Author: pure
-
รักษาอาการเมาค้างแบบง่าย ๆ 5 วิธี
รักษาอาการเมาค้างแบบง่าย ๆ 5 วิธี คนไทยเรานี่มีงานฉลองกันได้ทั้งปีนะคะ แล้วงานไหนก็มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบด้วยทั้งนั้น ถ้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดก็คงได้นอนยาวกันไป แต่ถ้าหากต้องทำงานล่ะก็ คงต้องหาทางจัดการกับอาการเมาค้างกันให้ได้ก่อนล่ะค่ะ มาดูวิธีการแก้เมาค้างด้วยอาหารที่หาทานได้ง่ายกันดังนี้ดีกว่าค่ะ – ทานแตงโม เพราะในแตงโมแช่เย็น ๆ มีสารซิทรัลลินทั้งในเนื้อและในเมล็ด ช่วยบรรอาการกระหายน้ำ ถอนพิษแอลกอฮอล์ แล้วยังช่วยทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้นจากวิตามินและแร่ธาตุเป็นจำนวนมากในเนื้อแตงโมด้วย – สตอเบอร์รี่เย็น ๆ ช่วยได้ ตื่นมาหลังจากเมาเต็มคราบ หยิบสตรอเบอร์รี่สด ๆ ทานซัก 10 ลูก ช่วยรักษาอาการปวดหัวเมาค้างได้ชะงัดนัก หรือจะดื่มเป็นน้ำสตรอเบอร์รี่ก็ดีเหมือนกันค่ะ วิตามินซีและวิตามินอื่น ๆ ในสตรอเบอร์รี่ช่วยให้สดชื่นได้อย่างรวดเร็วทันตา – ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น น้ำขิง น้ำกระเจี๊ยบ เปรี้ยว ๆ น้ำเก๊กฮวยก็ดีเหมือนกัน ช่วยให้ร่างกายสดชื่น หายวิงเวียนและปวดหัวได้ หาซื้อง่าย เพียงซื้อแบบผงมาติดบ้านไว้ชงดื่มเย็น ๆ ก็ช่วยบรรเทาอาการเมาค้างได้แล้ว – ช็อกโกแลต แบบแท่งนี่ล่ะ มีคาเฟอีนที่ช่วยให้ตื่นตัวและร่างกายกระฉับกระเฉงขึ้น ไม่ต้องนอนซมเพราะเมาค้างไปทั้งวันอีกแล้ว – หากตื่นมาหน้าโทรมเหลือทน เอาว้อดก้าที่เหลือ…
-
ขจัดรังแคด้วยแอปเปิ้ลไซเดอร์
ขจัดรังแคด้วยแอปเปิ้ลไซเดอร์ การเป็นรังแคบนหนังศีรษะ ทำลายบุคลิกภาพของเราได้อย่างไม่น่าเชื่อนะคะ แถมยังทำให้รู้สึกคันคะเยอตลอดเวลาอีกด้วย วันนี้จะขอนำเอาเคล็ดลับการรักษารังแคจากน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ ที่มีคุณสรรพคุณในการรักษาโรคผิวหนัง แล้วยังสามารถบรรเทาอาการรังแคบนหนังศีรษะได้ ให้คุณผู้อ่านได้นำเอาสูตรไปทดลองใช้กันนะคะ การใช้แอปเปิ้ลไซเดอร์เพื่อขจัดรังแคสามารถทำได้สองวิธีค่ะ 1. วิธีนี้ให้เริ่มต้นด้วยการสระผมด้วยแชมพูตามปกติให้สะอาด แล้วนำเอาแอปเปิ้ลไซเดอร์ผสมกับน้ำสะอาดในอัตราส่วน ที่เท่า ๆ กัน แล้วนำมาราดบนผมในน้ำสุดท้าย ไม่ต้องล้างน้ำออก ให้เช็ดผมได้เลยค่ะ 2. สำหรับวิธีนี้เป็นการหมักน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์บนผมค่ะ ให้นำเอาแอปเปิ้ลไซเดอร์มาราดลงไปบนหนังศีรษะให้ทั่วทุกตารางนิ้วของหนังศีรษะ แล้วนำผ้าขนหนูขนาดเล็กมาโพกผมไว้ หมักทิ้งไว้ราวหนึ่งชั่วโมง แล้วจึงมาสระผมให้สะอาดแล้วเช็ดให้แห้งค่ะ นอกจากน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์จะช่วยรักษารังแค แก้คันศีรษะได้แล้ว ยังทำให้เส้นผมนิ่มขึ้น และเงางามเป็นประกายอีกด้วยนะคะ
-
เคล็ดลับการกินบุฟเฟ่ต์ให้ดีต่อสุขภาพ
เคล็ดลับการกินบุฟเฟ่ต์ให้ดีต่อสุขภาพ สำหรับคนที่มักชอบทานบุฟเฟต์หรือไปกินเลี้ยงบุฟเฟ่ต์กันบ่อย ๆ วันนี้ลองมาดูเคล็ดลับการทานบุฟเฟ่ต์แบบที่ไม่ทำให้เสียสุขภาพกันนะคะ – เลือกทานผักและทานปลาให้มากหน่อย เพราะย่อยง่ายไม่ทำให้ท้องอืดหรือจุกเสียดท้องเหมือนเนื้อหมู เนื้อวัว แล้วยังเป็นมีไขมันน้อยกว่าอีกด้วย – เน้นทานบุฟเฟ่ต์แบบต้ม หรือลวก จะดีกว่าแบบปิ้ง ย่าง หรือทอด จะได้ไม่เสี่ยงต่อสารก่อมะเร็ง – ปกติทานอาหารบุฟเฟ่ต์ก็ทานเป็นปริมาณมากอยู่แล้ว หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์หรือน้ำอัดลมไปด้วยจะดีกว่า เดี๋ยวจะอ้วนมากเกินไป ทั้งยังทำให้ย่อยยาก แล้วก็จะอ้วนขึ้นได้ง่าย ๆ ดื่มน้ำชาหรือน้ำเปล่าจะดีกว่าเยอะค่ะ – เวลาตักของสด หรือเนื้อสัตว์ต่าง ๆ จากไลน์บุฟเฟ่ต์ สังเกตสภาพของอาหาร ทั้งรูปลักษณ์ สีและกลิ่นด้วย ว่ามีความแตกต่างไปจากปกติหรือเปล่า เพราะเมืองไทยอากาศร้อน อาหารจะบูดได้ง่าย – หากทานเป็นบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่าง อย่าเกรงใจเจ้าของร้านหรือน้อง ๆ เด็กเสิร์ฟเลย หากกระทะหรือเตาย่างเริ่มไหม้เกรียมแล้ว ก็เปลี่ยนอันใหม่ดีกว่า ห่างไกลมะเร็งแล้วยังทำให้อาหารสุกเร็วขึ้นอีกด้วยนะ – ค่อย ๆ ทานไปเรื่อย ๆ อาจจะลุกเดินไปย่อยบ้าง จะได้ไม่ทานเยอะเกินไปจนท้องอืด อาหารไม่ย่อยได้ หรือจะทานไปคุยเฮฮาสังสรรค์ไปด้วยก็น่าจะดีกว่า – หลังจากการทานบุฟเฟต์แล้ว อย่าเพิ่งกลับบ้านนอน…
-
แพทย์แผนไทย แนะอาหารที่ควรทานในฤดูหนาว ป้องกันอาการป่วย
แพทย์แผนไทยแนะอาหารที่ควรทานในฤดูหนาว ป้องกันอาการป่วย ในช่วงฤดูหนาวของไทยแม้จะไม่หนาวมากเท่าไร แต่อากาศที่เปลี่ยนแปลงไปกลับทำให้ใครหลายคนเจ็บป่วยกันไปมากเช่นกัน ทางกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จึงออกมาแนะนำอาหารที่ควรทานเพื่อบำรุงสุขภาพและป้องกันอาการเจ็บป่วยจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง ด้วยการแนะนำให้ทานพืชผักสมุนไพรที่มีรสชาติเปรี้ยว ขม และรสเผ็ด เพราะรสเปรี้ยวจะช่วยขับเสมหะ รสขมจะทำให้ทานอาหารได้มากและช่วยให้นอนหลับได้ดี ส่วนรสชาติเผ็ดร้อนจะให้ความอบอุ่นกับร่างกาย ด้วยการกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตทั่วร่าง โดยอาหารดังกล่าวนั้นได้แก่ – ขิง มีรสเผ็ดร้อนและมีฤทธิร้อน ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ระบายความเย็นออกไปจากร่างกาย จะนำมาต้มดื่มเป็นชาขิง แล้วเติมน้ำตาลกรวดหรือน้ำผึ้งดื่มอุ่น ๆ ก็ได้ – พริก ช่วยอบอุ่นร่างกาย การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ทำให้อาการชาบริเวณปลายมือและเท้าลดลงด้วยสารแคปไซซินที่พบได้มากในพริก – ยอดผักแต้ว ยอดผักติ้ว ยอดมะกอก ช่อมะม่วง ผักเม็ด สะเดา มะระ ผักเหล่านี้มีรสเปรี้ยว และขม ช่วยให้ธาตุสมดุล เป็นการเสริมภูมิต้องการโรคที่จะมีกับฤดูหนาวได้ดี
-
ดับเบิ้ล “อาหาร” ชะลอความชรา
ดับเบิ้ล “อาหาร” ชะลอความชรา เราจะเป็นในอย่างที่เรากิน หรือ You are what you eat เป็นประโยคที่ช่วยให้เราได้หยุดคิดก่อนที่จะหยิบอาหารชนิดใดเข้าปาก ว่าอาหารชนิดนั้น ๆ จะให้ผลกับสุขภาพของเราอย่างไร ดังนั้นการกินอาหารจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ หรือสักแต่กินตามท้องหิวหรือตามปากอยาก แต่ต้องมีเทคนิคการกินที่ดี รายการอาหารที่จะนำมาเสนอในตอนนี้จะเป็นคู่อาหารที่เมื่อจับคู่กันทานแล้ว จะช่วยชะลอความชราได้อย่างไม่น่าเชื่อ มาดูกันค่ะ คู่แรก ทานเนื้อปลา คู่กับ บร็อกโคลี่ อาหารคู่นี้เมื่อกินด้วยกันจะช่วยยับยั้งการก่อตัวและแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ เนื่องจากซีลีเนียมและซัลโฟ ราเฟนที่อยู่ในอาหารทั้งคู่ จึงช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งลงมากกว่าเลือกกินเดี่ยว ๆ ถึง 13 เท่าเลยทีเดียวค่ะ คู่ที่สอง ทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติ กับกล้วย เมื่อทานคู่กันจะช่วยดูแลลำไส้ ด้วยพรีไบโอติก และโพรไบโอติก เหมือนการช่วยกันผสานพลังในการดูแลระบบย่อยอาหารให้มีประสิทธิภาพ ทำงานได้อย่างเต็มที่ คู่ที่สาม ทานถั่วฝักยาวคู่กับพริกหวานสีแดง ช่วยป้องกันโรคทางเลือดและโลหิตจาง เพราะถั่วฝักยาวเป็นอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และเมื่อทานคู่กับอาหารที่มีวิตามินซีสูง ๆ จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้อย่างเต็มที่ ซึ่งหากไม่ได้ทานร่วมกันแล้วอาจทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากผักได้ไม่ถึงร้อยละ 10 ในส่วนของถั่วฝักยาวนั้น สามารถเปลี่ยนเป็นผักคะน้าหรือบร็อกโคลี่ก็ได้ผลเช่นเดียวกันค่ะ คู่ที่สี่ ทานแอปเปิ้ลร่วมกับองุ่น เป็นการผสานพลังกันระหว่างสารเควอซิตินในแอปเปิ้ล…
-
บรรเทาอาการท้องเสียด้วย “ฝรั่ง”
บรรเทาอาการท้องเสียด้วย “ฝรั่ง” เชื่อหรือไม่คะว่าผลไม้สีเขียวสดกรอบ ทานอร่อยอย่างฝรั่งเนี่ย มีสรรพคุณทางยาที่ช่วยให้เราบรรเทาอาการท้องเสียได้ด้วยค่ะ ซึ่งความรู้แบบนี้เป็นภูมิปัญญาทางการแพทย์แผนไทยที่ใช้กันมานานแล้ว แต่เราก็สามารถปรุงยาจากฝรั่งด้วยตัวเองได้ง่าย ๆ อีกด้วย ลองอ่านเก็บเป็นความรู้ไว้ในกรณีที่เกิดอาการท้องเสียจะได้นำไปใช้ได้อย่างทันท่วงทีนะคะ – วิธีแรกใช้ใบฝรั่งค่ะ นำใบฝรั่งประมาณ 15 ใบ มาล้างน้ำให้สะอาดแล้วโขลกพอแหลก ใส่น้ำ 1 แก้วลงไป นำไปต้มใส่เกลือเมื่อเดือดยกลงนำมาดื่มเป็นชาใบฝรั่ง ช่วยระงับอาการท้องเดินได้ดี – วิธีที่สองนำฝรั่งลูกอ่อน ๆ มาฝานเอาแต่เปลือกและเนื้อ ทิ้งเมล็ดไป จิ้มเกลือนิดหน่อยทาน หรือนำมาต้มเป็นน้ำฝรั่งก็ได้เหมือนกัน – วิธีที่สาม ใช้ใบฝรั่งเหมือนกันแต่ไม่ต้องต้มค่ะ เลือกใบฝรั่งอายุกลาง ๆ ไม่แก่หรืออ่อนเกินไป ตัดหัวตัดท้ายแล้วล้างให้สะอาด จากนั้นแช่น้ำไว้สักครู่ แล้วตักน้ำที่แช่ไว้มาจิบทีละนิด ให้ค่อย ๆ จิบ เดี๋ยวจะกลายเป็นท้องผูกไป ไม่อยากเลยนะคะ สำหรับการปรุงยาแก้ท้องเสียจากฝรั่งนี้ ไม่เป็นอันตรายแถมยังเป็นการรักษาภูมิปัญญาโบราณเราไว้ได้อีกด้วยค่ะ
-
อาบน้ำร้อน อาบน้ำอุ่น อาบน้ำเย็น อาบยังไงดี?
อาบน้ำร้อน อาบน้ำอุ่น อาบน้ำเย็น อาบยังไงดี? กิจกรรมอาบน้ำ บางคนก็ให้เวลาพิถีพิถันกับเรื่องนี้มาก แต่บางคนก็ขอให้พอสะอาดก็พอแล้ว แต่รู้กันบ้างไหมคะว่า อุณหภูมิของน้ำที่เราอาบ ก็ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของเราได้เหมือนกัน เรามาดูกันค่ะว่าอุณหภูมิของน้ำระดับไหน สร้างผลกระทบอะไรต่อร่างกายเราได้บ้าง – การอาบน้ำร้อน หรือน้ำที่มีอุณหภูมิอยู่ที่ราว 37 องศาเซลเซียสขึ้นไปนั้น จะทำให้เลือดไหลเวียนได้อย่างดี เหมาะสำหรับการอาบตอนเช้า เพราะขับไล่ความขี้เกียจได้ แต่ไม่เหมาะสำหรับการอาบนนานเกินไปเพราะจะทำให้หลอดเลือดขยายตัวมากเกินไปจนทำให้ผิวแห้ง เป็นผื่น เหี่ยวย่น และอาจทำให้เลือดคั่ง กระวนกระวาย รู้สึกง่วง ซึม จึงไม่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและมีความดันไม่ปกติ – การอาบน้ำอุ่น หรือมีอุณหภูมิราว 27-37 องศาเซลเซียส ระดับนี้อาบแล้วกำลังสบาย ๆ เพราะช่วยให้ร่างกายสลาย จิตใจสงบ คลายเครียดได้ดี แล้วยังช่วยกระตุ้นระบบประสาทด้วย – การอาบน้ำเย็น ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 27 องศาเซลเซียส จะช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ผิวเต่งตึง รูขุมขนกระชับ ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อ – ส่วนการแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำนั้น เป็นการแช่เพื่อช่วยยืดเส้นยืดสาย ทำให้ผิวสวย ลดอาการมือเท้าเย็น กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ลดเส้นเลือดขอดได้ด้วย…
-
ตะแคงข้างไหน นอนหลับได้ดีที่สุด
ตะแคงข้างไหน นอนหลับได้ดีที่สุด การนอนที่เราทำอยู่ทุกคืนวันเนี่ย แต่ละคนก็มีท่าทางในการนอนที่ช่วยให้นอนหลับได้สบายแตกต่างกันออกไป บ้างก็นอนหงาย บ้างก็นอนคว่ำ บ้างก็ชอบนอนซุกหมอน บางคนก็นอนตะแคง แต่รู้ไหมคะว่าแต่ละท่าที่เรานอนกันถึงวันละ 8 ชั่วโมงนั้นส่งผลต่อสุขภาพของเราได้เลยนะคะ ว่าแล้วมาเลือกท่าทางการนอนที่ดีต่อสุขภาพกันดีกว่า แล้วเราจะนอนตะแคงข้างไหนกันดี.. มาดูกันค่ะ 1. ท่านอนหงาย เป็นท่ามาตรฐานสำหรับการนอนเลยทีเดียว แต่ก็อาจสร้างปัญหาให้กับคนที่มีอาการปวดหลังได้ เพราะจะทำให้ปวดมากขึ้น หากถนัดนอนท่านี้ควรใช้หมอนหนุนรองใต้โคนขา จะดีกว่า รวมไปถึงควรบริหารกล้ามเนื้อหลังเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นและลดการเกร็งตัวจะเป็นการบรรเทาอาการปวดหลังได้ดีกว่า 2. ท่านอนตะแคง ข้างที่ควรตะแคงคือตะแตงขวา หัวใจจะได้ทำงานได้สะดวก อาหารจากกระเพาะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดีกว่า ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ การนอนตะแคงจะช่วยลดการกรนได้ดี 3. ท่านอนคว่ำ การนอนคว่ำจะทำให้หายใจไม่ค่อยสะดวกนัก ยิ่งโดยเฉพาะผู้ที่มีเต้านมใหญ่ สำหรับผู้ชาย หากนอนคว่ำจะทำให้อวัยวะเพศถูกกดทับ ทำให้เกิดอาการชาได้หากต้องการนอนคว่ำ ควรหาหมอนมาหนุนใต้ทรวงอกให้สูงไว้จะสบายมากขึ้นค่ะ อย่าเห็นว่าเป็นเพียงการนอนนะคะ เพราะการนอนเป็นกิจวัตรที่เราใช้เวลาถึง 1 ใน 3 ของวันเลยทีเดียว ดังนั้นท่าทางการนอนจึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราได้มากไม่ต่างจากกิจกรรมอื่น ๆ เลยค่ะ
-
หลากหลายเรื่องราวเกี่ยวกับ “น้ำอัดลม”
หลากหลายเรื่องราวเกี่ยวกับ “น้ำอัดลม” แม้น้ำอัดลมจะเป็นเครื่องดื่มที่เราเห็นกันจนเจนตา และดื่มกันมากจนเจนปากก็ตาม แต่จะมีใครรู้บ้างว่าในน้ำอัดลมนั้น ให้โทษให้ประโยชน์และก่อผลกระทบอย่างไรต่อร่างกายบ้าง วันนี้มาดูกันชัด ๆ เลยค่ะ 8 ข้อ 1. แน่นอนล่ะว่าน้ำอัดลมต้องมีน้ำตาลอยู่สูงมาก เพราะเป็นสารที่ทำให้เครื่องดื่มมีความหวาน ดื่มแล้วสดชื่น แต่หารู้ไม่ว่าหากคุณดื่มทุกวัน คุณก็อาจมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วนเพราะได้รับน้ำตาลมากเกินความจำเป็น 2. ในน้ำอัดลมมีการอัดก๊าซเอาไว้ ดังนั้นการดื่มน้ำอัดลมก็จะทำให้ท้องอืด ปวดท้องแน่นท้องได้ เพราะเกิดก๊าซในกระเพาะอาหาร 3. น้ำอัดลมมีความเป็นกรดสูง ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร จะยิ่งกระตุ้นแผลและทำให้อาการแย่ลง 4. อีกทั้งกรดในน้ำอัดลมยังทำให้เคลือบฟันเสื่อม เป็นสาเหตุของฟันผุอีกด้วย 5. สำหรับผู้ที่จัดฟัน การดื่มน้ำอัดลมจะทำให้เกิดคราบบริเวณรอยต่อระหว่างเหล็กและฟัน 6. นอกจากจะทำให้อ้วน น้ำหนักเกินแล้ว การดื่มน้ำอัดลมมากเกินไปจะทำให้โพแทสเซียมในเลือดต่ำลง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้ 7. ในน้ำอัดลมมีคาเฟอีน จึงทำให้ตื่นตัว แต่ก็อาจทำให้นอนไม่หลับ มีอาการใจสั่น กระทั่งปวดศีรษะได้ด้วย 8. การดื่มน้ำอัดลมทำให้กระดูกสูญเสียแคลเซียม ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนได้
-
วิธีป้องกันอาการตาแห้งในฤดูหนาว
วิธีป้องกันอาการตาแห้งในฤดูหนาว เวลาอากาศหนาวหรือแม้แต่การต้องอยู่ในที่อากาศแห้ง หรือเย็นนาน ๆ อย่างในห้องแอร์ อาจทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ขึ้นได้ พบมาในผู้ที่สวมใส่คอนแทคเลนส์ เด็ก ผู้สูงอายุ ตลอดจนผู้ที่ทำงานกลางแจ้งนาน ๆ ซึ่งทำให้เกิดอาการแสบตา ตาล้า และพร่ามัวได้ ดังนั้นเราจึงควรหาวิธีป้องกันอาการตาแห้งนี้ไว้ก่อนดีกว่านะคะ ซึ่งก็มีวิธีง่าย ๆ เพียงไม่กี่ข้อดังต่อไปนี้ 1. พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน 2. หากจำเป็นต้องออกแดด หรืออยู่กลางแจ้ง ควรสมแว่นกันแดด แว่นตากันลม หรือสวมหมวกทุกครั้ง 3. ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียงทุกวัน โดยเฉพาะเวลาต้องออกจากบ้านให้ดื่มน้ำเติมเข้าไปในร่างกายก่อน เพื่อมิให้ร่างกายขาดน้ำเวลาต้องออกไปอยู่นอกบ้านนาน ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการดวงตาแห้งได้ 4. ทานอาหารที่ช่วยบำรุงดวงตา เช่น อาหารที่มีวิตามินเอสูง เช่น มะละกอ ผักใบเขียวต่าง ๆ คะน้า ใบตำลึง ผักบุ้ง รวมไปถึง ฟักทอง แครอท โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงาน นักเรียนนักศึกษาที่จำเป็นต้องใช้สายตามาก ๆ ด้วย โรคหลายอย่างสามารถป้องกันได้ด้วยการปฏิบัติตัวและเลือกทานอาหารบำรุงให้ถูกต้อง กันไว้ดีกว่าแก้นะคะ