Author: pure

  • เคล็ดลับลดตาแพนด้าแบบง่าย ๆ

    เคล็ดลับลดตาแพนด้าแบบง่าย ๆ

    เคล็ดลับลดตาแพนด้าแบบง่าย ๆ ตาแพนด้าหรือถุงใต้ตานั้นสามารถลดและป้องกันได้แบบง่าย ๆ ด้วยการปฏิบัติตัวใหม่ดังนี้ค่ะ 1. อย่าจ้องหน้าคอมพิวเตอร์หรือใช้สายตานานเกินไปจนล้า ให้หมั่นพักสายตาทุก 15 นาทีด้วยการมองไปไกล ๆ จะช่วยผ่อนคลายดวงตาได้ ปรับแสงจากหน้าจอให้พอเหมาะ และอย่าขยี้ตา หากรู้สึกล้าสายตาให้นวดคลึงเบา ๆ เพื่อผ่อนคลายความเครียดด้วยการกลอกตาไม่มาเป็นวงกลม 5 รอบ แล้วใช้นิ้วนางคลึงเบา ๆ ที่หัวตา คลึงเบา ๆ แล้วกดจุดค้างไว้ 1-2 วินาที 2. ประคบด้วยมั่นฝรั่งหั่นเป็นแว่นเล็ก ๆ นำมาพอกรอบด้วงตาไว้ประมาณ 10-15 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น คาร์โบไฮเดรตในมันฝรั่งจะช่วยลดการอักเสบของผิวรอบดวงตาได้ดี 3. หากดวงตาดูอิดโรยอ่อนล้า ใต้ตาดำคล้ำ ใช้ถุงชาที่ชงแล้ว แช่เย็นแล้วมาประคบตาก่อนนอนก็ใช้ได้เหมือนกัน 4. ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับดวงตา 5. สำหรับเจลหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรอบดวงตา ควรเลือกที่มีคาเฟอีน เพราะช่วยบำรุงผิว และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดรอบดวงตาได้ ช่วยผ่อนคลายดวงตาที่อ่อนล้าได้ดี หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผสมโปรวิตามินบีห้าด้วยแล้ว จะช่วยให้ผิวรอบดวงตาชุ่มชื่นสดใสขึ้นค่ะ หากไม่อยากดูแก่หรืออิดโรยก่อนวัย ลองทำตามเคล็ดลับบำรุงดวงตาข้างต้นนี้ดูนะคะ

  • เมนูอาหารก่อมะเร็ง.. ถ้าไม่อยากเป็นก็ต้องเลี่ยงนะ

    เมนูอาหารก่อมะเร็ง.. ถ้าไม่อยากเป็นก็ต้องเลี่ยงนะ

    เมนูอาหารก่อมะเร็ง.. ถ้าไม่อยากเป็นก็ต้องเลี่ยงนะ ต่อไปนี้เป็นเมนูอาหารที่ก่อมะเร็งได้ เพราะมีสารก่อมะเร็งแฝงอยู่ มาดูกันเป็นข้อเลยจะได้หลีกเลี่ยงได้ถูกนะคะ 1. อาหารจากน้ำมันทอดซ้ำ 2. อาหารพวกเนื้อสัตว์หมักดอง ทุกประเภท 3. อาหารอบปิ้งย่างที่ไหม้เกรียม 4. อาหารที่ทำจากปลาน้ำจืดดิบหรือสุกๆ ดิบๆ 5. อาหารรสเค็ม 6. อาหารขึ้นราที่มีสารอะฟลาทอกซิน 7. อาหารฟาสต์ฟู้ด ไม่ว่าจะเป็นพวกเบอร์เกอร์ ฮอตด็อก มันฝรั่งทอดต่าง ๆ 8. อาหารที่มีไขมันสูง นอกจากทำให้เกิดมะเร็งแล้วยังทำให้อ้วนซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งได้อีก 9. อาหารที่มีสารพิษตกค้าง เช่น ยาฆ่าแมลงในผักผลไม้ ทำให้มีความเสี่ยงในการเกิด มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งสมอง, สารหนูที่เป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ รวมไปถึงพวกฟอร์มาลีนด้วย 10. สารสไตรีนที่เป็นส่วนประกอบของกล่องโฟมใส่อาหาร ซึ่งจะละลายออกมาในอุณหภูมิสูง ๆ ดังนั้นอย่านำไปใส่อาหารที่มีไขมันที่มีความร้อนสูง รวมทั้งแอลกอฮอล์ด้วยเพราะจะทำให้คุณได้รับสารก่อมะเร็งมากขึ้น รายการอาหารทั้งสิบรายการข้างต้น ถ้านาน ๆ ทานทีก็พอไหว แต่ถ้าไม่อยากเป็นมะเร็งก็อย่าทานบ่อย หรือทานซ้ำ ๆ นะคะ  

  • 55 ข้อวัยรุ่นชาวอเมริกัน.. เขาเป็นกันอย่างที่เราคิดหรือเปล่า

    55 ข้อวัยรุ่นชาวอเมริกัน.. เขาเป็นกันอย่างที่เราคิดหรือเปล่า

    55 ข้อวัยรุ่นชาวอเมริกัน.. เขาเป็นกันอย่างที่เราคิดหรือเปล่า 1. เพื่อนกันกอดกันก็ไม่มีอะไรนะ แม้จะเพศเดียวกันก็เถอะ 2. ส่วนคนที่เป็นแฟนกัน ก็จูบกันตามที่สาธารณะและทางเดินได้ไม่น่าเกลียดหรือเขินอะไร 3. พ่อแม่บางคนอยากให้ลูกมีแฟน เพราะท่านอยากให้ลูก ๆ มีความรักที่สวยงาม ถึงขนาดปล่อยให้นอนกอดกันบนเตียงก็มี แต่ก็มีบางส่วนเหมือนกันที่หวงจนลูกกลายเป็นเด็กอินโนเซนต์ 4. วัยรุ่นอเมริกันไม่ชอบขอเงินพ่อแม่ 5. อยากหาเงินจากงานพิเศษมากกว่า 6. ส่วนใหญ่เค้าใช้ไอโฟนกันนะ 7. แล้วก็ขับรถได้ตั้งแต่อายุ 16 8. อะไร ๆ ก็ What the heck? ไว้ก่อน 9. บางคนก็ Shut up! ใส่อาจารย์ซะงั้น 10. เค้าเข้าใจว่าคนไทยกับคนจีนไม่แตกต่างกัน 11. แล้วก็มีบางคนเข้าใจว่าคนไทยจะพูดภาษาจีน 12. คิดว่าชาวเอเชียตาตี่เหมือนกันหมดทวีป 13. รักการไป Hangout กับเพื่อนฝู 14. ถ้าอับจนถึงขนาดต้องควงเด็ก ม.3 ไปงานพรอมแล้วล่ะก็ อับอายแทบแทรกแผ่นดินหนีเลยล่ะ 15. เวลามีงานเต้นรำ…

  • 11  เทคนิคการทานอาหารเพื่อสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง

    11 เทคนิคการทานอาหารเพื่อสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง

    11  เทคนิคการทานอาหารเพื่อสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง การทานอาหารให้ครบถ้วนทั้งห้าหมู่ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและไม่เจ็บป่วยได้ง่าย ซึ่งจะบอกว่าง่าย ๆ แสนง่าย แต่ทำไมบางคนก็ยังเป็นโรคขาดสารอาหารบางประเภทอยู่ดี บางทีอาจจะเป็นเพราะไม่รู้จักเทคนิคการทานอาหารให้ถูกต้องก็ได้ วันนี้มาลองดูเทคนิคการทานอาหารหลาย ๆ ข้อ ที่สรุปออกมาเป็นกฎง่าย ๆ ให้คุณไปลองทำตามกันนะคะ 1. ต้องทานอาหารเช้า อาหารเช้าจะทำให้คุณมีพลังสดใสไปได้ทั้งวัน ช่วยลดอัตราความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด การทานอาหารเช้ายังทำให้หิวอาหารมื้ออื่น ๆ ลดลงอีกด้วย ซึ่งเวลาในการทานอาหารเช้าควรอยู่ในช่วง เจ็ดโมงถึงไม่เกินเก้าโมงเช้า เพราะเป็นระยะเวลาที่กระเพาะอาหารเริ่มทำงาน หากไม่มีอาหารตกถึงท้องในช่วงนี้ กระเพาะอาหารก็จะไปดูดสารอาหารจากอุจจาระออกมา .. ฟังแบบนี้แล้วจะทานข้าวเช้าไหม? 2. เปลี่ยนไปใช้น้ำมันที่แม้จะมีราคาแพง แต่ดีต่อสุขภาพดีกว่า อย่างน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันดอกทานตะวัน เหล่านี้มีกรดไขมันอิ่มตัวที่มีประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้ มีสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยยับยั้งการก่อมะเร็ง มีเบต้าคาโรทีนและวิตามินเอสูง ป้องกันโรคผิวหนังและริ้วรอยเหี่ยวย่นอื่น ๆ 3. ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตรขึ้นไป เพราะน้ำจะช่วยให้ร่างกายสดชื่นได้ตลอดวัน ช่วยขับถ่ายของเสียง หล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกายให้ชุ่มชื่น รักษาความเข้มข้นของเลือดให้เป็นปกติ โดยให้ดื่มน้ำตามเวลาดังนี้ – ตื่นเช้า ดื่มน้ำ 1 แก้วหรือประมาณ…

  • การอมน้ำมันแล้วบ้วนทิ้ง หรือ Oil Pulling ช่วยล้างพิษและรักษาโรคได้จริงหรือ

    การอมน้ำมันแล้วบ้วนทิ้ง หรือ Oil Pulling ช่วยล้างพิษและรักษาโรคได้จริงหรือ

    การอมน้ำมันแล้วบ้วนทิ้ง หรือ Oil Pulling ช่วยล้างพิษและรักษาโรคได้จริงหรือ   การทำออยพูลลิ่ง หรือการอมน้ำมันแล้วบ้วนทิ้งนี้มีในอินเดียมานานแล้ว เพื่อเชื่อว่าหากอมน้ำมันไว้ในปากจะสามารถดึงเอาจุลินทรีย์ในซอกฟัน ผิวฟัน เหงือก ลิ้น กระพุ้งแก้ว เพดานปาก ออกมาผสมกับน้ำมันแล้วบ้วนทิ้งไป เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เชื้อโรคทั้งหลายถูกกลืนลงท้องและเข้าไปเป็นพิษต่อร่างกายในส่วนต่าง ๆ การทำแบบนี้จึงช่วยรักษาได้หลายโรค ซึ่งจากคู่มือการอบรมโครงการฟื้นฟูและส่งเสริมสุขภาพองค์รวม 8 อ. ซึ่งจัดทำโดย ชุมชนศีรษะอโศก ได้ทำการเผยแพร่และปฏิบัติแบบนี้เพื่อดูแลสุขภาพมาแล้ว และได้อธิบายว่า การอมน้ำมันกลั่นเย็นนี้ โดยให้น้ำมันไหลผ่านช่องฟันไปมา จนกระทั่งน้ำมันผสมกับน้ำลายจนคลายความข้นหนืดแล้วจึงบ้วนทิ้ง จะสามารถรักษาโรคปวดหัว ปวดฟัน โรคหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคแผลเป็น แผลเปื่อยมีหนอง หรือเป็นฝีต่าง ๆ โรคทางเดินอาหาร รวมไปถึงโรคเฉพาะผู้หญิง แล้วยังป้องกันเนื้องอกกลับมาเกิดใหม่ได้ รักษาโรคเลือด อัมพาต โรคเส้นประสาท อวัยวะภายใน หรือรักษาอาการนอนไม่หลับได้ด้วย หากคิดว่ามันจะน่ามหัศจรรย์เกินไปหรือไม่ที่แค่อมน้ำมันแล้วบ้วนทิ้งจะมีสรรพคุณมากมายขนาดนี้ ลองมาดูการอธิบายของ ดร.บรูซ ไฟฟ์ ประธานศูนย์วิจัยมะพร้าวแห่งโคโรลาโด กันบ้าง เขาได้อธิบายเอาไว้ในหนังสือชื่อ Oil Pulling Therapy ว่า…

  • การป้องกันอันตรายจากโรคไวรัสเอชพีวี

    การป้องกันอันตรายจากโรคไวรัสเอชพีวี

    การป้องกันอันตรายจากโรคไวรัสเอชพีวี ไวรัสเอชพีวีนั้น เป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูก หูดหงอนไก่ มะเร็งองคชาต และมะเร็งทวารหนักอีกด้วย  และจากการลงสนามเก็บตัวอย่างสิ่งแวดล้อมของหน่วยไวรัสวิทยา ภาควิชาพยาธิวิทยา  คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีนั้น พบว่าสถานที่ที่สามารถตรวจพบเชื้อไวรัสเอชพีวีได้ มักเป็นที่เย็น ชื้น และไม่มีแสงแดดส่องเข้าถึง  อีกทั้งเป็นสถานที่ที่เป็นสถานบันเทิง ที่มีกลุ่มวัยรุ่น ผู้ใหญ่ตอนต้น ที่ยังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งมีการติดต่อและแพร่เชื้อไวรัสเอชพีวีได้สูงสุด ด้วย ซึ่งการระวังและป้องกันเบื้องต้นก็คือการล้างมือให้สะอาด ทั้งก่อนและหลังการเข้าห้องน้ำทุกครั้ง เพื่อลดปริมาณเชื้อที่อาจติดมาโดยไม่รู้ตัว  นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้โดยลดพฤติกรรมเสี่ยงตรวจคัดกรองเพื่อตรวจหาความผิดปกติที่ปากมดลูกเพื่อให้การรักษาก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็งปากมดลูก หรือใช้วิธีฉีดวัคซีนป้องกันร่วงด้วย  โดยปัจจุบันนี้มีวัคซีนเอชพีวีที่ควรให้เด็กผู้หญิงวัยก่อนมีเพศสัมพันธ์ช่วงอายุ 11-12 ปีฉีดจำนวนสามเข็ม  เมื่อฉีดแล้วจะป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีได้อย่างน้อย 30 ปีโดยไม่ต้องฉีดกระตุ้น  อีกทั้งในบางประเทศยังฉีดให้เด็กผู้ชายด้วย ในส่วนของคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย ก็ควรสอนลูก ๆ ให้ป้องกันและระวังตัวด้วยการสอนให้ล้างมือให้สะอาดเมื่อเข้าไปในสถานที่สาธารณะต่าง ๆ อีกทั้งยังควรพาลูก ๆ ไปฉีดวัคซีนให้ครบเมื่อถึงอายุกำหนดด้วยก็จะเป็นการป้องกันไว้ก่อนได้  

  • 50 เทคนิคง่าย ๆ ของการมีเซ็กซ์ให้สุขสม

    50 เทคนิคง่าย ๆ ของการมีเซ็กซ์ให้สุขสม

    50 เทคนิคง่าย ๆ ของการมีเซ็กซ์ให้สุขสม 1.ไม่ว่าคุณผู้ชายหรือผู้หญิงต้องรักษาความสะอาดของส่วนซ่อนเร้นและเรือนกายด้วยการอาบน้ำชำระล้างให้สะอาดทั้งเช้าและเย็นทุกวัน 2.พูดจาสื่อสารกันให้เข้าใจว่าทำอย่างไรเธอถึงจะชอบ อย่าคิดว่าผู้หญิงคนอื่นชอบแล้วเธอจะชอบเหมือนกัน คุยกันด้วยจะดีกว่านะ 3.เริ่มอินโทรด้วยการค่อย ๆ เปลื้องเสื้อผ้าเธอระหว่างทางเดินเข้าห้องนอน และเมื่อขึ้นเตียงก็มอบรอยยิ้มให้เธอบ้าง 4.ปลดบราเธอด้วยมือข้างเดียว ผู้หญิงชอบนะ 5.อย่ากดน้ำหนักลงบนตัวเธอมากเกินไป ใช้ข้อศอกพยุงน้ำหนักไว้ และดันตัวไปข้างหน้าแก่นกายของคุณจะสัมผัสจุดกระสันของเธอได้มากขึ้นด้วย 6.อย่าเปลืองผ้าหมด เหลือไว้บ้าง เร้าอารมณ์เธอดี 7.นักรักที่ดีต้องใส่ใสกับความสุขของเธอด้วย อย่างตั้งหน้าตั้งตาเสียบอย่างเดียว 8.จูบที่นุ่มนวลควรค่อย ๆ สัมผัสริมฝีปากและฟันแล้วค่อย ๆ ไล้ไปยังปลายลิ้น 9.การโอบกอดเป็นของชอบสุด ๆ ของผู้หญิงมากกว่าการทำรักและมากกว่าการมีออกัสซั่มด้วย ให้สังเกตภาษากายของเธอบ้าง 10.การสอดใส่เพียงอย่างเดียวไม่อาจทำให้ผู้หญิงถึงออกัสซั่มได้ เธออยากให้คุณใช้อวัยวะอื่นสัมผัสกับจุดเร้าบนเรือนร่างเธอด้วย 11.อย่ากระแทกแรง ๆ หรือเร็ว ๆ จนเธอเจ็บ เพราะเธออาจไม่กล้าขอให้คุณเบาแต่เธอจะเข็ดไปเลย ลองควบคุมตัวเองหน่อย ผ่อนหนักผ่อนเบาแล้วคุณจะเห็นได้ว่าเธอมีความสุขมากขึ้น 12.เมื่อคุณกระตุ้นปุ่มคลิตอริสเธอจนถึงสวรรค์ไปแล้ว อย่าได้พยายามอีกหนเลย จนกว่าเธอจะร้องขอเอง เพราะมันทรมานมาก 13.บางท่าบางลีลาเธอก็ไม่ชอบ บางท่าเธอก็ไม่ได้รังเกียจ ดังนั้นก่อนปรับเปลี่ยนท่วงท่าใหม่ ๆ ท่าใด ลองสบตาเธอหยั่งเชิงดูสักนิดว่าเธอชอบหรือไม่ 14.การถึงจุดสุดยอดของผู้หญิงไม่จำเป็นต้องมีความต่อเนื่องเสมอไป บางทีเธอก็อาจอยากพักยกบ้าง 15.การมีเซ็กซ์ในช่วงมีรอบเดือนไม่ใช่สิ่งต้องห้าม เพราะช่วงก่อนมีรอบเดือนผู้หญิงจะมีความต้องการมากเป็นพิเศษ…

  • อาการอักเสบของหูชั้นกลางในเด็ก (Ear Infection)

    อาการอักเสบของหูชั้นกลางในเด็ก (Ear Infection)

    อาการอักเสบของหูชั้นกลางในเด็ก (Ear Infection) อาการหูอักเสบในเด็กนั้นมักจะเกิดกับเด็กเล็กหรือทารกแบะเบาะเป็นส่วนใหญ่  และสาเหตุของอาการนี้ก็ไม่ใช่น้ำเข้าหูด้วย แต่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ลุกลามจากคอและจมูกไปสู่หู  จึงทำให้เกิดเป็นไข้หวัด ต่อมทอนซิลอักเสบและบางรายอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัด ไข้หวัดใหญ่ ไอกรน หรืออาการอักเสบเพราะภูมิแพ้ได้ด้วย ซึ่งการจะดูว่าลูกของเรามีอาการหูชั้นกลางอักเสบหรือไม่ก็คือ ให้ดูว่าลูกร้องไห้งอแง มีอาการปวดหู หรือเอามือปัดหูบ่อย ๆ หรือเปล่า  เด็กบางคนอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย  หากปล่อยไว้อาจจะทำให้เป็นหนองอักเสบ มีกลิ่นเหม็น ทำให้กระดูกสามชิ้นภายในถูกทำลาย หนองจะทะลุแก้วหูออกมาจนกลายเป็นโรคหูน้ำหนวกได้    ส่วนวิธีการป้องกันคือเมื่อเด็ก ๆ เป็นหวัดควรให้ความอบอุ่น หากมีไข้ควรให้ทานยาแก้ปวดลดไข้ และยาแก้หวัดคัดจมูก ซึ่งจะช่วยให้ท่อระหว่างหูและคอระบายความดันได้ดีขึ้น  แต่หากไม่มั่นใจพาลูกไปพบแพทย์จะดีที่สุดค่ะ

  • ระวังนะ นั่งเก้าอี้รถเมล์นาน ๆ โรคจะถามหา

    ระวังนะ นั่งเก้าอี้รถเมล์นาน ๆ โรคจะถามหา

    ระวังนะ นั่งเก้าอี้รถเมล์นาน ๆ โรคจะถามหา คนที่ต้องโดยสารรถเมล์เป็นประจำเนี่ย แต่ละวันหากได้ขึ้นไปแล้วเจอเก้าอี้ได้นั่งบ้างก็บุญแล้ว แต่เบาะที่อุตส่าห์ได้นั่งก็ช่างแตกต่างกันเหลือเกินในรถแต่ละคน บางคนก็นั่งสบายดี บางคันก็เบาะชันหรือเอนมากจนปวดหลังเหลือเกิน ทั้งยังบางคันที่เบาะแข็งยังกับไม้อีก ปวดทั้งหลังปวดทั้งก้นไปหมด หากนั่งนาน ๆ เข้าเจ้าเบาะแผ่นเล็ก ๆ นี่ก็สร้างปัญหาให้กับร่างกายได้เหมือนกันนะคะ มาลองไล่กันดูค่ะ 1. ปัญหาต่อกล้ามเนื้อและโรคกระดูก การนั่งอยู่บนเบาะที่ไม่พอดีกับแนวกระดูกสันหลังในท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ ทำให้ต้องเกร็งหลังตั้งฉากให้พอดีกับเบาะตลอดเวลา หากนั่งท่านี้สัก 1 ชม.ก็พอได้อยู่ แต่หากใครบ้านไกลเกินชั่วโมงแล้ว อาการกล้ามเนื้ออักเสบถามหาแน่นอน ยิ่งถ้าหากนั่งติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ หลาย ๆ เดือนหรือหลายปีก็อาจทำให้กล้ามเนื้อผิดปกติ และมีอาการปวดหลังตามมาอีกได้แน่ๆ และหากสะสมมากขึ้นก็อาจทำให้เกิดแนวกระดูกผิดปกติ กระดูกคดหรือเคลื่อนได้เลยทีเดียว และหากเป็นผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ก็อาจทำให้กระดูกสันหลังเสื่อมด้วย น่ากลัวไม่ใช่เล่นเลย 2. โรคทางเดินอาหาร การนั่งท่าเดิมนาน ๆ 2 ชั่วโมงขึ้นไปมากกว่า 1 สัปดาห์จะทำให้กระเพาะอาหาร ลำไส้ บีบตัวน้อยกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการท้องผูก ท้องอืดตามมาได้ 3. สมรรถภาพทางเพศถดถอย เพราะบ้านเรามีอากาศร้อนอบอ้าว…

  • โรคท้องเสีย อาการธรรมดาที่อาจไม่ธรรมดา

    โรคท้องเสีย อาการธรรมดาที่อาจไม่ธรรมดา

    โรคท้องเสีย  อาการธรรมดาที่อาจไม่ธรรมดา อย่าเพิ่งแปลกใจที่หัวข้อเรื่องนี้อาจขัดความคิดของใครหลาย ๆ คน เพราะเข้าใจมาตลอดว่าอาการท้องเสียนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่บทความในวันนี้จะนำคุณผู้อ่านได้ไปเห็นว่าความจริงแล้วอาการท้องเสียนั้น อาจนำไปสู่อาการที่คาดไม่ถึงและเสียชีวิตได้เช่นกัน หากชะล่าใจ เรามาระแวดระวังเรื่องนี้ด้วยการใส่ใจกับอาการท้องเสียและหาความรู้กันใหม่ก่อนดีกว่า โรคท้องร่วง ท้องเสีย หรืออุจจาระร่วงนั้น หมายถึงการถ่ายอุจจาระเหลว หรืออุจจาระเป็นน้ำเกินกว่า 2 ครั้งในวันเดียว หรือการอุจจาระเป็นมูกปนเลือดเพียงครั้งเดียวก็ถือว่าท้องเสียแล้ว ซึ่งในอดีตนั้นจะเรียกการถ่ายอุจจาระที่ปนมูกเลือดว่าเป็นโรคบิด เพราะผู้ป่วยจะมีอาการปวดบิดในท้องขณะที่เบ่งอุจจาระไปด้วย โรคท้องเสียนั้นแบ่งออกได้เป็นสองชนิดก็คือ 1. โรคท้องเสียแบบเฉียบพลัน มักจะเกิดจากอาหารเป็นพิษ หรือติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย พยาธิในลำไส้ 2. โรคท้องเสียแบบเรื้อรัง ซึ่งมักมีอาการท้องเสียนานกว่า 2 อาทิตย์เป็นต้นไป มักไม่ได้เกิดจากอาหารเป็นพิษ หรือติดเชื้อ แต่เกิดจากการย่อยอาหารและการดูดซึมที่ผิดปกติ การอักเสบจากภูมิแพ้ หรือติดเชื้อ ตลอดจนเป็นมะเร็งในทางเดินอาหาร ดังนั้นโรคท้องเสียชนิดนี้จึงเป็นเรื่องไม่ธรรมดา หรือแม้แต่ท้องเสียแบบเฉียบพลันเอง ก็อาจพบได้ว่าทำให้เสียชีวิตได้เหมือนกัน ถ้าได้รับการรักษาไม่ถูกต้องหรือช้าเกินไป ส่วนใหญ่การเสียชีวิตจะเกิดจากภาวะช็อก หรือภาวะที่เกิดจากการขาดน้ำและเกลือแร่เป็นจำนวนมาก ส่วนน้อยที่จะเกิดจากภาวะโลหิตเป็นพิษ ซึ่งทั้งสองแบบมีอาการเตือนแต่อาจถถูกละเลยจากแพทย์และผู้ป่วยเอง เพราะถ้าสังเกตได้ทันก็จะรอดชีวิต ซึ่งทุกคนควรสังเกตอาการเหล่านี้เอาไว้ โดยสัญญาณอันตรายมีทั้งหมด 6 ข้อดังต่อไปนี้ และผุ้ป่วยต้องรีบบอกแพทย์ไม่ว่าแพทย์จะถามหรือไม่ก็ตาม อีกทั้งสัญญาณเตือน 6 ข้อนี้ยังสามารถใช้กับโรคที่เกิดอาการช็อกแทรกซ้อนอื่น…