Author: pure

  • ไตของคุณกำลังลำบากเพราะปากอยู่หรือเปล่า?

    ไตของคุณกำลังลำบากเพราะปากอยู่หรือเปล่า?

    ไตของคุณกำลังลำบากเพราะปากอยู่หรือเปล่า? คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวคุณเองกำลังทำร้ายไตของคุณด้วยพฤติกรรมการกินของตัวคุณเอง  จากสถิติแล้วมีคนไทยถึง 17.5%  ที่ตายด้วยโรคไต หรือคิดเป็นตัวเลขเฉลี่ยมีคนตายจากโรคไตถึงวันละ 108 คนเลยทีเดียว ซึ่งสาเหตุของโรคไตในคนไทยก็คือ คนไทยมีพฤติกรรมติดอาหารรสจัด และมักชอบเติมน้ำปลาหรือซอสปรุงรสมากเกินความจำเป็น   ทั้งที่ความจริงแล้วในอาหารจานด่วนบางชนิดมีปริมาณโซเดียมที่สูงมากอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น ก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชาม มีปริมาณโซเดียม 750 มิลลิกรัม, ผัดซีอิ๊ว มีปริมาณโซเดียม 1000 มิลลิกรัม, ข้าวราดแกง มีปริมาณโซเดียม 1250  มิลลิกรัม และ ยำวุ้นเส้น มีปริมาณโซเดียม 1500 มิลลิกรัม ในขณะที่ปริมาณโซเดียมที่ร่างกายเราต้องการอยู่ที่วันละ 2000 มิลลิกรัม  แต่จากการสำรวจนั้น คนไทยบริโภคโซเดียมถึงวันละ 4000 มิลลิกรัมต่อวันเข้าไปแล้ว!  นับเป็นตัวเลขที่น่ากลัวทีเดียว  เพราะหากร่างกายของเราได้รับโซเดียมมากเกินกว่าความต้องการของร่างกาย  จะเกิดผลทำให้ไตทำงานไม่ปกติ เพราะโซเดียมตกค้างเกิดปริมาณ ก่อให้เกิดโรคไต  ซึ่งเป็นต้นเหตุให้คุณอาจต้องฟอกไตตลอดชีวิต, เป็นโรคความดันโลหิตสูง, เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด  ตลอดจนเป็นอัมพาตได้ ดังนั้นนอกจากตัวคุณเองแล้ว เรามาร่วมกันรณรงค์ “ลดเค็มก่อนสาย เพื่อไตคุณเอง” กันเถอะ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณและคนที่คุณรักตลอดไปนะคะ

  • ระวังให้ดี  6 จุดสกปรกสุด ๆ ในห้องน้ำ

    ระวังให้ดี 6 จุดสกปรกสุด ๆ ในห้องน้ำ

    ระวังให้ดี  6 จุดสกปรกสุด ๆ ในห้องน้ำ แม้หลังการเข้าห้องน้ำ เราจะล้างมืออยู่ทุกครั้งก็ตาม แต่ยังมีบางจุดของห้องที่ได้รับการสำรวจและศึกษาจากกระทรวงสาธารณสุขที่ได้สำรวจจากครัวเรือนไทยแล้วว่า มีอยู่ 6 จุดในห้องน้ำที่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคมากที่สุด ซึ่งหากคุณทั้งหลายเข้าห้องแล้วสัมผัสสิ่งเหล่านี้ พึงระลึกไว้เสมอว่าควรล้างมือให้สะอาดและใช้สบู่ฆ่าเชื้อโรคล้างทุกครั้งนะคะ 6 จุดที่สกปรกสุด ๆ เหล่านี้ได้แก่ 1. สายชำระ พบเชื้อโรคถึงร้อยละ 85 2. พื้นห้องน้ำ พบเชื้อโรคถึงร้อยละ 50 3. ที่รองนั่งโถส้วม พบเชื้อโรคถึงร้อยละ 31 4. ที่กดชักโครก พบเชื้อโรคถึงร้อยละ 8 5. ก๊อกน้ำ พบเชื้อโรคถึงร้อยละ 7 6. กลอนประตู พบเชื้อโรคถึงร้อยละ 3 ได้ทราบจุดเหล่านี้แล้ว อย่าเพิ่งร้องอี๋ขยะแขยงไปเสียก่อน เพียงคุณรักษาความสะอาดในห้องน้ำ และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ คุณก็สามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อโรคและระงับการแพร่เชื้อโรคนี้ไปยังผู้อื่นได้แล้วค่ะ

  • หัวไชเท้า..กินก็อร่อย แถมเป็นยาได้อีกด้วยนะ

    หัวไชเท้า..กินก็อร่อย แถมเป็นยาได้อีกด้วยนะ

    หัวไชเท้า..กินก็อร่อย แถมเป็นยาได้อีกด้วยนะ พืชผักผลไม้ หรืออาหารที่เราทานกันเป็นประจำ หลายชนิดเลยทีเดียวที่นอกจากมีสารอาหารบำรุงร่างกายให้แข็งแรงแล้ว ก็ยังมีฤทธิ์ทางยาอีกด้วย ซึ่งโดยมากมักเป็นภูมิปัญญาโบราณที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ วันนี้ลองมาดูสรรพคุณทางยาของหัวไชเท้า หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง แล้วยังปลอดภัยอีกด้วยค่ะ 1. ตามตำราของอินเดียการทานหัวไชเท้า ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นแล้วระงับอาการทางประสาทแบบอ่อน ๆ ได้ดี 2. ตามตำราของเกาหลี ส่วนของหัวไชเท้าที่เหมาะนำมาทานเป็นยาก็คือส่วนของหัว ที่มีรสหวานเผ็ด และมีฤทธิ์เย็นเล็กน้อยนั่นเอง ดีต่อปอดและกระเพาะอาหาร ช่วยย่อยอาหารได้ ลดความดันโลหิต แล้วยังถอนพิษไข้ ละลายเสมหะได้ดี 3. สำหรับผู้สูงอายุที่มีอาการทางหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ไอ แน่นหน้าอก และมีเสมหะมาก หากได้ทานหัวไชเท้าบ่อย ๆ จะช่วยบรรเทาอาการได้ ทั้งยังช่วยบรรเทาโรคเบาหวานในผู้สูงอายุ รวมทั้งลดความอยากอาหารที่มากเกินควรด้วย 4. หัวไชเท้าที่นำมาสกัด ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย รักษาโรคบิด เลือดกำเดาไหล ปวดศีรษะ ไอมีเสมหะ อาหารไม่ย่อยได้ดี เพียงดื่มหัวไชเท้าสกัดสด ๆ วันละ 30-90 มิลลิกรัม หรือจะนำเอาหัวไชเท้าตากแห้งมาต้มดื่มวันละ 10-30 กรัมก็ได้ผลเช่นเดียวกัน หลังจากนี้ไปเวลาทางหัวไชเท้า เราคงไม่ได้มองเป็นแค่อาหารอร่อย ๆ…

  • รักษาส้นเท้าแตกแห้ง ด้วยเปลือกกล้วยหอม

    รักษาส้นเท้าแตกแห้ง ด้วยเปลือกกล้วยหอม

    รักษาส้นเท้าแตกแห้ง ด้วยเปลือกกล้วยหอม ปัญหาส้นเท้าแตก อาจไม่จำเป็นต้องเกิดกับคนที่มีน้ำหนักเกินก็ได้  แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่ชอบสวมรองเท้าแตะแบบหูคีบ หรือรองเท้าเปิดส้น  เพราะรองเท้าประเภทนี้จะเปิดผิวหนังบริเวณส้นเท้าให้ถูกเสียดสี  เมื่อสวมรองเท้าชนิดนี้มาก ๆ ส้นเท้าก็จะยิ่งหนาตัว ด้าน และกลายเป็นเหมือนเปลือกแข็ง ๆ ที่แตกระแหง  บางครั้งก็แตกจนกระทั่งเลือดออกก็มี  วันนี้ลองมาดูวิธีการดูแลส้นเท้าแตกแบบง่าย ๆ ที่ใช้วัสดุจากธรรมชาติที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไปอย่างเปลือกกล้วยหอมกันนะคะ ซึ่งวิธีการรักษาก็ไม่ยากเลย  เพียงทำความสะอาดเท้าให้สะอาดเรียบร้อย แล้วนำเปลือกกล้วยหอมด้านในมาถูไปถูกมาบริเวณส้นเท้า  แล้วจึงทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วจึงล้างออกให้สะอาด  จากนั้นให้เช็ดให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงส้นเท้าโดยเฉพาะ  วิธีนี้สามารถทำได้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง  เพื่อให้ผิวเท้าได้รับการบำรุงจากสารที่อยู่ในเปลือกกล้วยหอม ไม่ยากและมีราคาประหยัดมากค่ะ  ลองนำไปทำดูกันนะคะ

  • รู้เอาไว้.. มีผักบางชนิดไม่ควรกินสด ๆ

    รู้เอาไว้.. มีผักบางชนิดไม่ควรกินสด ๆ

    รู้เอาไว้.. มีผักบางชนิดไม่ควรกินสด ๆ จริงอยู่ว่าการผักและผลไม้สดนั้นเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ เพราะจะทำให้สารอาหาร แร่ธาตุ วิตามินต่าง ๆ ไม่ถูกควรร้อนทำให้สลายตัวไป แต่ก็ยังมีผักอยู่บางชนิดเหมือนกัน ที่ควรทำให้สุกก่อนไม่ควรทานทั้งดิบ ๆ เพราะอาจเป็นพิษและมีผลข้างเคียงทางสุขภาพด้านอื่น ๆ ได้ มีผักอยู่ 5 ชนิดที่เราพบเห็นได้ทั่วไป แต่ไม่ควรทานดิบ ๆ ค่ะ มาดูกันนะว่ามีอะไรบ้าง 1. ถั่วฝักยาว ถั่วฝักยาวดิบจะมีแก๊สสูง โดยเฉพาะแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อได้ ทางที่ดีลวกหรือต้มให้สุกก่อนทานจะดีกว่า หรือหากทานกับยำหรือส้มตำ ก็ทานผักกรอบอย่างอื่นดีกว่านะ 2. ผักตระกูลกะหล่ำต่าง ๆ เช่น กระหล่ำปลี บร็อกโคลี กระหล่ำดอก กะหล่ำม่วงฯ เพราะผักตระกูลกะหล่ำ มีสารกอยโตรเจน ซึ่งจะไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ในการจับไอโอดีน การทานผักเหล่านี้จึงอาจทำให้ร่างกายคุณขาดไอโอดีนได้ 3. ผักโขม เพราะในผักโขมจะมีสารที่ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก ถ้ากินในขณะที่ยังดิบ ๆ 4. หน่อไม้ มีไซยาไนด์สูงมาก หากทานดิบ ๆ จะทำให้รู้สึกมึนงง เพราะพิษในหน่อไม้มีผลต่อระบบประสาท 5.…

  • สารอาหารชะลอผมขาว ช่วยบำรุงรากผม

    สารอาหารชะลอผมขาว ช่วยบำรุงรากผม

    สารอาหารชะลอผมขาว ช่วยบำรุงรากผม สำหรับคนที่เริ่มอายุเข้าวัยกลางคน หรือแม้แต่วัยผู้ใหญ่เองที่ผมเริ่มขาวขึ้นทั้งที่ร่างกายยังไม่แก่ชรา สาเหตุอาจเกิดขึ้นเพราะร่างกายของคุณขาดสารอาหารที่สำคัญในการดูแลเส้นผมและหนังศีรษะก็เป็นได้นะคะ หากคุณมีผมหงอกก่อนวัย ลองทานอาหารที่มีคุณค่าในการบำรุงดูแลเส้นผมกันดูก่อนไปโกรกหรือย้อมดีไหมคะ มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้วยังไม่แพงด้วยค่ะ ซึ่งอาหารที่ช่วยชะลอผมหงอกผมขาวได้นั้นมีสี่ชนิดดังต่อไปนี้ค่ะ 1. กรดโฟลิก พบได้มากในผักใบสีเขียวเข้มทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคะน้า ใบตำลึง บล็อกโคลี่ รวมไปถึงแครอท ฟักทอง และถั่วนานาชนิดด้วย 2. ทองแดง พบได้มากในอาหารทะเลทั้งหลายโดยเฉพาะหอยนางรม และที่มีทองแดงมากอีกชนิดก็คือเมล็ดดอกทานตะวันนั่นเอง (แต่ให้ระวังระดับของคอเลสเตอรอลด้วย) 3. พาบา เป็นอนุพันธ์ตัวหนึ่งในกลุ่มของวิตามินบีคอมเพล็กซ์ เป็นวิตามินที่สามารถละลายน้ำได้ มักพบพร้อมกับกรดโฟลิก ซึ่งมีอยู่มากในผักใบเขียว จมูกข้าวสาลี ข้าวกล้อง และโยเกิร์ตด้วย 4. กรดแพนโทเทนิก หรือวิตามินบีห้า พบได้มากในข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด เมล็ดงา รวมทั้งแอปเปิลด้วย อาหารทั้งสี่ชนิดนี้ไม่เพียงแต่ช่วยชะลอผมหงอกเท่านั้น แต่วิตามินต่าง ๆ ยังช่วยบำรุงร่างกายในส่วนอื่น ๆ มิให้แก่หรือเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควรด้วยค่ะ  

  • 8 ผลไม้ยกระดับผิวขาว สวยสดใส

    8 ผลไม้ยกระดับผิวขาว สวยสดใส

    8 ผลไม้ยกระดับผิวขาว สวยสดใส การมีผิวที่ขาวสวยสดใส ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องทานอาหารเสริมที่มีราคาแพง หากคุณรู้จักกับผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารในการช่วยบำรุงผิว แล้วทานสลับกันไปเรื่อย ๆ ทุกวัน ๆ ผิวของคุณก็จะขาวสดใสขึ้นจากวิตามินและแร่ธาตุตามธรรมชาติเอง โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินหรือเสี่ยงอันตรายเลยค่ะ ผลไม้เพื่อผิวขาวเนียนใสทั้ง 8 ชนิดนั้นมีดังต่อไปนี้ 1. ส้ม มีวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนให้กับผิว ผิวจึงยืดหยุ่นไม่เหี่ยวย่นและไร้จุดด่างดำ 2. ฝรั่ง เป็นผลไม้ที่แม้จะไม่มีรสเปรี้ยว แต่กลับให้วิตามินซีและกากใยอาหารที่สูงมาก นอกจากเหมาะสำหรับคนที่ต้องการให้ผิวขาวแล้ว ยังเหมาะสำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักด้วย 3. มะนาว มีรสเปรี้ยว มีคุณค่าทางอาหารคล้ายคลึงกับส้ม แม้จะทานทั้งผลได้ยาก แต่การคั้นน้ำมาดื่มก็ช่วยให้ได้รับวิตามินซีในปริมาณสูงได้เช่นกัน แล้วยังสดชื่นอีกด้วย เหมาะสำหรับความที่สมองตื้อ ๆ 4. แตงโม มีแร่ธาตุช่วยเสริมสร้างความสดชื่นให้ร่างกายและผิวพรรณ ช่วยล้างไตและขับปัสสาวะ 5. มะเขือเทศ มีวิตามินสูง เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับคนที่รักผิว ช่วยชะลอความชรา ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย 6. แอปเปิ้ล มีกากใยและวิตามินสูงมาก จนชาวตะวันตกยกให้เป็นผลไม้ที่ควรทานทุกวัน วันละผล อุดมไปด้วยเพคติน ช่วยให้เล็บแข็งแรง มีกากใยสูงช่วยในการขับถ่าย 7.…

  • อาหารที่ควรทานเพื่อเสริมสร้างธาตุเหล็ก

    อาหารที่ควรทานเพื่อเสริมสร้างธาตุเหล็ก

    อาหารที่ควรทานเพื่อเสริมสร้างธาตุเหล็ก สำหรับคนในวัยทำงานหรือหญิงสาวที่มีรอบเดือนนั้น อาจรู้สึกอ่อนล้าอ่อนเพลีย จากการขาดธาตุเหล็กได้ อาการนี้มักไม่ใช่อาการที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน แต่เกิดจากการขาดการดูแลร่างกาย พักผ่อนไม่เพียงพอและการขาดสารอาหาร ดังนั้นวิธีการแก้ไขให้ร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่าแจ่มใสเหมือนเดิมนั้น  ควรเปลี่ยนอาหารจำพวกข้าว แป้ง ให้เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน  ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง  ขนมปังโฮลวีต  เส้นพาสต้า  ผักใบเขียว ถั่ว ส้ม  ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่  แตงโม  ซึ่งอาหารเหล่านี้ย่อยง่าย ไม่สร้างภาระให้กับกระเพาะอาหารและลำไส้มากเกินไป ไม่ทำให้ท้องอืดเฟ้อ  อีกทั้งยังให้พลังงานได้อย่างยาวนาน เพราะร่างกายจะค่อย ๆ ดูดซึมสารอาหารเหล่านี้  จึงทำให้เราไม่รู้สึกอ่อนเพลีย หรือโหยหาน้ำตาลระหว่างวัน  ทั้งยังช่วยลดความเครียดไปได้ในตัว  

  • มารู้จักกับอาหารลดคอเลสเตอรอล

    มารู้จักกับอาหารลดคอเลสเตอรอล

    มารู้จักกับอาหารลดคอเลสเตอรอล สำหรับคอเลสเตอรอลนั้นก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน ในด้านการเสริมสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย แต่หากมีมากจนเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้ถึงแก่ความตายได้ ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้ร่างกายเราได้รับคอเลสเตอรอลสูงเกินไปนั้น ได้แก่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ความดันโลหิต ไขมัน โรคอ้วน ความเค็มหรือเกลือ ความหวานหรือน้ำตาล รวมไปถึงการขาดการออกกำลังกายและความเครียดด้วย แล้วอาหารชนิดใดบ้างที่เราควรทานเพื่อช่วยลดปัญหาคอเลสเตอรอลในร่างกาย 1. ถั่วเมล็ดแห้ง 2. กระเทียมสด 3. ผักผลไม้หลากสี 4. นมพร่องมันหรือ หรือนมขาดมันเนย 5. หลีกเลี่ยงอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อแดง 6. ปลาทะเล 7. ข้าวหรือธัญพืชไม่ขัดสี ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง โฮลเกรน 8. ผักสีเขียวเข้ม เช่น ผักคะน้า บร็อกโคลี่ ผักตำลึง ฯลฯ 9. เลือกใช้น้ำมันพืชในการประกอบอาหาร

  • ดื่มกาแฟเวลาไหนดีที่สุด?

    ดื่มกาแฟเวลาไหนดีที่สุด?

    ดื่มกาแฟเวลาไหนดีที่สุด? ประชาชนชาวคาเฟอีนทั้งหลาย เคยรู้บ้างไหมว่าช่วงไหนที่ควรดื่มกาแฟมากที่สุด  แน่นอนว่าคำตอบส่วนใหญ่ก็คือเวลาเช้าตรู่  ดื่มพร้อมข้าวเช้า หรือดื่มหลังข้าวเช้า เพราะเข้าใจว่าจะช่วยให้ตาสว่างมากที่สุด  แต่ความเป็นจริงแล้ว ช่วงเวลาที่ดื่มกาแฟที่จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการบริโภคในช่วงเวลา 10.30 น. นั่นเอง  ซึ่งจากการวิจัยนั้น ระบุว่า การดื่มกาแฟจะได้ผลดีมากในช่วงเวลานี้เพราะมีระดับของฮอร์โมนคอร์ติซอลในร่างกายต่ำ ซึ่งช่วงเวลาตั้งแต่ 09.30-11.30 น. นั้น คือช่วงเวลาที่คาเฟอีนในกาแฟ จะเข้ากับฮอร์โมนดังกล่าวได้ดี  ส่วนระดับของคอร์ติซอลจะสูงในช่วงเวลา 08.00-09.00 น.  จึงไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการดื่มกาแฟเท่าไรนัก