Author: pure
-
ผลเสียของน้ำอัดลม ที่มีต่อสุขภาพของเด็ก
ผลเสียของน้ำอัดลม ที่มีต่อสุขภาพของเด็ก เครื่องดื่มเย็น ๆ อย่างน้ำอัดลมนั้น เป็นที่นิยมดื่มกันทั่วบ้านทั่วเมือง ไม่ว่าจะผู้ใหญ่ คนทำงาน แม่บ้านหรือเด็ก ๆ ทั้งหลาย รสชาติหวานซาบซ่าน หาซื้อก็ง่าย แต่น้ำอัดลมเหล่านี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ยิ่งถ้าเป็นเด็กก็จะส่งผลกระทบต่อความสูง ทำให้ฟันผุมีปัญหาช่องปาก และน้ำหนักตัวได้ อีกทั้งยังส่งผลเสียอื่น ๆ อีกได้ดังนี้ – การดื่มแต่น้ำอัดลมแล้วไม่ยอมกินอาหารอื่นจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร เพราะความหวานจะทำให้อิ่มและกินอาหารอื่นได้น้อย ส่งผลเสียให้อ้วนน้ำหนักเกิน ฟันผุจากกกรดในน้ำอัดลมทำลายสารเคลือบฟัน ด้วย – น้ำอัดลมทำให้ปวดท้อง เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่อัดในน้ำอัดลมรวมกับน้ำกลายเป็นกรดคาร์บอนิค ทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบ ท้องอืด แน่นท้อง โดยเฉพาะในเด็ก ๆ จะพบได้บ่อยมาก – คาเฟอีนในน้ำอัดลมทำให้ใจสั่น มือสั่น นอนไม่หลับ – อีกทั้งคาเฟอีนยังส่งผลให้ขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะมากขึ้น ทำให้มีโอกาสสูญเสียแคลเซียมจากร่างกาย และในน้ำอัดลมมีฟอสเฟตสูง ทำให้ระดับแคลเซีมในร่างกายต่ำลม ส่งผลให้กระดูกเปราะ ผุกร่อนได้ง่าย ก่อนวัยอันควร – ทำให้เด็กขาดสารอาหาร เพราะมีความหวานมากหากดื่มก่อนมื้ออาหาร จะทำให้กินได้น้อย ได้สารอาหารไม่ครบถ้วน เด็กจึงอาจขาดสารอาหารได้ ความจริงแล้วน้ำอัดลมก็ไม่ใช่เครื่องดื่มที่เหมาะกับวัยไหนทั้งสิ้นนะคะ หากเป็นไปได้ผู้ปกครองและครูควรร่วมมือกันทำให้บ้านและโรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดน้ำอัดลม…
-
วิธีการเตรียมตัวสำหรับผู้ป่วย ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจก
วิธีการเตรียมตัวสำหรับผู้ป่วย ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจก เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีเพื่อการผ่าตัดต้อกระจกนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากอีกต่อไปแล้ว เพราะใช้เครื่องอัลตร้าซาวน์ในการสลายต้อ ทำให้มีแผลเล็ก หายเร็ว ก่อการผ่าจะมีการหยอดยาชาหรือฉีดยาชาที่ตาเพื่อไม่ให้เจ็บ ไม่ต้องดมยา จึงไม่ต้องนอนพักค้างที่โรงพยาบาลหลังผ่าตัด แต่ก่อนที่ผู้ป่วยจะเข้ารับการผ่าตัดควรมีการเตรียมตัวก่อนเพื่อความปลอดภัยดังต่อไปนี้ค่ะ 1. งดยาสลายลิ่มเลือดก่อนการผ่าตัดประมาณหนึ่งสัปด์ ไม่ว่าจะเป็นแอสไฟริน หรือ Plavix ผู้ป่วยบางคนต้องปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนว่าจะหยุดยาสลายลิ่มเลือดได้หรือไม่ ดังนั้นการผ่าตัดต้อกระจกก็ต้องปรึกษาหมอตาและหมอประจำตัวก่อนด้วยเสมอ 2. ในส่วนยาที่เคยทานประจำอื่น ๆ ให้ทานจนถึงเช้าวันผ่าตัดเลย ห้ามหยุดเด็ดขาดโดยเฉพาะยาลดความดัน ยาเบาหวาน เพราะหากหยุดยาไปก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทำให้ผ่าไม่ได้ก็มี 3. เช้าวันที่จะมาผ่าตัดให้อาบน้ำ สระผมมาให้เรียบร้อย เพราะต้องงดสระผมเองอีก 1 เดือน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าตา จะทำให้ติดเชื้อได้ แต่ระหว่างนั้นก็สามารถนอนให้คนอื่นสระได้ แต่ห้ามมิให้น้ำเข้าตาเด็ดขาด 4. งดแต่งหน้ามาในเช้าวันที่จะผ่าตัด หรือไม่ก็ต้องล้างออกให้หมดก่อนผ่าตัด 5. สวมเสื้อที่ติดกระดุมหน้า ไม่ควรสวมเสื้อแบบถอดทางศีรษะ จะได้สะดวกในการเปลี่ยนเสื้อผ้า 6. หากมีการอักเสบติดเชื้อไม่ว่าส่วนใดของร่างกายเช่น เชื้อราที่นิ้ว แผลอักเสบที่เท้า หรือทางเดินปัสสาวะ หรือตากุ้งยิง ต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไปก่อนเพื่อรอให้การติดเชื้อทุกส่วนหายดี มิเช่นนั้นอาจเกิดติดเชื้อผ่านทางกระแสเลือดมาที่ลูกตาได้ แม้จะไม่บ่อยแต่ก็เกิดขึ้นได้ค่ะ 7. ให้คนในครอบครัว ญาติ หรือเพื่อนมาด้วยในวันผ่าตัดเพื่อพากลับบ้าน เพราะหลังผ่าตัดจะต้องปิดตาข้างที่ผ่ากลับไป…
-
ปลายฝนต้นหนาว ระวังเด็ก ๆ เป็นปอดบวม
ปลายฝนต้นหนาว ระวังเด็ก ๆ เป็นปอดบวม โรคปอดบวมนั้น หากเกิดขึ้นในผู้ใหญ่แล้วก็ยังไม่ค่อยน่ากังวลเท่าไรนัก เพราะร่างกายผู้ใหญ่มีความแข็งแรงและมีภูมิต้านทานโรคมากกว่า แต่หากเป็นเด็กแล้วก็มีอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตสูงอยู่มาก ดังนั้นในช่วงปลายฝนต้นหนาว ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม ถึงเดือนธันวาคม จึงเป็นช่วงที่ต้องเฝ้าระวังมิให้ลูก ๆ หลานติดเชื้อปอดบวมเข้าได้ โรคปอดบวมนั้น สามารถติดเชื้อได้ด้วยการหายใจเอาเชื้อที่ล่องลอยในอากาศเข้าสู่ปอด, ติดเชื้อได้จากการไอจามรดกัน หรือการคลุกคลีใกล้ชิดผู้ป่วย อาการเริ่มต้นจะมีไข้หวัดมาก่อนประมาณ 2-3 วัน แล้วจะมีไข้สูงขึ้น ไอหนัก หายใจหายและถี่ หากเป็นมากจะหายใจจะชายโครงบุ๋ม ในเด็กทารกจะซึม ไม่กินนม บางรายไข้สูงมากอาจจะชักได้ บางรายก็มีเสียงหายใจดังวี๊ด ๆ ปากเขียว เล็บเขียว กระสับกระส่าย ดังนั้นหากเด็กป่วยขึ้นมาในระยะปลายฝนต้นหนาว คุณพ่อคุณแม่จึงต้องดูแลหรือพาไปพบแพทย์โดยเร็ว หากมิเช่นนั้นแล้วอาจลุกลามรุนแรงขึ้นไปเป็นโรคอื่น ๆ เช่น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด หรือหูอักเสบได้ นำไปสู่การเสียชีวิตได้เลยทีเดียว ในส่วนของการรักษาแพทย์จะจ่ายยาแล้วให้กลับไปดูแลที่บ้านแล้วจึงนัดมาดูอาการอีกครั้ง ซึ่งการดูแลเด็กที่ป่วยเป็นโรคปอดบวมที่บ้าน ก็ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ – กินยาตามขนาดและเวลาให้เคร่งครัด ด้วยความที่ยามีหลายขนาน จึงต้องอ่านฉลากยาให้ละเอียดก่อนใช้ ห้ามซื้อยามาให้ผู้ผ่วยกินเอง แม้แต่ยาแก้ไอก็ตาม เพราะอาจเกิดอาการแทรกซ้อนเป็นอันตรายได้ – หากเด็กมีไข้สูง ควรให้ยาลดไข้ตามขนาดที่กำหนดมีระยะเวลาห่างกันอย่างน้อย…
-
ความสุขสร้างง่าย สร้างได้ด้วยตนเอง
ความสุขสร้างง่าย สร้างได้ด้วยตนเอง ความสุขนั้นเกี่ยวพันกับฮอร์โมนหรือสารเคมีในสมองอยู่สามชนิด ได้แก่ โดพามีน หลั่งออกมาเมื่อเราได้รับสิ่งที่สมปรารถนา ซีโรโทนิน จะหลั่งออกมาเมื่อมีความรู้สึกสงบผ่อนคลาย ส่วนเอนโดรฟีน เป็นสารแห่งความสุข ช่วยคลายความเจ็บปวด เพื่อภูมิต้านทาน เพิ่มความสามารถในการคิด เพิ่มความจำได้ดีขึ้น ถือเป็นยาชั้นเยี่ยมที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นมาได้เอง เวลาที่คนเรามีความสุข จะมีความคิดสร้างสรรค์ดี ๆ เกิดขึ้น สามารถแก้ปัญหาและรับมือกับเรื่องราวต่าง ๆ ได้ แม้แต่คนรอบข้างก็รู้สึกมีความสุขตามไปด้วย ตรงกันข้ามกับจิตใจที่เป็นทุกข์ที่จะทำให้เกิดความรู้สึกในแง่ลบ แม้แต่โรคภัยก็คุกคาม เราสามารถเพิ่มฮอร์โมนแห่งความสุขสามชนิดข้างต้นได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ค่ะ 1. หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยเดินให้บ่อยขึ้น มีเวลาสำหรับการออกกำลังกายวันละครึ่งชั่วโมง ช่วยให้สดชื่นกระฉับกระเฉง จิตใจมั่นคงสดใสขึ้น 2. ทำกิจกรมกลางแดดอ่อน ๆ ตอนเช้าหรือตอนเย็น อย่างน้อย 15-20 นาที แสงแดดอ่อนจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเมลาโทนินออกมา ช่วยให้หลับหลับได้ดีในเวลากลางคืน 3. ทานอาหารที่หลากหลายและครบถ้วนทั้งห้าหมู่ให้มีความสมดุลและเหมาะสมกับสุขภาพ จะช่วยให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนแห่งความสุขดังกล่าวออกมา 4. การนวดช่วยเพิ่มการหลั่งสารซีโรโทนินได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28 และลดฮอร์โมนคอร์ติซอนซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างความเครียดได้ถึงร้อยละ 31 5. ฝึกลมปราณด้วยการหายใจเข้าออกลึก ๆ ยาว ๆ ช้า…
-
โรคหลอดเลือดสมอง ส่งผลต่อร่างกายและจิตใจอย่างไรบ้าง
โรคหลอดเลือดสมอง ส่งผลต่อร่างกายและจิตใจอย่างไรบ้าง โรคหลอดเลือดสมองนั้นเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้อย่างเฉียบพลัน แต่กลับรักษาให้หายกลับเป็นปกติได้ยากมาก ส่งผลต่อร่างกายและจิตใจหลายด้าน ดังต่อไปนี้ – ทำให้ร่างกายอ่อนแรง ข้างใดข้างหนึ่ง ตลอดจนทำให้มีปัญหาในด้านการทรงตัว ไม่ว่าจะนั่ง เดิน หรือยืนก็ลำบาก รวมทั้งอาจทำให้การสื่อสารลำบากไปด้วยทั้งการพูด การเขียน บางคนก็พูดไม่ได้แต่ฟังรู้เรื่อง บางรายก็พูดได้ลำบากมาก และมีปัญหาการกลืนอาหาร เป็นต้น – อวัยวะข้างใดข้างหนึ่งเกิดการชาหรือปวด – มีระบบความจำ ความคิดและการเรียนรู้ที่บกพร่องไป – มีปัญหาการกลืนอาหาร ขับถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ – มักมีอาการเหนื่อยง่าย – มีอารมณ์ที่แปรปรวน เช่น หัวเราะหรือร้องไห้เสียงดัง ในระยแรกจะมีความวิตกกังวลเพราะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร สาเหตุจากอะไร รักษาอย่างไร เสียค่าใช้จ่ายมากแค่ไหน รักษาแล้วหายหรือไม่ มักแสดงออกมาทางร่างกายก็คือ นอนไม่หลับ พฤติกรรมถดถอย กระสับกระส่าย เรียกร้องความสนใจ – มีภาวะซึมเศร้า เพราะการป่วยเป็นเวลานานทำให้เกิดความเบื่อหน่ายสิ้นหวัง ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม เบื่อกิจกรรมทุกอย่าง ท้อแท้ อยากตาย คิดว่าตนเองไม่มีโอกาสหาย เป็นภาระของครอบครัวหรือรู้สึกไม่มีคุณค่า – มีพฤติกรรมต่อต้านการดูแล…
-
ใช้ชีวิตอย่างไรไม่เป็นทาสความเครียด
ใช้ชีวิตอย่างไรไม่เป็นทาสความเครียด ความเครียดเป็นภาวะที่ใคร ๆ ก็เคยประสบพบพานกันมาทั้งนั้น แต่เราจะทำอย่างไรจึงจะอยู่ห่างไกลความเครียดและมีคุณภาพจิตที่ดีขึ้นได้ล่ะ วันนี้เรามารู้จักกับความเครียดและวิธีบริหารจัดการความเครียดกันนะคะ ความเครียดนั้นเป็นเรื่องของจิตใจที่มักเกิดความตื่นตัวขึ้นเพื่อพร้อมรับการสถานการณ์ ซึ่งคาดว่าจะเกินกำลังความสามารถที่จะแก้ไขได้ ทำให้รู้สึกหนักใจ รู้สึกทุกข์ ต่อมาจึงส่งผลให้เกิดความผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจตามมา ความเครียดสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะของคน ๆ นั้น ความเครียดในระดับที่พอดีจะช่วยให้ชีวิตมีความกระตือรือร้นที่จะต่อสู้ฝ่าฟันปัญหาต่างๆ ในชีวิต และนี่ก็คือข้อดีของความเครียด แต่อย่างไรก็ดี ความเครียดมักสร้างปัญหาให้กับร่างกายและจิตใจมากกว่า เราจึงควรเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการความเครียด ด้วยวิธีคิดที่เหมาะสมได้แก่ 1. บริหารจัดการความคิดให้ยืดหยุ่นมากขึ้น ลดความเข้มงวดเอาจริงเอาจัง หรือการตัดสินถูกผิดให้น้อยลง รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ลดทิฐิมานะ และรู้จักการให้อภัยชีวิตจะมีความสุขมากขึ้นและมีความเครียดน้อยลงไปด้วย 2. อย่าด่วนเชื่อหรือสรุปอะไรง่าย ๆ คิดอย่างมีเหตุผล ตรวจสอบข้อเท็จจริง ความเป็นไปได้ให้รอบคอบ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกเอาง่าย ๆ 3. มองหลาย ๆ มุม จะทุกข์น้อยลง หัดคิดในมุมของคนอื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา จะช่วยให้มองอะไร ๆ ได้กว้างไกลกว่าเดิม 4. หัดคิดในเรื่องดี ๆ จะทำให้สบายใจมากขึ้น การคิดแต่เรื่องร้าย ๆ หรือความล้มเหลวผิดหวังยิ่งเป็นทุกข์และเครียดมากกว่าเดิม 5.…
-
คิดอย่างไร..ให้จิตใจไร้ทุกข์?
คิดอย่างไร..ให้จิตใจไร้ทุกข์? ความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่เข้าใครออกใคร มาเร็ว ไปก็เร็ว แถมเวลาที่คิดจะคงอยู่ในตัวเรา ก็อยู่ได้นานแสนนาน เชิญออกไปก็ไม่ยอมออก.. พลอยให้จิตใจเศร้าหมอง ขาดความสุข ความเบิกบาน ซึ่งความทุกข์นี้ก็เกิดจากความคิดของเรานั่นเอง แล้วเราจะปรับความคิดให้เหมาะสมเพื่อให้จิตใจเป็นสุขได้อย่างไรบ้าง? 1. ยืดหยุ่นมากขึ้น เอาผิด จับผิดคนอื่น ๆ ให้น้อยลง รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ลดทิฐิมานะลง ให้อภัยให้ง่ายขึ้น ไม่ถือโทษโกรธเคืองนาน ๆ หัดลืมอะไรง่าย ๆ เสียบ้างชีวิตจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะ 2. มีเหตุผล อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ หัดใช้สติปัญหาหาข้อเท็จจริงก่อนค่อยเชื่อ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนอื่นที่มาหลอกได้ 3. คิดหลาย ๆ มุม ทั้งด้านดีและด้านไม่ดี เพราะไม่ว่าใครจะเป็นตัวเราหรือคนอื่นต่างก็มีด้านที่ดีและไม่ดีทั้งสิ้น การมองด้านเดียวทำให้เกิดทุกข์ และควรมองในมุมมองของคนอื่นบ้าง เช่น คนรักของเราคิดอย่างไร เจ้านายมองเราอย่างไร ลูกคิดอะไรอยู่ จะช่วยให้มองอะไรได้กว้างไกลกว่าเดิม มีทุกข์น้อยลงไปด้วย 4. คิดแต่เรื่องดี ๆ ที่ชอบใจพอดี การคิดเรื่องร้ายทำให้ดึงเรื่องร้ายเข้ามามากขึ้น ไม่ทำให้สุขใจ แถมยังเป็นทุกข์ขึ้นไปอีก คิดถึงเรื่องดี ๆ…
-
อาณิสงค์ของการเจริญสติ 10 ประการ
อาณิสงค์ของการเจริญสติ 10 ประการ การเจริญสติ ก็คือการบริหารจิตนั่นเอง ซึ่งการบริหารจิตนี้จะส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีของโครงสร้างสมอง มีผลให้การพัฒนาจิตใจดีขึ้นไปด้วย และนอกจากนี้ยังมีอาณิสงค์อื่น ๆ อีกได้แก่ 1. ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น สามารถจัดการกับความเครียดได้และมีความสงบ ร่มเย็นมากขึ้น 2. ความจำดีขึ้น เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น 3. มีใจที่เป็นอิสระ ไม่ยึดติด เป็นกลางและปราศจากอคติ 4. มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น 5. เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น มีความเข้าใจและให้การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น 6. เพิ่มระดับของภูมิคุ้มกันโรค ป้องกันและบรรเทาโรคภัยต่าง ๆ ได้ 7. ทำให้จิตใจเข้มแข็งขึ้น เผชิญกับวิกฤตต่าง ๆ ในชีวิตได้อย่างกล้าหาย มีสติปัญญารู้เท่ากันตัวเอง ยอมรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นอย่างสงบเย็น และมีสติในการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ได้ 8. ทำให้ร่างกายฟื้นพลังได้รวดเร็วขึ้น 9. มีสติ และไม่ประมาท กับการใช้ชีวิต 10. สามารถนำมาบำบัดโรคทางจิตได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรคเครียด และโรคทางกายที่เกิดจากจิต…
-
ป้องกันตัวเองจากอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต
ป้องกันตัวเองจากอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต ทุกปีจะมีคนเสียชีวิตจากอาการอัมพาตถึงกว่าปีละหกล้านคน มากกว่าการตายจากโรคเอดส์ วัณโรคและมาเลเรียรวมกันเสียอีก เฉพาะในประเทศไทยเองมีคนตายจากโรคหลอดเลือดสมองโดยเฉลี่ยถึงวันละเกือบ 40 ราย หากคุณไม่อยากเป็นหนึ่งในนั้น ก็ควรมาทำความรู้จักกับโรคนี้และหาวิธีป้องกันไว้ก่อนดีกว่า โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือโรคหลอดเลือดสมองนี้เป็นโรคที่เกิดจากการที่สมองได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ ทำให้สูญเสียการควบคุมการทำงานของร่างกาย แบ่งออกเป็นหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน และอีกชนิดก็คือหลอดเลือดสมองแตก ผู้ที่มีความเสี่ยงมากก็จะเป็นในกลุ่มผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง มีกรรมพันธ์เป็นโรคหลอดเลือดสมอง กลุ่มคนอ้วน ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย รวมไปถึงผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำและผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วย ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่กล่าวมานี้ควรใส่ใจสุขภาพให้มากขึ้น จะป้องกันได้กว่าร้อยละ 80 ควรปฏิบัติตามดังต่อไปนี้ 1. ควบคุมน้ำหนักตัวอย่าให้อ้วนเกินมาตรฐาน โดยให้มีค่าดัชนีมวลกายอยู่ที่ 18.5-22.9 กิโลกรัมต่อตารางเมตร 2. ลดอาหารหวาน มัน เค็ม แล้วทานผักและผลไม้ไม่หวาน รวมไปถึงธัญพืชต่าง ๆ ให้มากขึ้น 3. หากตนเองเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือโรคอื่น ๆ ก็ควรเข้ารับการตรวจรักษาจากแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำ 4. ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง อาทิตย์ละ 3-4 วัน 5. งดการดื่มเหล้า และการสูบบุหรี่ รวมไปถึงควันบุหรี่มือสองด้วย…
-
ดนตรีบำบัด บำบัดทุกข์ทางใจและทางกาย
ดนตรีบำบัด บำบัดทุกข์ทางใจและทางกาย ดนตรีบำบัดหมายถึงการนำเอาดนตรีหรือส่วนประกอบอื่น ๆ มาใช้เพื่อบำบัดฟื้นฟูเยียวยาร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ของผู้ป่วย ดนตรีจะทำให้อารมณ์ด้านลบที่ถูกเก็บไว้ในร่างกายและจิตใจเปิดเผยออกมา เมื่อได้รับการดูแลด้วยกระบวนการที่เหมาะสมก็จะทำให้เกิดกำลังใจ และพบความสมดุลของอารมณ์ ทำให้ต่อสู้กับโรคภัยทั้งทางกายทางใจได้ ซึ่งสามารถบำบัดได้ด้วยการฟังและการเล่น เคยมีหลักฐานทางการแพทย์ว่าเสียงดนตรีช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในระหว่างการคลอดได้ ด้วยการฟังดนตรีคลาสสิก ปัจจุบันนี้ได้มีการทำดนตรีแนวใหม่ที่เรียกว่า New age music เพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกผ่อนคลาย สร้างสมดุลทั้งร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ มักนิยมเปิดในระหว่างการนั่งสมาธิ เล่นโยคะ หรือระหว่างการพักผ่อนหรือบำบัดในสปา ดนตรีบำบัดนั้นสามารถใช้ได้ทุกวัย และบรรเทาปัญหาที่แตกต่างกันได้หลากหลายทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น ปัญหาพัฒนาการบกพร่อง ปัญหาโรคซึมเศร้า โรคอัลไซเมอร์ ความพิการทั้งทางกาย และยังเหมาะสำหรับคนปกติทั่วไปที่ต้องการผ่อนคลายจากความตึงเครียดและปลดปล่อยอารมณ์ด้วย ประโยชน์ของดนตรีบำบัดนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น.. ช่วยปรับสภาพจิตใจให้สมดุล ลดความวิตกกังวล กระตุ้นประสาทสัมผัส เสริมสร้างความจำ พัฒนาการเรียนรู้ สร้างสมาธิ ช่วยให้มีทักษะหลายด้านดีขึ้น พัฒนาการเคลื่อนไหว ลดความเครียดเกร็งของกล้ามเนื้อ ลดความเจ็บปวดจากสาเหตุต่าง ๆ สร้างสัมพันธภาพที่ดีในการรักษา และส่งเสริมกระบวนการบำบัดทางจิตเวชได้ดีเยี่ยม ฯลฯ โดยทั่วไปแล้วดนตรีบำบัดสามารถออกแบบให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้ โดยไม่มีรูปแบบที่ตายตัว โดยเริ่มจากการประเมินผู้รับบำบัดแล้วค่อยวางแผนการบำบัดและเลือกดนตรีให้เหมาะสมไปสำหรับแต่ละราย ซึ่งการแพทย์ทางเลือกในปัจจุบันเริ่มมีบทบาทที่ชัดเจนในการช่วยการแพทย์แผนปัจจุบันในการรักษาและดูแลสุขภาพของคนไข้ มีหลายโรงพยาบาลที่นำเอาดนตรีบำบัดเข้าไปเป็นส่วนร่วมในการรักษามากขึ้น…