค่าแม้แต่สำหรับบรรดาประเทศรายได้น้อยก็ตา การรณรงค์เกี่ยวกับโรคเอดส์ได้ช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศของคน ให้หันไปใช้ถุงยางอนามัยและมีการเลิกใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในกรณีของผู้ใช้ยาเสพติดประเภทฉีดยาเข้าเส้น มาตราการเหล่านี้ช่วยป้องกันไม่ให้มีการแลกเปลี่ยนเลือดและน้ำอสุจิ ที่เป็นตัวแพร่เชื้อเอชไอวีนอกจากนี้การขลิบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย ที่ช่วยลดการติดเชื้อได้กลายเป็นเรื่องปกติที่พบได้ทั่วไป โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติชี้ว่าการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ได้ลดลงในทุกกลุ่มอายุ แต่ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดคือกลุ่มเด็ก เนื่องจากผู้หญิงตั้งครรภ์ได้รับยาต้านไวรัสเอดส์และลดโอกาสส่งผ่านเชื้อไปสู่ทารกในครรภ์ลงไปต่ำกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ นี่ส่งผลมีเด็กติดเชื้อเอดส์จากมารดาลดลงราว 50 เปอร์เซ็นต์ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการสาธารณสุขชี้ว่าการต่อต้านเอดส์มาถึงจุดพลิกผันของสถานการณ์เอดส์ ด็อกเตอร์เฟาชี่แห่งสถาบันสุขภาพแห่งหสรัฐกล่าวว่าจุดพลิกผันคือ จุดที่มีจำนวนผู้เข้ารับยาต้านไวรัสมากมากกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ด็อกเตอร์เฟาชี่ประมาณว่าต่อจำนวนผู้ติดเชื้อหนึ่งคนที่เข้ารับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัส จะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างน้อยสองราย เขากล่าวว่าผู้ติดเชื้อไม่ได้รับยาต้านไวรัสกันหมดทุกคน กลุ่มชาวอเมริกันผิวดำเป็นกลุ่มเสี่ยงกลุ่มหลัก แม้ว่าจะเป็นจำนวน 12 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดของประเทศ มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่เป็นชาวอเมริกันผิวดำ
-
แอฟริกาใต้ วอนรัฐบาล มอบเงินเล็กน้อย เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคเอดส์ และ ความยากจน ก
แอฟริกาใต้ วอนรัฐบาล มอบเงินเล็กน้อย เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคเอดส์ และ ความยากจน รายงานการศึกษากลุ่มเด็กหญิงวัยรุ่นที่ยากจนในแอฟริกาใต้ กล่าวว่าจะลดโอกาสความเสี่ยงที่เด็กหญิงเหล่านี้จะติดเชื้อไวรัส HIV ที่ทำให้เป็นโรค AIDS ได้ ถ้ารัฐบาลให้เงินอุดหนุนเด็กหญิงเหล่านี้จำนวนเล็กน้อยเป็นประจำทุกเดือน หัวหน้านักวิจัยชาวอังกฤษ แห่งมหาวิทยาลัย Oxford ได้ทำการวิจัยว่า เด็กหญิงในกลุ่มตัวอย่างไม่มีอาหารพอรับประทาน ในครอบครัวอย่างน้อยสองวันในช่วงสัปดาห์ก่อนการสอบถาม ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นจริงที่ว่า ทั่วทั้งแอฟริกาตอนใต้นั้น เด็กหญิงวัยรุ่นเป็นจำนวนมากตกอยู่ในสภาพยากจน ปัญหาที่เด็กหญิงเหล่านี้ประสบตลอดเวลา นอกเหนือไปจากความหิวโหยแล้ว คือ ผู้ชายอายุมาก ที่ร่ำรวยและชอบเด็กผู้หญิง ภาษาอังกฤษมีศัพท์เรียกว่า ‘Sugar Daddies’ หรือศัพท์ไทยอาจจะเรียกว่า ‘ป๋า’ เหตุผลสำคัญที่เด็กหญิงยากจนเหล่านี้มองหา ‘ป๋า’ ก็เพราะไม่มีเงินเสียค่าเล่าเรียนและซื้ออาหารให้ครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีสมาชิกในครอบครัวที่เจ็บไข้ได้ป่วย เด็กผู้ชายไม่ต้องรับภาระอย่างนี้ นักวิจัยผู้นี้บอกว่า เป็นเรื่องของอุปสงค์และอุปทาน หรือลัทธินิยมทุน ซี่งมีผู้ชายมีอายุ มีเงินสด ที่แสวงหาเด็กหญิง ที่น่าสังเกตก็คือ ไม่มีสถานการณ์กลับกัน กล่าวคือ ไม่มีผู้หญิงมีอายุ มีเงินที่มองหาเด็กผู้ชาย ดังนั้นชาวแอฟริกาจึงวอนให้รัฐบาลแอฟริกาใต้มีโครงการให้เงินอุดหนุนเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เดือนละ 35 เหรียญสหรัฐ หรือราวๆ หนึ่งพันบาท จำนวนเด็กในโครงการมีประมาณ 11 ล้านคน…
-
นักวิจัยอเมริกัน ค้นพบว่าทำไมเชื้อ HIV ทำลายระบบเซลล์ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย
นักวิจัยอเมริกัน ค้นพบว่าทำไมเชื้อ HIV ทำลายระบบเซลล์ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย นักวิจัยอเมริกันพบว่าเชื้อเอชไอวีทำลายระบบภูมิคุ้มกันร่างกายด้วยการทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันอักเสบก่อนจะเริ่มทำลายเซลล์อื่นๆที่อยู่ข้างเคียงและการค้นพบนี้อาจจะนำไปสู่วิธีบำบัดวิธีใหม่เพื่อลดความรุนแรงของโรคเอดส์ลง บรรดานักวิทยาศาสตร์รู้กันมานานเเล้วว่าเมื่อเชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ร่างกาย เชื้อไวรัสจะเข้าไประบาดในตัวเซลล์ภูมิต้านทานที่เรียกว่า CD-4 T cells และเชื้อโรคจะแตกตัวเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นล้านๆตัว ทำลายระบบภูมิคุ้นกันในร่างกายให้อ่อนแอ แต่ล่าสุดทีมนักวิทยาศาสตร์ในรัฐแคลิฟอเนียเพิ่งค้นพบเพิ่มเติมว่าทำไมเชื้อไวรัสเอชไอวีจึงเป็นเชื้อโรคระบาดที่มีความร้ายแรง ทีมนักวิทยาศาสตร์ทีมนี้พบว่าในช่วงเริ่มต้นของการติดเชื้อ เชื้อไวรัสเอชไอวีจะเข้าไปแพร่ตัวในเซลล์ CD-4 T cells เพียงไม่กี่เซลล์เท่านั้น แต่หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเริ่มทำลายเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของผู้ติดเชื้ออย่างน้อย 95 เปอร์เซ็นต์ ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่สถาบัน Gladstone Institute ในรัฐ California ได้ค้นพบว่าเซลล์ร่างกายที่อยู่ใกล้กับเซลล์ภูมิต้านทานร่างกายจะเกิดอาการอักเสบในบริเวณกว้างและปล่อยโปรตีน capcaisin-1 ออกมาเพื่อไปทำหน้าที่ดึงเซลล์ภูมิคุ้มกันร่างกายหรือทีเซลล์ตัวอื่นๆเข้าไปในจุดที่เกิดอาการอักเสบเพื่อพยายามต่อสู้กับเชื้อไวรัสเอชไอวี แต่ทีเซลล์ตัวใหม่ที่เข้าไปช่วยต่อต้านเชื้อโรคในจุดที่เกิดการติดเชื้อกลับติดเชื้อเสียเองและเริ่มตายลงในที่สุด อย่างไรก็ดี มีข่าวดีว่าอาการอักเสบที่เกิดขึ้นสามารถกำจัดได้ด้วยยาหลายชนิดที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
-
FOA รายงานถึงปัจจัยต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดโรคระบาดจากสัตว์สู่คน
FOA รายงานถึงปัจจัยต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดโรคระบาดจากสัตว์สู่คน องค์การอาหารและเกษตรโลกของสหประชาชาติหรือ FAO ออกรายงานเกี่ยวกับการระบาดของโรคจากสัตว์สู่คน ซึ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดได้ง่ายขึ้นมากในสังคมยุคปัจจุบัน Juan Lubroth หัวหน้าสัตวแพทย์ของ FAO กล่าวว่าปัจจัยต่างๆ เอื้ออำนวยให้เกิดการระบาดจากสัตว์สู่คนมากขึ้น ทั้งเรื่องอากาศเปลี่ยนแปลงผิดธรรมชาติ และการเดินทางติดต่อสื่อสารของประชากรโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ คนรุกรานระบบนิเวศน์ของสิ่งมีชีวิตที่ประชากรโลกเองก็ไม่คุ้นเคยมาก่อน นอกจากนั้นการทำฟาร์มสัตว์เพื่อสนองการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความเสี่ยงของการระบาดมีมากขึ้นด้วย ขณะนี้มีตัวอย่างโรคหลายชนิดที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าน่าจะเป็นการระบาดสู่คนที่มีจุดเริ่มต้นจากสัตว์ เช่นไวรัส HIV ที่เริ่มจากลิง หรือเชื้อไข้หวัดนกที่มีต้นตออยู่ที่สัตว์ปีก FAO เรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและครบวงจรซึ่งต้องใช้ความรู้จากศาสตร์หลายแขนง และต้องลงลึกไปถึงการหยุดโอกาสการระบาดในชุมชนหรือเมืองก่อนที่ปัญหาจะลามไปอย่างกว้างขวาง
-
ทางการสหรัฐ สนับสนุนการทดลอง บำบัดทารกที่ติดเชื้อเอดส์จากแม่ ตั้งแต่หลังคลอด
ทางการสหรัฐ สนับสนุนการทดลอง บำบัดทารกที่ติดเชื้อเอดส์จากแม่ ตั้งแต่หลังคลอด ทางการสหรัฐประกาศจะสนับสนุนทางการเงินแก่โครงการทดลองทางการเเพทย์ระดับนานาชาติ เพื่อทดสอบดูว่ายาต้านไวรัสเอดส์จะสามารถกำจัดเชื้อไวรัสเอดส์ในทารกที่ได้รับเชื้อจากมารดาได้หรือไม่ หลังจากพบว่าเด็กอายุหนึ่งขวบคนหนึ่งในรัฐเเคลิฟอร์เนียซึ่งได้รับเชื้อไวรัสเอดส์จากมารดา ไม่เเสดงอาการป่วยหลังจากได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัสเอดส์อย่างต่อเนื่องตั้งเเต่หลังคลอด มาถึงตอนนี้ ยืนยันได้ว่ามีเด็กทารกสองคนในสหรัฐ ที่ได้รับเชื้อไวรัสเอดส์ขณะอยู่ในครรภ์มารดา แต่กลับปลอดจากเชื้อภายหลังจากได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัสเอดส์หลังคลอด ในทั้งสองกรณี มารดาของเด็กไม่ได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัสเอดส์ตอนคลอด ในกรณีของเด็กทารกคนเเรกที่รัฐ Mississippi ที่กลายเป็นข่าวเมื่อราวปีที่แล้ว แพทย์ได้เริ่มให้ยาต้านไวรัสเอดส์แก่เด็กคนนี้สามสิบชั่วโมงหลังจากเด็กคลอด และผลการตรวจเลือดหลายครั้งพบว่าระดับไวรัสเอดส์ในร่างกายของเด็กลดลงไปอยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบภายในหนึ่งเดือนหลังจากนั้น เด็กทารกคนนี้ได้รับยาต้านไวรัสเอดส์ นานติดต่อกันถึงหนึ่งปีครึ่ง ก่อนที่จะขาดการติดต่อกับแพทย์และเมื่อกลับมาพบเเพทย์อีกครั้ง เด็กไม่ได้รับยาต้านไวรัสเอดส์เป็นระยะเวลานานรวมกันสิบเดือน แต่ผลการตรวจเลือดหลายครั้งหลังจากนั้นก็ยังไม่พบเชื้อไวรัสเอดส์ในร่างกายเด็ก ทีมแพทย์เปิดเผยว่ามาถึงขณะนี้เด็กในรัฐ Mississippi คนนี้ได้เลิกใช้ยาต้านไวรัสเอดส์มานานเป็นระยะเวลาสองปีแล้วแต่เด็กยังเเข็งเเรงดี ในกรณีล่าสุด ทีมแพทย์ใน Long Beach รัฐ California ได้เริ่มให้ยาต้านไวรัสเอดส์แบบผสมตัวยาหลายตัวแก่เด็กทารกที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อเอดส์รายล่าสุดภายในสี่ชั่วโมงหลังจากเด็กคลอด เเละหนึ่งปีให้หลัง เเพทย์ตรวจไม่พบเชื้อไวรัสเอดส์ในกระเเสเลือดเด็กคนนี้เลย นาย Fauci กล่าวว่ามีความหวังว่าการทดลองนี้จะช่วยให้คำตอบได้ว่าการบำบัดเด็กทารกที่ได้รับเชื้อเอดส์จากมารดาด้วยยาต้านไวรัสเอดส์ได้ผลหากดำเนินการแต่เนิ่นๆ ทารกเเรกเกิดที่ได้รับเชื้อเอดส์ในขณะอยู่ในครรภ์มารดาจะได้รับการบำบัดด้วยยาต้านไวรัสเอดส์ภายใน 48 ชั่วโมงหลังคลอด ทีมงานวิจัยจะคอยติดตามดูว่าเชื้อไวรัสเอดส์หมดไปหรือไม่และในบางกรณีอาจจะมีการทดลองค่อยๆ ลดยาลงจนเลิกใช้ยาในที่สุด การส่งผ่านเชื้อเอดส์จากมารดาสู่ลูกเเบบนี้เกิดน้อยมากในสหรัฐ เขากล่าวว่าประมาณว่าทุกปี ทุกปี มีทารกราว 250,000 คนเกิดกับมารดาที่ติดเชื้อเอดส์ ส่วนมากอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาที่ผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์แต่ไม่ได้รับการบำบัดและมักไปพบเเพทย์เป็นครั้งเเรกเมื่อไปคลอดลูก
-
นักวิจัยชาวอเมริกันชี้ว่า ในอนาคต อาจใช้ยาบำบัดมะเร็งเต้านม รักษา โรคติดเชื้อรา Cryptococcus ในผู้ป่วยเอดส์ได้
นักวิจัยชาวอเมริกันชี้ว่า ในอนาคต อาจใช้ยาบำบัดมะเร็งเต้านม รักษา โรคติดเชื้อรา Cryptococcus ในผู้ป่วยเอดส์ได้ ผู้เชี่ยวชาญประมาณว่ามีคนราวหนึ่งล้านคนทั่วโลกติดเชื้อรา Cryptococcus ต่อปี นั่นเป็นเพราะว่าการติดเชื้อราเป็นโรคฉวยโอกาสชนิดหนึ่งที่มักเกิดกับผู้ป่วยโรคเอดส์ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในชาติอาฟริกาทางใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อเอดส์อยู่ในเขตนี้ ในปัจจุบัน แพทย์บำบัดการติดเชื้อรา Cryptococcus ด้วยยาราคาเเพงสองชนิด ซึ่งไม่มีใช้ในประเทศกำลังพัฒนาและต้องใช้ฉีดเข้ากระเเสโลหิตโดยตรง ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าผู้ป่วยที่ได้รับการบำบัดดังกล่าวอย่างน้อย 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์เสียชีวิต ยาอีกชนิดหนึ่งที่ใช้บำบัดการติดเชื้อรา Cryptococcus ในประเทศกำลังพัฒนา แค่มีผลชลอการเเพร่กระจายของเชื้อราให้ช้าลงเท่านั้นและอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ได้รับยานี้ก็สูงกว่าการบำบัดด้วยยาสองชนิดแรก ทีมนักวิจัยที่นำโดยคุณ Damian Krysan ทำการค้นหายาที่มีคุณสมบัติในการกำจัดเขื้อรา Cryptococcus จากยารักษาโรคที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบันแล้วจำนวนสองพันชนิด พวกเขาค้นพบว่ายา tamoxifen ซึ่งเป็นยาที่ใช้บำบัดผู้ป่วยมะเร็งเต้านมมานานหลายสิบปีเเล้ว คุณ Krysan หัวหน้าทีมวิจัยชี้ว่ายา tamoxifen มีราคาไม่เเพงและมีคุณสมบัติที่ดีหลายประการ เขากล่าวว่าผู้ป่วยสามารถรับประทานยา tamoxifen ได้ ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ เชื้อรา Cryptococcus ทำให้สมองอักเสบ ดังนั้นตัวยาจะต้องเข้าไปในสมอง การบำบัดจึงจะได้ผลดี เขากล่าวว่า ยา tamoxifen…